Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
มนตราแห่งรัก ๔ ประการ
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
พิชชาธร
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2006
ตอบ: 39
ตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2006, 2:40 pm
มนตราแห่งรัก ๔ ประการ
มนตราข้อที่หนึ่ง"ที่รัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ"
...ยามที่เธอรักใคร
เธอควรดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง เพื่อคนที่เธอรัก
เพราะ ของขวัญอันล้ำค่าสูงสุดที่คนเราสามารถกระทำให้ผู้อื่นได้
ก็คือปัจจุบันอันแท้จริงของเรา
"ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ" นี่คือมนตราที่เธอต้องเปล่งด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
เมื่อเธอสามารถตั้งจิต ทำให้กายและใจของเธอรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ เธอจะสร้าง
"ปัจจุบันที่แท้จริง" ของตัวเธอ และอะไรก็ตามที่ เธอกล่าวขณะนั้นก็คือมนตรา
ดังนั้นมนตราจึงไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต หรือภาษาธิเบตแต่อย่างใด
เธอสามารถเปล่งมนตรา ด้วยภาษาของเธอเองได้ว่า
"ที่รัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ"
และถ้าเธออยู่ในปัจจุบันอย่างแท้จริง มนตราบทนี้จะสร้างปาฏิหาริย์
เธอจะเป็นตัวเธออย่างแท้จริง และผู้อื่นที่จะเป็นสิ่งจริงแท้ รวมทั้ง "ชีวิต" ด้วย
ชีวิตที่เป็นสิ่งจริงแท้ในปัจจุบันขณะนั้น
ย่อมนำความสุขที่แท้จริงมาให้แก่ตัวเธอและผู้อื่นเสมอ
มนตราข้อที่สอง "ฉันรู้ว่าเธออยู่ที่นั่น และฉันมีความสุข"
เมื่อเรามองไปที่ดวงจันทร์ เราหายใจเข้าและออก ยาวลึก และพูดกับดวงจันทร์ว่า
"จันทร์เจ้าเอ๋ย ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นั่น และข้ามีความสุขมาก"
เราทำเช่นนี้กับดาวประกายพรึก กับดอกไม้ กับลำธาร กับภูเขา และกับสิ่งต่าง ๆ
อีกมากมายเลย การอยู่ในปัจจุบันอย่างแท้จริง และรู้ว่าผู้อื่นก็อยู่ที่นั่น
ด้วยเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ยามที่เธอพินิจความงามของตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า
หากเธออยู่ที่นั่นอย่างแท้จริง เธอจะจดจำและซึมซาบใจอย่างลึกซึ้ง
มองไปที่ดวงตะวันรู้สึกมีความสุข เมื่อใดก็ตามที่เธออยู่ที่นั่นอย่าง แท้จริง
เธอจะสามารถจดจำและซึมซาบในปัจจุบันกับสรรพสิ่ง กับดวงจันทร์ กับดวงดาว
กับดอกไม้ และกับบุคคลอันเป็นที่รักที่สุดของเธอ
เธอสามารถเริ่มฝึกปฏิบัติได้ด้วยการหายใจเข้าและออกให้ยาวลึก
เมื่อเรียกตัวเธอให้ตื่นขึ้น เมื่อเธอนั่งอยู่ใกล้บุคคลซึ่งเธอรัก และตั้งมั่นตั้งจิตอย่างลึกซึ้ง
เธอจงเปล่งมนตราข้อที่สองนี้ออกมา "ฉันรู้ว่า เธออยู่ที่นั่นและฉันมีความสุข"
เธอมีความสุข และบุคคลที่เธอรักก็จะมีความสุขด้วยในขณะเดียวกัน
ด้วยมนตราเหล่านี้ที่เธอนำมาฝึกในชีวิตประจำวันของเธอ ตัวเธอจะกลายเป็น "นักรัก"
อย่างแท้จริง
มนตราข้อที่สาม "ที่รัก ฉันรู้ว่าเธอมีความทุกข์ และนี่คือเหตุผล ที่ฉันอยู่เพื่อเธอ"
เมื่อเธอดำรงอยู่ในสติ เธอจะสังเกตเห็นความทุกข์จากคนที่เธอรักได้
ถ้าคนเรามีความทุกข์ และคนที่เรารักมิได้เหลียวแล ความทุกข์ของเรา
เราจะมีความทุกข์มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแค่เธอฝึกที่จะหายใจอย่างลึกซึ้ง
แล้วเข้าไปนั่งอยู่กับคนที่เรารักและพูดว่า
"ที่รัก ฉันรู้ว่าเธอเป็นทุกข์
และนี่ก็คือเหตุผลที่ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ" แค่นี้
เธอก็จะสามารถช่วยบรรเทาความทุกข์อันมากมายของพวกเขาได้แล้ว
เพียงแค่เธอดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะกับพวกเขาที่นั่น
ส่วนมนตราข้อที่สี่ "ที่รัก ฉันมีความทุกข์ โปรดช่วยฉันด้วย"
เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด เราจะปฏิบัติในขณะที่ตัวเราเองมีความทุกข์
และเราเชื่อว่าคนที่เรารักเป็นบุคคลหนึ่งที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์นั้นของเธอ
มนตรานี้คือ
"ที่รัก ฉันมีความทุกข์ โปรดช่วยฉันด้วย"
แม้ว่ามนตราข้อนี้จะเป็น
คำเพียงไม่กี่คำ แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับไม่สามารถเอ่ยคำเหล่านี้ได้ ด้วย อัตตา ทิฐิ
ศักดิ์ศรีในใจของพวกเขา ถ้ามีใครคนอื่นได้พูดหรือทำในสิ่งเดียวกันกับคนที่เธอรัก
เธออาจจะไม่ทุกข์มาก แต่เพราะว่าเขาเป็น คนที่เธอรัก เธอแคร์
เธอจึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากจนอยากจะปลีกตัวไปจากเขาเสียเพื่อร่ำไห้
แต่ถ้าเธอรักเขาหรือหล่อนจริง ๆ ในขณะที่เธอ เป็นทุกข์เช่นนั้น
เธอควรจะขอความช่วยเหลือจากเขาหรือหล่อน
โดยเธอจะต้องเอาชนะความหยิ่งหรือศักดิ์ศรีของเธอให้ได้เสียก่อน
....................................................................
มีเรื่องเล่ากันว่า มีชายคนหนึ่งต้องไปรบในสงคราม
เขาได้ทิ้งภรรยากับบุตรในครรภ์ไว้เบื้องหลัง
สามปีต่อมาเขาถูกปลดจากกองทัพและกลับมาบ้าน
ภรรยาของเขาพาลูกน้อยมารับเขาถึงประตูบ้าน
ในขณะที่เขาใช้ให้ภรรยาของเขาไปตลาดเพื่อผลไม้และดอกไม้มาบูชาบรรพบุรุษ
เขาได้บอกให้ลูกชายของเขาเรียกเขาว่า "พ่อ" แต่เด็กน้อยกลับพูดอย่างไร้เดียงสาว่า
"คุณไม่ใช่พ่อผมนะ ปกติพ่อจะมาทุก ๆ คืน และแม่ของผมจะพูดกับเขาและร้องไห้
เมื่อแม่นั่งลงพ่อก็จะนั่งลงด้วย เมื่อแม่นอนลงพ่อก็จะนอน ลงด้วย"
เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นหินกระด้างเพราะ
นึกว่าภรรยาของเขามีชู้ เมื่อภรรยาของเขากลับมาบ้าน
เขาไม่ยอมมองหน้าภรรยาของเขาอีกเลย
และไม่ยอมให้ภรรยาของเขากราบไหว้บรรพบุรุษ ด้วย
เขาไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้อีกต่อไป
เขาหมกตัวอยู่ในร้านเหล้าและจะไม่ยอมกลับบ้านจนกระทั่งดึกดื่นแล้ว
สุดท้ายหลังจาก ๓ วันผ่านไป ภรรยาของเขาไม่สามารถจะทนต่อไปได้
เธอจึงไปกระโดดน้ำตาย
ในเย็นวันนั้นหลังจากพิธีฝังศพ ขณะที่ชายหนุ่มจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดขึ้น
ลูกชายของเขาก็ตะโกนออกมาว่า "นี่ไง พ่อของผม" เขาชี้ไปที่เงาของพ่อที่
ตกทอดอยู่บนกำแพงและพูดว่า
"พ่อของผมเคยมาในทุก ๆ คืนเช่นนี้
แม่ผมก็จะพูดกับเขาและร้องไห้ ถ้าแม่นั่งลง พ่อก็จะนั่งลง ถ้าแม่นอนลง
พ่อก็จะนอนลง...แม่พูดว่าที่รักเธอจากไปนานเหลือเกิน
แล้วฉันจะเลี้ยงลูกของเราตามลำพังได้อย่างไร" นางร้องไห้กับเงาของตัวเอง
คืนหนึ่งลูกชายถามนางว่า พ่อของเขาเป็นใครอยู่ที่ไหน
นางก็ชี้ไปที่เงาบนกำแพงและบอกว่า "นี่ไง พ่อของลูก" นางคิดถึงสามีของนางมาก
......................................
บัดนั้น เขาจึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว
...ความจริงถ้าเขาถามภรรยาของเขาตั้งแต่วันนั้นว่า
"ที่รัก ผมเป็นทุกข์อย่างมาก ลูกของเราบอกว่า พ่อของเขาเคยมาหา เขาทุก ๆ คืน
และเธอก็พูดกับเขาและร้องไห้กับเขา และทุกเวลาที่เธอนั่งลง เขาก็จะนั่งลงด้วย
บุคคลนั้นคือใครหนอ"
เรื่องทั้งหมดก็จะลงเอยด้วยดี
แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้นด้วยความหยิ่ง ในศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย และตัวนางเองทั้ง ๆ
ที่นางปวดร้าวใจมากจากพฤติกรรมของเขา แต่กลับไม่ได้ขอร้องให้เขาช่วย
นางควรใช้มนตราข้อที่สี่พูดกับเขาก่อนว่า
"ที่รัก ฉันทุกข์ทรมานมาก โปรดช่วยฉันด้วย
ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมเธอ จึงไม่มองหน้าฉัน และพูดกับฉันเลย ฉันทำสิ่งใดผิดหรือ"
ถ้านางทำเช่นนั้น เขาก็คงบอกหล่อนถึงสิ่งที่ลูกชายของเขาได้พูดออก มา
แต่นางก็ไม่ได้ทำ เพราะนางก็ติดอยู่ในศักดิ์ศรีเช่นกัน
....................................................................
ในรักที่แท้ ความจริงไม่มีที่สำหรับศักดิ์ศรีหรอก
โปรดอย่าตกอยู่ในบ่วงโซ่นี้
เมื่อใดที่เธอถูกทำให้ปวดร้าวใจจากคนที่เธอรัก
เมื่อใดที่เธอทุกข์ทรมานและเห็นว่าความทุกข์ของเธอ
มีสาเหตุมาจากบุคคลที่เธอรักที่สุด
จงนึกถึงเรื่องข้างต้น และปฏิบัติมนตราข้อที่สี่
---------------------------------------------------------
จากหนังสือ เมตตาภาวนา โดย ท่านติช นัท ฮันห์
_________________
"มะพร้าวนาฬิเก ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญบาปเอย"
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
ตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2006, 3:38 pm
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th