Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
นางเยิก ยนต์อยู่ กับการตายแล้วฟื้น
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ผู้ตั้ง
ข้อความ
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 02 ก.ค.2006, 10:05 pm
นางเยิก ยนต์อยู่ กับการตายแล้วฟื้น
ตายเพราะลูก
นางเยิก ยนต์อยู่ เชื้อสายมอญ ตั้งบ้านเรือนอยู่ หมู่ที่ 6 ตำบลบางเดื่อ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี
ขณะที่อายุ 30 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2459 นางเยิก ยนต์อยู่ ได้คลอดบุตรคนที่ 3 ทารกที่ออกมาอยู่ไม่นานก็ตาย นางเยิกเองมีการตกเลือดมาก ร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่มีกำลัง ชีพจรเต้นอ่อนลงแล้วสิ้นลมปราณไปอย่างสงบ ทิ้งความเศร้าโศกสลดไว้แก่สามีและลูกๆ ตลอดจนญาติมิตรที่อยู่ข้างหลังเป็นอย่างมาก
ในครั้งนั้น ส่วนใหญ่จะเก็บศพไว้ประมาณ 7 วัน และตลอด 7 วัน จะมีพระมาสวดอภิธรรมทุกคืน ศพของนางเยิก แม้ตายไปแล้ว 3 วันก็ยังเหมือนคนนอนหลับ ไม่ขาวซีดเหมือนคนตายทั่วๆ ไป ทางญาติพี่น้องเพียงแต่เอาผ้าคลุมเอาไว้ ไม่บรรจุโลง เพราะหวังกันว่านางเยิกอาจจะฟื้นขึ้นมาได้ หากครบกำหนด 7 วันแล้วยังไม่ฟื้นจึงค่อยนำบรรจุโลงและทำฌาปนกิจต่อไป
ครั้นถึงเช้าวันที่ 7 นายแพ ผู้สามีและญาติพี่น้องก็ได้ทำบุญ และเตรียมการบรรจุศพเพื่อทำฌาปนกิจในวันนั้น ทั้งพระสงฆ์องค์เจ้า และชาวตำบลบางมะเดื่อได้พร้อมใจกันมาช่วยงานทำบุญ 7 วันกันอย่างเนืองแน่น ทุกคนต่างเสียดายในการจากไปของคนใจบุญชอบช่วยเหลือผู้อื่นอย่างน่าเวทนา เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนต้องอยู่ในความเศร้าโศกไปตามๆ กัน
ยังไม่ทันสิ้นกระแสโศก ศพของนางเยิกที่มีผ้าขาวคลุมร่าง ก็ค่อยๆ เพลื่อนไหว ลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ทุกคนต่างขวัญหนีดีฝ่อ คนใจอ่อนเผ่นกระเจิงอำไปก่อนใคร คนที่คุมสติได้ค่อยๆ เพ่งพินิจด้วยใจเต้นระทึก ต่อมาก็ได้ยินเสียงนางเยิกพูดด้วยเสียงแผ่วเบา และสั่นเครือว่า ฉันยังไม่ตายดอกตา !!!
ทุกคนในที่นั้นต่างก็ใจกล้าขยับเข้ามารุมล้อม เมื่อนางเยิกฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ ทั้งร่างกายและจิตใจยังอ่อนเพลีย เพราะไม่ได้รับประทานอาหารนานถึง 7 วัน หลังจากรับประทานอาหารร่างกายเข้าสู่สภาพปกติ อาการป่วยที่ตกเลือดได้หายไปแล้ว
นางเยิก ยนต์อยู่ จึงได้เล่าถึงความเป็นไประหว่างที่ตนตาย ให้ญาติพี่น้องผู้ที่สนใจฟังอย่างละเอียดละออ ดังนี้
ขณะที่กำลังนอนป่วยเพราะตกเลือด เนื่อจากการคลอดลูกคนที่ 3 นั้น รู้สึกอ่อนเพลียมากพอหลับตา ตั้งใจจะนอนพักผ่อน ก็มองเห็นลูกคนที่คลอดใหม่ และตายไปแล้วได้เข้ามาทางปลายเท้าและเอามือกระตุกที่หัวแม่เท้า บอกว่า แม่ๆ ไปกันเถอะ ต่อจากนั้นตนก็ลืมความเจ็บปวด ลืมเหตุการณ์ณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด และด้วยความห่วงใยสงสารลูก จึงลุกขึ้นตามไป
แต่ที่สุด ก็ไม่เห็นลูกเสียแล้ว มารู้สึกตัวอีกทีว่า ตนมายืนอยู่ข้างกำแพงคนเดียว จึงเอะใจว่าเรามายืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เหลียวซ้ายแลขวาก็มองหาลูกไม่พบ นึกประหลาดใจว่าทำไมลูกที่บ้านอีก 2 คน และนายแพสามีจึงไม่ตามมาด้วย เมื่อต้องมายืนโดดเดี่ยวในที่เปลี่ยวเปล่าอ้างว้างเช่นนี้ จึงมีความกลัวมาก พยายามจะนึกว่า เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็นึกไม่ออก ความรู้สึกในขณะนั้นเหมือนคนหลงทางอยู่กลางป่าทึบ ทั้งว้าเหว่ ทั้งกลัวเป็นที่สุด
เมื่อมองดูกำแพงที่ตนมายืนอยู่ใกล้ๆ นั้น ดูเหมือนกับกำแพงคุกที่บางขวาง จังหวัดนนทบุรี คือทั้งสูงทั้งยาวเหยียด บนกำแพงมีป้อมสำหรับให้คนยามคอยเฝ้าดูอยู่เป็นระยะๆ มีความกลัวขนาดใจเต้นดังตึ๊กตั๊ก จึงพยายามก้มหน้ากัมตาเดินเลาะไปตามตีนกำแพงนั้น โดยคิดว่าคงจะได้พบกับผู้คนบ้าง แต่ก็ไม่พบใครเลย เมื่อเดินไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งโกร่งกร่างดังออกมาจากภายในกำแพง นึกสงสัยว่า ภายในเขาทำอะไรกันอยู่ จึงเดินไปเรื่อยๆ ไปจนถึงประตูกำแพง ซึ่งเปิดอ้าอยู่ แต่มีคนยามหน้าตาน่ากลัวยืนเฝ้ายาม
ตนจึงได้มองเข้าไปในประตู แลเห็นนักโทษชายหญิงถูกล่ามโซ่ตรวนคล้องไว้ที่คอและขา เดินกันให้ขวักไขว่เป็นจำนวนมาก
จึงได้รู้ว่าเสียงกรุ๋งกริ๋งโกร่งกร่างนั้น เป็นเสียงโซ่ตรวนกระทบกันขณะที่นักโทษเดินไปเดินมานั้นเอง
ตนอยากรู้ขึ้นมาว่า เพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงได้มาต้องโทษ ถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนพะรุงพะรังเช่นนี้ จึงได้เดินเข้าไปพูดคุยกับคนยามที่เฝ้าประตูว่า
จะขอเข้าไปดูภายในกำแพงที่คุมขังจะได้ไหม ?
คนยามมองหน้ากลัวตอบว่า เข้าไม่ได้ ผู้ที่จะเข้าไปในแดนนี้ได้ ต้องเฉพาะผู้ที่มีคนคุมมาเท่านั้น
เมื่อตนได้รับการชี้แจงเช่นนั้น จึงได้เดินไปเรื่อยๆ จนถึงลานกว้างใหญ่อีกลานหนึ่ง ในบริเวณนั้นมีถนนใหญ่อีกสายหนึ่งมาบรรจบกัน บนถนนสายนี้มีคนแบกหามคนตายมาเป็นทิวแถว มองดูเหมือนกับงานลงแขกเกี่ยวข้าว เสร็จแล้วก็แบกหามฟ่อนข้าวมาวางในลานนวดข้าว ผิดกันแต่ว่าที่กลางลานนั้นมีบัลลังก์ใหญ่ตั้งอยู่
บนบัลลังก์มีคนท่าทางภูมิฐานนั่งอยู่คนหนึ่ง และมีอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ มีสมุดข่อยสีดำคล้ายคัมภีร์พระอภิธรรมวางอยู่บนโต๊ะเตี้ยๆ ซึ่งตั้งอยู่เบื้องล่างถัดลงมา คนที่นั่งบนบัลลังก์และคนที่นั่งต่ำกว่า แต่งตัวเหมือนกับละครของกรมศิลปากร ที่เคยดูอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาแสดงเป็นพญายม
ตนจึงเข้าใจว่าคนที่นั้งอยู่บนบัลลังก์คือ ยมบาลใหญ่หรือพญายมนั้นแหละ และพวกที่มัดคนตายหามมาเป็นแถวๆ คือยมทูตนั่นเอง เมื่อยมทูตแบกคนตายมาวางตรงหน้าบัลลังก์แล้ว พญายมก็ถามนายบัญชีผู้ถือสมุดข่อยว่า
คนนี้ทำกรรมชั่วอะไรมา ?
ผู้รักษาบัญชีเปิดสมุดตรวจดูแล้วบอกว่า คนนี้ใจบาปหยาบช้า ทำความชั่วไว้มาก ความดีมีโอกาสก็ไม่ทำ จึงควรจะชดใช้กรรมที่ทำไว้ พญายมจึงประกาศิตสั่งให้ยมทูตอีกพวกหนึ่งลากตัวไปลงโทษตามที่กำหนดไว้
นางเยิก ได้ยืนดูการพิพากษลงโทษคนทำความชั่วอยู่เป็นเวลานาน บางคนก็ถูกจับโยนไปในกองไฟ บางคนก็ถูกนำตัวเอาไปเฆี่ยนหลังด้วยหวายเหล็กไฟ บางคนก็ถูกจับโยนลงไปในดงหนามเหล็กที่มีปลายแหลมคมเหมือนปลายหอก ขณะที่ยืนดูอยู่เห็นคนทำชั่วปาบถูกลงโทษอย่างแสนจะทารุณเช่นนั้น ก็ให้รู้สึกหวาดเสียวสยดสยองเป็นที่สุด แต่ใจก็อยากจะดูต่อไปอีก ซึ่งยมทูตก็แบกคนตายเข้ามาวางอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้จักหมดสิ้น บางคนนั้นเมื่อนายบัญชีตรวจดูสมุดข่อยแล้วก็แจ้งพญายมว่า
คนๆ นี้เป็นคนดีมีศีลธรรมเคยทำบุญไว้มาก ยังไม่ถึงกำหนดจะสิ้นอายุ
พอนายบัญชีแจ้งแก่พญายมยังไม่ขาดเสียง คนตายที่วางอยู่หน้าบัลลังก์ก็กลับมีชีวิต ผลุดลุกขึ้นนั่งพนมมือแต้ทันที เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน พญายมท่านก็บอกว่า
เอ็งเป็นผู้ที่ทำความดีไว้ และทำบุญไว้ดี ก็ดีแล้ว จงตั้งหน้าทำความดีต่อไป เมื่ออายุยังไม่ถึงกำหนดก็จงกลับไปก่อนเถิดและอย่าได้ประมาท
เมื่อพญายมสั่งแล้วผู้คุมก็นำตัวออกไปจากที่นั้นทันที ครั้นพญายมเหลือบมาเห็นตนยืนดูอยู่จึงหันมาถามด้วยความสงสัยว่า
อ้าว ! นี่ใครละ ?......เอ็งมายืนอยู่ที่นี่ได้ยังไงละ ?
ที่ท่านพญายมถามเช่นนั้น ก็เพราะว่าผู้ที่จะมายืนอยู่ที่นี่ได้ จะต้องมียมทูตแบกมัดเอาตัวมาทั้งนั้น สำหรับตนแล้วไม่มีใครผูกมัดมา ทั้งไม่มียมทูตพาตัวมาด้วย ตนเดินเข้ามาเฉยๆ เมื่อได้ยินท่านถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ มีจิตเมตตา ไม่ได้แสดงกิริยาดุดัน จึงได้ตอบทานไปอย่างนอบน้อมว่า
ฉันหลงทางมาจ้ะ
ท่านถามชื่อแล้วให้ยมบาลเปิดสมุดข่อยตรวจดูว่า ตนมีประวัติความเป็นมาอย่างไร และมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นายบัญชีได้แจ้งไปแก่ท่านว่า คนๆ นี้เป็นคนดี เป็นผู้มีศีลมีสัตย์ ทำบุญกุศลไว้มาก ยังไม่ถึงเวลาจะสิ้นอายุขัย พญายมจึงบอกแก่ตนว่า เออ ! เออ ! เอ็งเป็นคนดีมากที่อุตส่าห์ทำบุญทำกุศลไว้ บุญกุศลที่เอ็งทำไว้นี้ จะได้แก่ตัวเจ้าเอง
เมื่อท่านพญายมพูดขึ้นดังนั้น ทันใดนั้นตนก็ได้เห็นภาพนิมิตที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างชัดเจน เช่น โบสถ์ที่มีช่อฟ้าใบระกา มีเสียงระฆังที่แขวนไว้รอบๆ โบสถ์ดังเหง่งหง่างเมื่อต้องลมโชย เห็นศาลาสี่มุข ที่ท่าน้ำที่มีน้ำในสะอาดไหลผ่านเย็นระรื่น
ครั้นมองไปอีกทางหนึ่งก็เห็นบนศาลาใหญ่ มีอาหารดีที่ปรุงด้วยฝีมือประณีตน่ารับประทาน มีทั้งสำรับเล็กและสำรับใหญ่วางอยู่เต็มศาลาไปหมด ตนนึกไม่ออกว่าเคยเห็นบริเวณวัดนี้ที่ไหนมาก่อน จะเหมาเอาว่าเป็นวัดน้ำวนที่ตนเคยไปทำบุญเสมอหรือ ก็แต่วัดน้ำวนก็หาได้มีความวิจิตรพิสดารเช่นนี้ก็หาไม่ และที่น่าประหลาดใจอย่างที่สุดคือ เมื่อได้มาเห็นโบสถ์ วิหาร ศาลา ทั้งได้ยินเสียงของระฆังที่ถูกลมพัดกวัดแกว่ง ก็รู้สึกมีความเบิกบานสดชื่น อิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก ลืมความกลัวที่มีอยู่ไปเสียสิ้น กระทั้งได้ยินเสียงของท่านพญายมพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า
เอ็งยังไม่หมดอายุขัย ยังจะทำความดีได้อีกมาก จงกลับไปก่อนเถิด
เมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนั้น ด้วยความดีใจตนจึงรีบยกมือไหว้ แล้วเดินออกจากบริเวณนั้นเพื่อมุ่งกลับบ้าน แต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง ปรากฏว่าสถานที่นั้นได้หายไปเสียแล้ว มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อกำลังเดินอยู่บนถนนอีกสายหนึ่ง เป็นถนนที่ราบรื่นร่มเย็น ไม่สกปรก ไม่มีเศษขยะมูลฝอยหรือสิ่งปฏิกูลเปรอะเปื้อน แม้กระทั้งฝุ่นละอองก็ไม่มี
สองข้างถนนนั้นเล่าก็ปลูกต้นไม้เป็นแปลง เป็นพุ่มสวยงาม ทั้งไม้ใบและไม้ดอกหลากสีส่งกลิ่นหอมรวยระรื่น ขณะที่ตนเดินมาตามถนนด้วยจิตใจอันสดใสนั้น ถึงจะเป็นเวลากลางวัน แต่แสงแดดก็ร่มครึ้ม เย็นสบายไม่รู้สึกร้อนเลย
ครั้นเดินต่อมาอีกครู่ใหญ่ ก็มาถึงหมู่บ้านที่ปลูกเรียงรายอยู่เป็นแถวเป็นแนวอยู่สองฟากถนน แต่ละบ้านสวยงามด้วยแบบต่างๆ ผู้คนที่อยู่บนบ้านก็ล้วนแต่หน้าตาสวยๆ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่มีค่า เมื่อเดินผ่านไปเขาก็จะยิ้มต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดีทุกคน จนตนเองมีความรู้สึกในใจว่าชาวบ้านที่อยู่แถวนี้เขาทำบุญด้วยอะไรกันหนอ จึงต่างมีความสุขเหลือล้น ในขณะที่กำลังเดินชมหมู่บ้านไปอย่างเพลิดเพลิน ก็ไปถึงบ้านหลังหนึ่ง มีความงามไม่แพ้หลังอื่นๆ ที่ผ่านมา คนที่อยู่ในบ้านเห็นตนเดินก็ออกมาบอกด้วยสำเนียงอันไพเราะว่า
แม่เยิกจ๋า บ้านนี้แหละที่เธอสร้างไว้ เมื่อเธอหมดอายุแล้ว จะได้มาอยู่บ้านหลังนี้
เมื่อได้ยินหญิงสาวที่อยู่ในบ้านร้องบอกเช่นนั้น ก็ดีใจจนบอกไม่ถูก จึงรีบจ้ำเดินกลับบ้านเพราะคิดถึงลูก และก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังนอนเหยียดยาว มีผ้าขาวปิดคลุมร่างคลุมหน้าอยู่ หูก็ได้ยินเสียงดังหริ่งๆ จึงพยายามทบทวนเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงหริ่งๆ ก็ยิ่งดังชัดขึ้นทุกที ปรากฏว่าเป็นเสียงร้องไห้อยู่ข้างหัวนอน ซึ่งเป็นเสียงร้องไห้ของตานั่นเอง ตนจึงได้ร้องออกไปว่า
ฉันยังไม่ตายดอกตา
นางเยิก อยู่มาอย่างมีความสุข ทำบุญสุนทานมากยิ่งกว่าเดิม ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วยจนถึงปี พ.ศ. 2520 อายุได้ 91 ปี จึงได้เรียกลูกหลานมาประชุมกันพร้อมหน้าและสั่งสอนเป็นครั้งสุดท้ายว่า ขอให้ทุกคนมีความปรองดองสามัคคีกันไว้ให้ดี อย่าทะเลาะเบาะแว้ง หมั่นทำบุญกุศลให้มาก ใช้จ่ายเงินทองที่หามาด้วยความเหนื่อยยากในทางที่เป็นประโยชน์ ไม่ให้ตนเองและครอบครัวเดือดร้อน ส่วนแม่นี้ถึงเวลาที่จะต้องจากลูกหลานไปในอีก 4 วันข้างหน้านี้ และเมื่อแม่จากไปแล้วลูกหลานไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องเสียใจอะไรทั้งสิ้น เพราะการเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ไม่มีใครหนีพ้น ให้ลูกๆ หลานๆ ทุกคนอยู่เป็นสุขๆ ด้วยกันทุกคนเถิด
ครั้นถึงวันที่ 4 จากนั้นมานางเยิกก็ถึงแก่กรรมไปโดยสงบที่บ้านหมู่ที่ 6 ตำบลบางเดื่อ จังหวัดปทุมธานีนั่นเอง
คัดลอกมาจาก
http://www.mindcyber.com/
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
สังวรณ์
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 02 ก.ค.2006, 10:48 pm
เรื่องของนรกนี่ทำให้คนไม่ประมาททำบาป และเป็นการเกรงกลัวบาปกรรม มีหิริโอตตัปปะธรรม
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
ตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2006, 2:52 am
นรก-สวรรค์ มีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธศาสนา พูดเรื่องนี้ไว้เป็น ๓ ระดับ :-
ระดับที่ ๑. นรก-สวรรค์ ภายหลังการตาย
สำหรับประเด็นนี้ตามพระไตรปิฎก "เมื่อตีความตามตัวอักษรแล้ว ก็ต้องบอกว่า มี" วิธีลงโทษในนรกด้วยประการต่างๆ มีใน พาลบัณฑิตสูตร และ เทวทูตสูตร... โดยมากพูดถึงนรก ไม่ค่อยพูดถึงสวรรค์.. นอกจากนี้ยังมีบางแห่งพูดถึงอายุเทวดาในชั้นต่างๆ เช่น ชั้นจาตุมหาราช หรือชั้นโลกบาล ๔ ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และ ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ยังมีอายุมนุษย์ ถึงรูปพรหม แสดงไว้ในฝ่ายพระอภิธรรม
ระดับที่ ๒. นรก-สวรรค์ ที่อยู่ในใจ
"สวรรค์ในอก นรกในใจ" เป็นเรื่องที่มีในชาตินี้ นรก-สวรรค์แม้ในชาติหน้า มันก็สืบไปจากที่มีในชาตินี้..."....."ระดับจิตของเราอยู่แค่ไหน เวลาตายโดยทั่วไปถ้าไม่ใช่กรณียกเว้น มันก็อยู่ในระดับนั้นแหละ ส่วนในกรณียกเว้น ถ้าเวลาตายนึกถึงอารมณ์ที่ดี เช่นทำกรรมชั่วมามาก แต่เวลาตายนึกถึงสิ่งที่ดี ก็ไปเกิดดีได้ ถ้าหากเวลอยู่ ทำกรรมดี แต่เวลาตายเกิดจิตเศร้าหมอง ระดับจิตตกลงไป ก็ไปเกิดในที่ต่ำ"
ระดับที่ ๓. นรก-สวรรค์ แต่ละขณะจิต
"ตามหลักวิชาการ คือ การที่เราปรุงแต่งสร้างนรก-สวรรค์ของเราเองตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน.. คือปรุงแต่งด้วยกิเลส มีความดี -ความชั่ว มีกุศล - อกุศลในจิตของเราเอง"
"หากว่าจิตใจของเรามีภูมิธรรมดี สร้างกุศลไว้มาก ทำจิตใจให้อิ่มเอิบเป็นสุข พยายามมองในแง่ดี ก็รับอารมณ์ที่เป็นสุขไว้ได้มาก"
"ปัจจุบันที่เป็นอยู่ กลายเป็นเรื่องที่เราควรจะเอาใจใส่มากกว่า เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราได้รับผลอยู่ตลอดเวลา... ฉะนั้น ท่านจึงให้เอาใจใส่นรก-สวรรค์ที่มีอยู่ตลอดเวลาที่เราปรุงแต่งอยู่เรื่อยๆ สอนให้เรายกระดับจิตขึ้นไป... "....."การมีปัญญารู้เท่าทันสิ่งต่างๆ ทำให้เราเข้าใจโลกและชีวิตดี ทำให้วางท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง ในกรณีอย่างนี้ท่านว่า มันพ้นเลย จากเรื่องนรก-สวรรค์ไปแล้ว คือมีจิตใจปลอดโปร่ง แจ่มใสตลอดเวลา มีความสบายทันตาในปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงข้างหน้า"
ในพระไตรปิฎก (มหาปริฬาหนรก) บอกว่า......"นรก-สวรรค์ที่ว่านั้นไม่สำคัญเท่านรก-สวรรค์ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบัน ที่เราปรุงแต่งด้วยอายตนะทั้ง ๖ โดยพื้นจิตของเราสร้างขึ้นมา"....."แก่นแท้ของ นรก-สวรรค์ อยู่ที่ระดับที่ ๓ นี้ ... อย่าลืมว่า !!!
การสร้างนรก-สวรรค์ใหญ่ๆ มันก็มาจากสร้างเล็กๆ น้อยๆ นี้เอง.. สร้างจิตใจของเราให้ดี ทำอารมณ์ให้ดี ค่อยเป็นค่อยไป"
ท่าทีของพุทธศาสนาต่อเรื่อง นรก-สวรรค์
"...การวางท่าทีเป็นหัวข้อที่อาตมาบอกแล้วว่าสำคัญ การวางท่าทีสำคัญกว่าความมีจริงหรือไม่ ... แต่มันจะไปเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับนรก-สวรรค์ระดับที่ ๓"
"ท่าที" ที่เกี่ยวข้องมีดังนี้ :-
ท่าทีที่ ๑ ต้องมีศรัทธา
พุทธศาสนานั้น บอกว่าให้เชื่ออย่างมีเหตุผล สำหรับสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ในเมื่อจะต้องเอาทาง "ศรัทธา" ก็ให้ได้หลักก่อน.... ศรัทธา คือ การไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น หรือพูดในแง่หนึ่งคือ เราฝากปัญญาไว้กับคนอื่น การที่จะวางใจปัญญาของผู้อื่นได้ต้องพิจารณาในขั้นแรกที่ "ตัวปัญญา" นั้น เราคิดว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสมานั้น เท่าที่เรามองเห็น ก็เป็นความจริง เราจึงเห็นว่าพระองค์มีปัญญาพอที่เราจะฝากปัญญาของเราไว้กับท่านได้ เราจึงเกิดศรัทธาขึ้นเป็นขั้นแรก.....ขั้นที่สอง คือ "ความปรารถนาดี" พระพุทธเจ้ามีความปรารถนาดี มีเมตตากรุณา สอนเราด้วยใจบริสุทธิ์ พระองค์สอนเรื่อง นรก-สวรรค์ว่าชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า ถ้าเรามีศรัทธา เราก็น้อมไปทางเชื่อ เรื่องก็เป็นอย่างนั้น...
ท่าทีที่ ๒ ถือตามเหตุผล
เป็นท่าทีที่ "ยังไม่มีศรัทธา" พระพุทธเจ้าได้ตรัสกาลามสูตร และได้ยกตัวอย่างซึ่งมาเข้าเรื่องนรก-สวรรค์ กรรมดี-กรรมชั่ว ทรงสอนให้พิจารณาในปัจจุบันนี้ว่าสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็นกุศล ทำแล้วมันเกื้อกูลแก่ชีวิตของตนเองในปัจจุบันไหม มันดีแก่ตัวเราไหม ดีต่อผู้อื่นไหม ทำแล้วถ้านรก-สวรรค์มีจริง เราก็ไม่ต้องไปตกนรก ได้ไปสวรรค์.....สรุปในแง่นี้ได้ว่า ถึงแม้ไม่ต้องใช้ศรัทธา เอาตามเหตุผล ก็ควรทำกรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว นี้เป็นแนวทางกาลามสูตร
ท่าทีที่ ๓ มั่นใจตน -ไม่อ้อนวอน
ในทางพุทธศาสนา คนทำดี ไม่ต้องอ้อนวอนขอไปสวรรค์ เพราะมันเป็นไปตามกฎธรรมดา เพียงแต่รู้ไว้ และมั่นใจเท่านั้น พุทธศาสนิกชนเรามีความรู้ไว้สำหรับให้เกิดความมั่นใจตนเอง
ท่าทีที่ ๔ ไม่หวังผลตอบแทน
พุทธศาสนาสอนต่อไปอีกระดับหนึ่งว่า ุถ้าเรายังทำดีเพราะหวังผลอยู่ก็เรียกว่าเป็นโลกียปุถุชน คนของพุทธศาสนาที่แท้จริง ต้องเป็นคนทำความดีโดยไม่ต้องห่วงผล เมื่อเราทำจิตของเราให้ประณีตขึ้น พอมันละเอียดอ่อนขึ้น สิ่งที่กระทำไว้แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย มันก็ปรากฎผลได้ง่าย...
http://www.geocities.com/sakyaputto/article1.htm
ไลลารินทร์
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 14 ก.ค. 2006
ตอบ: 64
ตอบเมื่อ: 14 ก.ค.2006, 3:55 pm
อ่านแล้วขนลุกเลยค่ะ รู้สึกว่าอยากทำบุญให้มากกว่าเดิม
_________________
เชื่อ ศรัทธา และเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยหัวใจอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
แมวขาวมณี
บัวบาน
เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307
ตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2006, 1:06 am
เห็นแล้ว ทำกรรมใดย่อมได้รับผลกรรมนั้นๆ
และอย่ากลัวที่จะต้องตายจากชาติ ภพนี้ไป
jeed
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 07 ธ.ค. 2006
ตอบ: 1
ที่อยู่ (จังหวัด): ราชบุรี
ตอบเมื่อ: 12 ธ.ค.2006, 3:46 pm
ขอบุญกุศลของคุณแม่เยิกได้ถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังฟังนั้น ให้แม่เยิกเกิดภพใดมีปัญญาที่ล้ำเลิศเทอญ
_________________
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
kong_014
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 30 พ.ย. 2006
ตอบ: 37
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
ตอบเมื่อ: 03 ม.ค. 2007, 4:41 pm
ขออนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ
_________________
ไม่กล่าวโทษผู้อื่น กล่าวโทษตนเองไว้เสมอ มุ่งปฎิบัติให้ถึงซึ่งพระนิพพาน
ไม้อ่อน
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2007
ตอบ: 62
ตอบเมื่อ: 04 พ.ค.2007, 12:48 pm
อนุโมทนาทุกท่านที่มาให้ความรู้ สาธุ
_________________
katib
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2007
ตอบ: 52
ที่อยู่ (จังหวัด): Bangkok
ตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2007, 7:31 am
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th