Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ชีวิตนี้มีแต่กำไร
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2006, 2:31 pm
คอลัมน์ มองย้อนศร
[ เป็นคอลัมน์รายสัปดาห์ ลงตีพิมพ์ใน โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันเสาร์ เขียนโดย..ทีมงานพุทธิกา ]
โดย... พระไพศาล วิสาโล
http://www.budnet.info/webboard/view.php?category=texta&wb_id=59
มีนิทานเล่าว่าขณะที่ชายสองคนอ้วนผอมเดินทางข้ามเมือง
ก็ได้พบลาพลัดหลงมาตัวหนึ่งอยู่กลางทาง
ทั้งสองดีใจและตกลงว่าจะนำลาตัวนี้
ไปขายที่ตลาดในเมืองที่อยู่ข้างหน้า
ชายคนผอมรับอาสาทำหน้าที่นี้
ระหว่างที่จูงลาไปยังตลาด
ได้พบชายหนุ่มซึ่งถือปลามา ๒ ตัว
ชายคนนี้มีความสนใจลา
จึงขอลองขี่ดูก่อน หากพอใจก็จะซื้อ
ก่อนขี่ลาเขาวานชายผอมให้ช่วยถือปลาให้
เขาขึ้นขี่ลาแล้วก็วนไปรอบ ๆ
ยิ่งขี่ก็ตีวงกว้างขึ้น สุดท้ายก็ลับหายไป
ชายผอมตามหาลากลับมาไม่ได้
จึงเดินกลับไปหาชายอ้วน
ชายอ้วนเห็นเข้าก็เข้าใจว่าขายลาได้แล้ว
จึงถามว่า ขายได้เท่าไหร่
เท่าทุน ชายผอมตอบ แล้วก็นึกขึ้นได้
ไม่ใช่ ๆ ๆ ได้กำไรเป็นปลา ๒ ตัว
ว่าแล้วก็ชูปลาที่ได้รับฝากไว้ให้ชายอ้วนดู
ชายอ้วนอาจโมโหที่สูญเสียลาไป
เพราะเงินก้อนใหญ่ที่จะได้จากการขายลานั้นจู่ ๆ ก็หายไป
แต่ชายผอมไม่ได้ทุกข์ร้อนเลย
เขาพูดผิดหรือไม่เมื่อเขาบอกว่า เท่าทุน"
เพราะลาที่ถูกขโมยไปนั้นเป็นลาที่เขาได้มาฟรี ๆ
ที่จริงเขารู้สึกว่าได้กำไรด้วยซ้ำ
เพราะทีแรกนั้นเดินทางตัวเปล่า
แต่ตอนนี้ได้ปลามา ๒ ตัว
โดยที่ไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย
เมื่อเราสูญเสียไปอะไรก็ตาม
เคยคิดบ้างไหมว่าเรา เท่าทุน
เพราะเราทุกคนเกิดมาตัวเปล่าเท่านั้น
ของที่มีอยู่ทุกวันนี้ล้วนได้มาทีหลังทั้งนั้น
ไม่ว่าเป็นเงิน ทรัพย์สมบัติ หรือแม้แต่คนรัก
อันที่จริงแม้จะสูญเสียอะไรไป
แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายอยู่กับเรา
แม้เงินหายไปหมื่นบาท แต่สมบัติอีกมากมายก็ยังอยู่
แม้กิจการจะล้มละลาย แต่ก็ยังมีบ้านอยู่
พ่อแม่คนรักและลูกหลานก็ยังอยู่
ไม่ต้องพูดถึงสติปัญญาความรู้
และช่องทางทำมาหากินต่าง ๆ อีกมากมาย
นั่นหมายความว่า เรายัง กำไร อยู่
คนที่เคยทำกำไรปีที่แล้ว ๑๐ ล้านบาท
แต่มาปีนี้กำไร ๑ ล้านบาท
ถึงกำไรจะหดหายไปมากมาย ก็ยังมีกำไรอยู่นั่นเอง
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเขาจะเลือกมองตรงไหน
มองส่วนที่หดหายไป หรือมองส่วนที่ยังมีอยู่
ถ้ามองส่วนที่หดหายไป ก็ทุกข์
แต่ถ้ามองส่วนที่ยังมีอยู่ ก็สุขหรืออย่างน้อยก็เป็นปกติ
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา
การมองในแง่บวกช่วยให้เราไม่ทุกข์
เวลาประสบความล้มเหลว
เรามองในแง่บวกได้หลายแง่ด้วยกัน
เช่น มองว่ายังดีที่ไม่เสียหายมากกว่านี้
หรือมองว่าเป็นบทเรียนสำหรับปรับปรุงการทำงาน
ให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป
ที่สำคัญไม่น้อยก็คือการมองว่าความล้มเหลวนี้
มาช่วยเตือนใจไม่ให้ประมาทหรือหลงระเริง
มุมมองอย่างหลังนี้มีประโยชน์อย่างมาก
สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จอยู่เสมอ
ในทำนองเดียวกันเมื่อถูกตำหนิ
แทนที่จะหัวเสีย (ซึ่งแสดงว่า ขาดทุน)
เราสามารถเปลี่ยนให้เป็น กำไร ด้วยการมองว่า
คำตำหนิดังกล่าวมาช่วยเตือนใจ
ไม่ให้หลงเพลิดเพลินไปกับคำสรรเสริญ
ความสำเร็จและคำสรรเสริญนั้นใคร ๆ ก็ชอบ
แต่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ
และได้รับคำสรรเสริญตลอดเวลา
ความล้มเหลวและคำตำหนิ
เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็นของคู่กัน
เมื่อมีความสำเร็จก็ต้องมีความล้มเหลว
เมื่อมีคำสรรเสริญก็ต้องมีคำนินทา
เปรียบเหมือนมีหัวก็ต้องมีก้อย
มีหน้ามือก็ต้องมีหลังมือ นี้เป็นธรรมดาโลก
เพราะไม่มีอะไรที่เที่ยง
นักกีฬาที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกในที่สุด
ก็ต้องพ่ายแพ้แก่ผู้อื่นเพราะสังขารโรยรา
ไม่มีนางงามคนใดครองตำแหน่งไปได้ตลอดชีวิต
ไม่นานก็ต้องคืนให้ผู้อื่นไป
เคยเห็นบ้างไหมงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา
อันที่จริงในสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จนั้น
ก็มีความล้มเหลวแฝงอยู่ด้วย
ในทำนองเดียวกันในความงามก็มีความไม่งามแฝงอยู่
ในความหนุ่มสาวก็มีความแก่เฒ่าแฝงอยู่
คนที่ทำอะไรสำเร็จก็ตาม
หากทำสิ่งนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในที่สุดก็ต้องประสบกับความล้มเหลว
ทีมฟุตบอลที่ใช้แผนเดิมตลอดเวลา
แม้ครั้งแรก ๆ จะชนะ
แต่ในที่สุดก็ต้องปราชัยจนได้
เพราะไม่มีวิธีใดที่ใช้การไปได้ตลอด
ไม่ว่าจะมีรูปร่างสวยงามหรือหล่อเหลาเพียงใด
ถ้าไม่อาบน้ำชำระร่างกายนาน ๆ
ความน่าเกลียดก็ปรากฏให้เห็น
เด็กที่เพิ่งคลอดก็ถือว่าแก่ เมื่อเทียบกับทารกในครรภ์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความสำเร็จคือความล้มเหลวที่ยังไม่ปรากฏ
ความงาม คือ ความไม่งามที่ยังไม่ปรากฏ
และความหนุ่มสาว คือ ความแก่เฒ่าที่ยังไม่ปรากฏ
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เป็นขั้วตรงข้ามนั้น
ที่จริงไม่ได้อยู่แยกจากกันเลย
หากอยู่ด้วยกัน และมาคู่กัน
ด้วยเหตุนี้เมื่อใดก็ตามที่ได้รับความสำเร็จ
หรือประสบสิ่งที่น่าพึงพอใจ
ผู้ที่รู้เท่าทันธรรมดาของโลก
ย่อมไม่หลงระเริงหรือประมาทตายใจ
เพราะตระหนักดีว่าความล้มเหลว
หรือสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจนั้น
ไม่ช้าก็เร็วย่อมบังเกิดขึ้นแก่ตน
และเมื่อถึงคราวที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ ก็ไม่ทุกข์
เพราะเตรียมใจไว้แล้ว
ความทุกข์เกิดขึ้นกับเรา
ก็เพราะไม่รู้เท่าทันธรรมดาของชีวิต
ที่มีความแปรเปลี่ยนอยู่เป็นนิจ
เวลาได้รับคำสรรเสริญชื่นชมก็ดีใจได้ปลื้ม
แต่พอถูกตำหนิติเตียนก็ย่อมเฉียวฉุนขุ่นเคืองเป็นธรรมดา
ใครที่สงสัยว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์
เวลามีคนตำหนิ คำตอบก็อยู่ตรงนี้เอง
นั่นคือเวลามีคนชมก็อย่าไปหลงใหลได้ปลื้ม
ให้ระลึกว่าเมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา
ไม่มีใครที่ได้รับแต่คำชื่นชม
แม้แต่คนที่เคยชื่นชมเราก็อาจหันมาตำหนิได้
ถ้าเตรียมใจไว้ได้เช่นนี้
ถึงเวลาที่คำตำหนิพุ่งมาหา ก็ทำใจเป็นปกติได้
และถ้ารู้จักมองให้เป็นบวก
ก็จะได้ประโยชน์เป็น กำไร
เช่น มองว่าสิ่งที่เขาพูดนั้น
มีอะไรที่เราจะนำไปใช้ปรับปรุงแก้ไขตัวเองได้บ้าง
หรือถือเป็นเครื่องย้ำเตือนตนเองธรรมดาของโลกเป็นเช่นนี้เอง
ถ้าเตรียมใจรับมือกับคำตำหนิและความล้มเหลวอยู่เสมอ
เมื่อประสบกับความสูญเสียพลัดพราก
หรือเหตุร้ายที่รุนแรงยิ่งกว่านั้น
เช่น ป่วยหนัก เราก็มีภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกัน
ไม่ให้ความทุกข์ครอบงำจิตใจได้มากนัก
แม้ทีแรกอาจเศร้าโศกเสียใจ แต่ไม่นานก็จะตั้งตัวได้
แต่นั่นก็หมายความว่าเราจะต้องระลึกไว้เสมอด้วยว่า
สิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่นั้น
ไม่ว่า ทรัพย์สมบัติ สุขภาพ ครอบครัว
สามารถแปรเปลี่ยนพลิกผันไปได้ตลอดเวลา
อย่าไปเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้นจนลืมตัว
ถ้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเรากำลังตกอยู่ในความประมาทแล้ว
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
ตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2006, 3:39 pm
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th