Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิต...ช่วยแนะวิธีคิดได้ไหม
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ฟ้าสว่าง
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 2:10 pm
ช่วงนี้มีปัญหาหลายอย่าง นั่งสมาธิก็ไม่สงบ.. ฟุ้งซ่านกว่าตอนลืมตาซะอีก
รู้สึกแย่มากๆ ท่านผู้ใจบุญช่วยแนะนำวิธีคิดให้ด้วยค่ะ
1
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 2:48 pm
ทำศีลให้บริบูรณ์ก่อนนะครับ อย่างน้อยศีล 5 นะครับให้บริสุทธิ์
แล้วค่อยๆ ทำไปวันละนิดๆๆ ครับ
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 2:49 pm
ลองฝึกสติอยูกับปัจจุบันดูครับ คนเราส่วนใหญ่ที่ฟุ้งซ่านมักคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านไปแล้วและเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง พระพุทธศาสนาจึงเน้นให้คนเราฝึกฝนการนึกคิดให้อยู่กับปัจจุบันมากที่สุดเช่น เวลาเรานั่งสมาธิแล้วไม่สงบ เราต้องเอาสติปัญญาเข้าประกอบกับการนั่งสมาธิ โดยการดูลมหายใจเข้าออกให้อยู่กับลมเข้า ลมออกที่เป็นปัจจุบันมากที่สุดเป็นต้น
อีกอย่างหนึ่งการบริกรรมพุทธ โธ โดยส่วนตัวผมแล้วมีความรู้สึกสึกว่าคำว่า พุทธ โธ เป็นคำบริกรรมที่สั่นไปนิดนึง หายใจเข้าพุทธผมมีความรู้สึกว่าผมยังหายใจเข้าไม่สุด และทำนองเดียวกันหายใจออกโธ ความรู้สึกว่าลมหายใจออกยังไม่สุดเช่นเดียวกัน ช่วงจังหวะนั้นจิตจะไม่มีงานทำ ทำให้จิตคิดไปเรื่องอื่นได้ ผมจึงลองหาคำบริกรรมใหม่ให้ยาวขึ้นเช่น เวลาหายใจเข้า บริกรรมว่าเข้าไม่ออกตาย เวลาหายใจออก บริกรรมว่า ออกไม่เข้าตาย โดยส่วนตัวผมมีความรู้สึกว่าจิตจะมีงานทำพอดีกับลมหายใจเข้าและออก จิตจึงไม่มีเวลาไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่นเป็นต้น
ที่สำคัญศึกษาเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน 4 ด้วยครับ
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 7:12 pm
การเจริญสติ ให้สติอยู่ในปัจจุบันอารมณ์ เป็นการควบคุมความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่านได้ครับ
ถ้านั่งสมาธิ โดยจับลมหายใจเข้าออก ที่ปลายจมูก ไม่ถนัด ก็ลอง เดินจงกลม
ให้สติระลึกรู้ที่การเคลื่อนไหวเท้าทั้งสอง ครับ
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
อีกหนึ่งความเห็น
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 24 มิ.ย.2006, 10:48 pm
คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดามากครับ เพราะตัวเองก็ขึ้นขึ้นลงลง แต่ลองสังเกตดีดี อยู่ดีดีบางวันมันก็ดีขึ้นมาบางครั้งดีแบบที่ไม่เคยทำได้เลยทั้งชีวิต ถึงจะมีน้อยครั้งมากเป็นปีปีแต่ก็รู้สึกคุ้มค่าที่ไม่ได้หยุดทำเป็นเหมือนกำลังผลักดันอย่างแรงที่ช่วยพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าสภาพจิตที่มีกำลังสูงเป็นอย่างไรคนอธิบายร้อยคนเป็นร้อยวันก็ไม่เท่าเข้าถึงมันได้ด้วยตัวเองแม้นเพียงหนึ่งครั้งในชีวิต ขาลงตัวเองจะมีบ่อยบ้างบางครั้งแต่ก็ไม่เคยรู้สึกลงต่ำมาก เพราะยังรู้สึกว่ารักษาความสงบอยู่ได้ อาจกล่าวได้ว่าขาต่ำสุดของเรายังเที่ยบได้สูงกว่าคนที่นั่งไม่ได้เลยอีกหลายคนเพราะคนบางคนแค่สิบห้านาทีก็รู้สึกไม่ไหวแล้ว แต่ตัวเองยังทำให้ถึงชั่วโมงได้ทั้งที่รู้สึกว่าวันนี้ไม่สงบ บางครั้งตัวเองจึงวัด ความสำเร็จจากการฝึกที่ขาต่ำสุดของจิตว่าประคองรักษาการปฏิบัติได้ลำบากแค่ไหน หากทำได้สะดวกอยู่ก็คิดว่าพัฒนาสูงขึ้นแล้ว ส่วนขาสูงสุดแม้นจะเป็นสิ่งที่มหัศจรรรย์ในความรู้สึกเรามากมายสักเพียงใดก็ตามเราก็ไม่จำเป็นต้องไปคาดหวังว่าจะต้องทำให้เกิดขึ้นอีกให้ได้ เพราะนั่นไม่ใช่เป้าหมายของการปฏิบัติ เป้าหมายของเราคือต้องการให้จิตเห็นธรรมโดยรักษาความสม่ำเสมอในการปฏิบัติไม่ใช่เพื่อเสพสุขไปวันวัน ถ้าจะมองแบบให้เป็นธรรมชาติก็อาจเทียบได้แม้นแต่จิตที่ได้รับการฝึกฝนแล้วก็ยังหนีไม่พ้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมดับไป อันเป็นหลักสำคัญของสิ่งที่มีอยู่ของทั้งหลายทั้งปวง
คำแนะนำส่วนตัวเหมือนความเห็นอื่นอื่นที่ให้ฝึกสติปัฏฐานสี่อันใดอันหนึ่งในชีวิตประจำวันควบคู่ดูครับ หรือจะทำเพียงแค่รับรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวันให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็ได้ แล้วจะเห็นว่าวันไหนก็ตามหากมีสติรักษาการรับรู้ได้บ่อยมากแค่ไหน สมาธิที่ทำหลังจากนั้นจะรู้สึกว่าดีขึ้น แต่วันไหนหลงลืมจับลมหรือจับกายหรือจับเวทนาตัวเองได้น้อยหรือไม่ได้เลยมักจะนั่งสมาธิได้ไม่ดีเท่าปกติ แต่ก็อีกเช่นเดิมไม่มีอะไรแน่นอนในสิ่งที่อยู่บนโลกนี้จริงจริงบางครั้งไม่ได้ฝึกฝนสติเลยอยู่ดีดีก็นั่งสมาธิได้ดีมากมากขึ้นมาเช่นกันแม้นโอกาสจะน้อยก็ตาม
ผมจะวัดความก้าวหน้าของตัวเองจากจุดต่ำของชีวิตเสมอครับเพราะจังหวะดีที่สุดของชีวิตไม่เคยใช้วัดอะไรได้ แม้นจิตบรรลุธรรมสูงส่งเพียงใดแต่ได้อยู่กับความสะดวกสบายซึ่งคนธรรมดาทั่วไปเขาก็อยู่ได้แบบไม่เป็นทุกข์จึงไม่มีโอกาสได้เห็นความก้าวหน้าของจิตตัวเองเท่าไหร่ ช่วงจิตตก มีความยากลำบากมากมาก จะสังเกตตัวเองว่ารักษาสภาพการรับความทุกข์ได้มากน้อยอย่างไรหากรับได้ เช่นทุกข์เพราะตกงานแถมมาเจอทุกข์เพราะผิดหวังความรักซ้ำอีกแต่เรากลับยังรักษาการปฏิบัติได้แม้นลำบากขึ้นแต่ก็ผ่านมาได้ยิ่งไม่รู้สึกอะไรได้ก็ยิ่งรู้สึกว่าสำเร็จมาก ส่วนใครที่ฝึกฝนจนกระทั่งสูงสุดได้อิทธิฤทธิปาฏิหาริย์มากมากเห็นหรือทำอะไรได้สูงส่งก็ตาม พอจังหวะตกต่ำไม่สามารถรักษาการปฏิบัติให้ต่อเนื่องได้ ความเห็นส่วนตัวว่ายังไม่ก้าวหน้าเท่าไหร่ เพราะหากทำมาได้ดีมากมากยี่สิบปีแค่หนึ่งเดือนบังเอิญทำไม่ได้อีกแล้วหยุดไปตลอดชีวิตก็ถือว่าที่สำเร็จไปไม่ได้เพิ่มพลังก้าวหน้าในธรรมให้กับจิตตัวเองเลย เราต้องมุ่งให้จิตเห็นธรรมไม่ได้มุ่งให้จิตมีกำลังเพียงอย่างเดียวจึงน่าจะถูกกว่า
อ่าง
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 29 มิ.ย.2006, 9:25 pm
ก่อนนั่งสมาธิ ลองออกกำลังกายให้เหนื่อย เช่นว่ายน้ำ (เราชอบว่ายน้ำรู้สึกว่าลึมได้ทุกอย่างเพราะถ้าคิดมากเดี๋ยวจมน้ำ ) หรือตีแบดก็ได้ค่ะ ( เวลาโมโหใครก็ตีแรงๆ จะได้หายโมโห) เอาให้เหนื่อยนะคะแล้วสมองจะปลอดโปร่ง พยายามทำบ่อยๆ นะคะสุขภาพจะดี ออกกำลังกายแล้วจะรู้สึกสบายใจ กินได้นอนหลับ นั่งสมาธิอารมดีจิตรวมง่ายค่ะ
chuchai379
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 05 ก.ค.2006, 5:22 pm
ขอแนะนำว่าให้ทำอะไรก็ได้ เมื่อทำแล้วสบายใจ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง กินเหล้า (ถ้ากินอยู่)
ไปเที่ยว กินข้าว ช็อปปิ้ง....... ฯลฯ ทำอะไรก็ได้ให้ใจรู้สึกสบายขึ้น แต่ต้องระวังอย่าให้ได้รับ
ความเดือดร้อนต่อตัวเองและผู้อื่นนะครับ โดยเฉพาะความดี
จาก กล้าก้าว
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 07 ก.ค.2006, 11:56 am
มีหนังสือเล่มนึงสามารถตอบคุณได้ตรงคำถาม ชื่อหนังสือว่า "วิธีบริหารความเบื่อ" ของไชย ณ พล
เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ ค่ะ ไปหาเอาในห้องสมุดคงได้
มีวิธีแนะนำการจัดการความเบื่อหบายวิธีเลยค่ะ ที่จำได้ก็คือ
เขาพยายามบอกว่า แต่ละชาติๆ ของเรานั้น ให้เกิดมาทำบารมีต่างๆกันค่ะ แต่ชาตินั้นๆจะสามารถทำบารมีได้เต็ม แค่บารมีเดียวเท่านั้น แต่ในการเลือกทำบารมีใดๆให้เต็มนั้น ชาตินั้นต้องทำบารมีอื่นประกอบกันด้วย ไม่ใช่สุดโต่งในบารมีที่ตั้งใจแค่นั้น
เช่น กาลิเลโอ ผู้ทำสัจจบารมี เต็มในชาติของเขา คือเขาบอกว่าโลกนี้มันกลม ไม่ใช่แบน ก็มีคนบอกว่าให้ถอนคำพูด เขาก็ไม่ถอน ยอมกินยาพิษ ตายเพื่อพิสูจน์คำพูด เท่ากับว่า ชาตินั้นกาลิเลโอ ได้สัจจบารมีเต็ม
หรือ พระเวสสันดร ชาตินั้น ทำทานบารมีเต็ม คือ ตั้งใจว่าจะให้ทุกสิ่งที่มีคนขอ ก็ได้ทำจริงๆ ให้ช้างคู่บ้านคู่เมือง ก็โดนคนด่าว่า จนอยู่ในเมืองไม่ได้ต้องมาอยู่ป่า อยู่ป่าก็มีชูชกตามมาขอ ลูก เมีย ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะตั้งใจไว้ว่าชาตินี้เกิดมาเพื่อจะให้ แล้ว จึงให้ ภรรยาและบุตรไป จึงถือว่าทำบารมีเต็ม
ในการทำบารมีใดนั้น ก็ย่อมต้องมีสิ่งอื่นมาขัดขวาง มาพิสูจน์ให้ดูว่าเราจะสามารถทำได้จริงมั้ย คราวนี้ คุณลองอธิษฐานดูสิคะว่า คุณอยากทำบารมีอะไร อาจจะเป็นวิริยะบารมี คุณต้องนั่งสมาธิ ให้ได้ทุกวันวันละ กี่นาที ก็ว่าไป แล้วพยายามทำให้ได้ เมื่อทำได้ จิตก็จะละความรู้สึกเดิมๆได้
ในหนังสือบอกว่า เมื่อ สละทาน ก็จะได้ ลาภมากยิ่งขึ้น เมื่อมีลาภมาก ก็จะเบือหน่ายในลาภ และจะสละลาภ แต่แปลกว่า ยิ่งสละก็ยิ่งได้ แล้วจะหาอะไรที่ยิ่งกว่า ก็จะพบว่า เกียรติ นั่นเองที่ยิ่งกว่าสิ่งของ เมื่ออยู่กับเกียรติยศ นานเข้าก้จะเบื่อ แล้วพบว่าสรรเสริญ นั่นเองที่เป็นสุขยิ่งกว่า อยู่กับสรรเสริญนานเข้า ก็จะรู้ว่ามันไม่เป็นตัวตน เป็นแค่สรรเสริญเท่านั้น ก็จะเบื่อมากขึ้น แต่ยิ่งสละสรรเสริญ สรรเสริญก็จะยิ่งเข้ามาหา และเบื่อหน่ายในสรรเสริญเหล่านั้น และจะพบว่ามีสุข นั้นเองที่ยิ่งกว่า ก็จะติดอยู่ในสุข แต่เมือเห็นแล้วว่าสุขนั้นก็ไม่เป็นตัวเป็นตน ยึดไป ก็ไม่ได้สาระอะไร ก็จะสละในสุข เมือนั้นเองที่สุขก็ยิ่งเข้ามาหา.... ต่อไปเรื่อยๆ
อันนี้เป็นเพียงวิธีคร่าวๆในหนังสือนะคะ ตอบตามความเข้าใจที่ได้อ่านไป แต่ตรงคำถามคุณรึป่าว ช่วยได้มากน้อยเพียงใดก้ไม่ทราบค่ะ ยังไง ขอให้หายเบื่อเร็วๆนะคะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th