Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 มีอารมณ์ไม่อยากจะยึดถือสิ่งใดๆ ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว??? อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สิรินาถ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 พ.ค.2006, 9:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้ามีอารมณ์ดังต่อไปนี้ ท่านผู้ทรงภูมิธรรมทั้งหลาย โปรดแนะนำด้วยต่อด้วยว่าควรทำต่ออย่างไร
"เวลานี้เขาด่าเรานินทาเรา แต่เมื่อก่อนนี้เขานิยมชมชอบเรา แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็เคยด่าเคยดูถูกเราทำไมหนอสิ่งต่างๆในโลกนี้ถึงมีการเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลานะ ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่จบสิ้นอย่างนี้หนอ...
เวลานี้เรามีความทุกข์ อยู่ที่ทำงานเราทุกข์เพราะงาน เพราะคนรอบข้าง เพราะเพื่อนเรา เพราะนายเรา เพราะลูกน้องเรา เราจักกลับไปบ้านแล้วอยู่อย่างเป็นสุขดีกว่า แต่โอหนอ เมื่อเช้าเราก็พึ่งออกจากบ้านมาแท้ๆ มาสู่สถานที่อันเป็นทุกข์ แล้วเวลานี้เรากำลังขับรถกลับไปบ้านเพื่อหาความสุข ทำไมหนอเราถึงต้องอยู่ในสถานที่ที่เป็นสุขเป็นทุกข์วนไปวนมาเช่นนี้หนอ...

ฉันไม่อยากจะยึดถือสิ่งใดๆ ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว พอกันที สุขก็ยึดไม่ได้ ทุกข์ก็ยิ่งยึดไม่ได้ เราจักไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ต่อไปอีกแล้ว
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 25 พ.ค.2006, 11:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฉันไม่อยากจะยึดถือสิ่งใดๆ ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว พอกันที สุขก็ยึดไม่ได้ ทุกข์ก็ยิ่งยึดไม่ได้ เราจักไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ต่อไปอีกแล้ว

คำๆนี้ใครๆก็คิดได้ครับ แต่ปฏิปทา จะไปให้ถึง ความไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ คุณมีรึเปล่า
ถ้ายังไม่มี ควรจะศึกษาให้เข้าใจ ถึงปฏิปทนา และ ปฏิบัติ ตามแนวมหาสติปัฏฐานนะครับ
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2006, 2:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กราบสวัสดี คุณสิรินาถ

พิจารณาได้ โลกธรรมแปด มีลาภ/เสื่อมลาภ..มียศ/เสื่อมยศ...สุข/ทุกข์..สรรเสิรญ/นินทา. รู้เท่าทัน วางจิตให้เป็นกลาง เกิดขึ้นมาแล้วมันก็แปรปรวนแตกดับไป ไม่ยั่งยืน วนเวียนซ้ำซากอยู่เช่นนี้ ที่ว่าสุขก็หาได้จีรังดังปรารถนา ที่ว่าไม่อยากก็ยังอยาก อยากในไม่อยาก ที่ว่ายึดไม่ได้ก็ยังยึดอยู่ ฝึกเจริญสติระลึกรู้ให้ตรงอารมณ์ ความรู้สึก ให้เห็นสภาวะเกิดได้ สลายได้ ตามความเป็นจริง ตรงนี้แค่ความรู้สึกว่าเบื่อ

เจริญในธรรม

มณี ปัทมะ ตารา
ผีเสื้อ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
Retsuya
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2006, 6:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การทำสมาธิ
การทำสมาธิ ทำเพื่อให้จิตสงบ หลีกเร้นจากความฟุ้งซ่าน และเป็นการเตรียมพลัง เหมือนเราชาร์ตแบตตอรี่ในเวลากลางคืนแล้วพอตอนเช้าก็เอาไปใส่โทรศัพท์มือถือ ทำให้ใช้งานได้ไปตลอดวัน

การทำสมาธิ ไม่ได้นั่งเพื่อจะเห็นอะไร ไม่ได้นั่งเพื่อถอดจิตไปไหน แต่นั่งเพื่อให้ใจสงบ ให้สติกินข้าว สติจะได้มีแรง

หลวงพ่อชาบอกว่า “ นั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง จะเย็นไปได้ 3 วัน “ เพราะฉะนั้น ถ้าเรานั่งทุกวันติดต่อกัน ก็จะเย็นไปเป็นปี ถ้าใครนั่งไม่ได้ ก็นั่ง 10 นาที จะเย็นไปได้ 1 วัน

ตอนนั่งสมาธิ เราจะรู้สึกว่ามีเรื่องหลายเรื่องมากกว่าตอนไม่ได้นั่ง เรื่องอะไรไม่รู้เข้ามาตีกันเต็มในหัว แต่แม้กระนั้นก็ให้ลองสังเกตดูว่า ในท่ามกลางความยุ่งเหยิงในสมองเป็นเวลา 10 นาทีนั้น ถ้าทำทุกวัน ยังจะปรากฏความเย็นได้ 1 วัน นอกเวลานั่งสมาธิได้ คือ มันยังให้ผลอยู่ได้เหมือนกัน ก็แปลกดี แต่จริง




--------------------------------------------------------------------------------

การทำสมาธิ จากหนังสือธรรมะรอบกองไฟ
เรียบเรียงโดย ขวัญ เพียงหทัย
คลิกอ่านเนื้อหาในหนังสือทั้งหมดที่นี่
 
สิรินาถ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 พ.ค.2006, 12:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณครับสำหรับทุกคำแนะนำ
มีหลวงพ่อองค์ไหนเขียนหรือเทศน์อธิบายเรื่องมหาสติปัฏฐานบ้างครับ หาซื้อหนังสือหรือเทปได้ที่ไหน

จริงอย่างที่คุณปุ๋ยบอกครับ มันมีอารมณ์เบื่อๆ อยากๆ ทำอย่างไรจึงจะรักษาความรู้นั้นไว้ได้ตลอดครับ เพราะขณะที่มีความรู้สึกนั้น ใจมันมีความสุขอีกแบบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันไม่เหมือนกับเรามีความสุขเพราะความปรารถนาอย่างใดอย่างหนึ่งสมหวัง หรือได้พบกับเรื่องหรือสิ่งที่เราชอบ มันจะรู้สึกเฉยๆ ไม่แยแสกลับสิ่งที่เราเคยชอบ และส่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกครับที่มีความรู้สึกแบบนั้น เพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมต้องพบกับความทุกข์เช่นนั้นอยู่หลายครั้ง พอเวลาเราทำอะไรสำเร็จแล้วเกิดความรู้สึกภูมิใจหรือดีใจ มันก็จะหวนกลับไปนึกถึงสิ่งแย่ๆ ที่ผ่านจนบางครั้งก็ขยาดจะตั้งความปรารถนาสิ่งใดๆ ในชีวิติอีก ยิ่งเห็นคนรอบๆ ข้างตายไปทีละคนด้วยวัยอันไม่สมควร บางคนก็จะใกล้จะประสบความสำเร็จในชีวิต ชีวิตกลับสั้นพลันตาย ทำให้มานึกถึงตัวเองว่า ตัวเราเองก็จะต้องตายแน่ๆ และจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สิ่งต่างๆ ที่เราสร้างหรือพยายามหามาสะสมไว้มันจะมีประโยชน์อันใด และถ้าชาติหน้ามีจริง เราก็ต้องเกิดมาสร้างหรือสะสมทรัพย์สมบัติ พี่น้อง เพื่อนฝูง บุตร ภรรยา อย่างนี้อีกหรือ แล้วเมื่อไหร่จะได้พักจริงๆ เสียที คิดทบทวนแล้วก็เหนื่อย บางครั้งก็อยากจะขับรถไปที่ไกลๆ จากผู้คนทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ไม่อยากจะสนใจอีก แต่ก็รู้สีกว่าทำแบบนี้มันไม่ได้ช่วยอะไร
บางครั้งการที่เราไม่อยากจะสนใจกับอะไรทั้งหมด อยากทิ้งทุกอย่าง เพราะรู้แล้วว่าสักวันสิ่งที่เราสร้างไว้จะต้องเปลี่ยนแปลงไป และหมดไปสักวันหนึ่ง ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ให้หมดไปวันๆ เพื่อรักษาสถานะที่ตนเองมีอยู่ไปเรื่อยๆ รักษาหน้าที่ที่เราขวนขวายอยากได้เองมาตั้งแต่ต้น การเป็นหัวหน้าคนอื่นก็ดี การเป็นสามีก็ดี การเป็นน้องก็ดี หน้าที่ของการเป็นพี่ชายก็ดี มันตีกรอบให้เราต้องทำอะไรอยู่ตลอดเวลา
พอเรากลายเป็นคนหมดไฟไปแล้ว (คอยได้ยินเพื่อนแซวว่าอย่างนั้น) มันก็ทำให้คนรอบข้างเห็นว่าเราเป็นคนไม่เอาไหนไม่พัฒนางาน โดยเฉพาะถ้าเป็นหัวหน้าเรายิ่งแย่ใหญ่

การพยายามทรงความรู้แบบนั้นไว้ให้ได้ตลอดจะทำให้เราหลุดพ้นจากความเกิดได้ใช่ไหมครับ พระพุทธองค์ตรัสไว้อย่างนั้นหรือเปล่าครับ

ผมตั้งใจว่าจะรักษาความรู้อย่างนั้นไว้ให้ได้ตลอดเท่าที่จะทำได้เพราะตอนนี้ผมมีความรู้แค่นั้น ถ้าใครกรุณาแนะนำธรรมที่สุงขึ้นกว่านี้ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง ผมต้องการทำเพื่อตัวเองครับ เพราะผมรู้แล้วว่าผมต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง ถึงปลายทางของชีวิตแล้วตัวผมนั้นแหละที่จะต้องเป็นผู้รับสิ่งที่ผมได้ทำไว้แล้ว ความตายจะเวียนมาหาผมเมื่อไรก็รู้ บางทีวันนี้อาจเป็นวันตายของผมก็ได้
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 27 พ.ค.2006, 2:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กราบสวัสดี คุณสิรินาถ

การปฏิบัติธรรมของคุณมีอยู่เป็นปกติตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่คุณลืมสังเกตพิจารณาไป ธรรมะปฏิบัติที่สุดแล้วมิใช่เรื่องพิสดารปาฏิหาริย์แต่อย่างใด หากแต่แก่นแท้ของศาสนาที่บรมศาสดาท่านทรงวางแนวทางไว้ คือเรื่องการมองโลกแห่งความเป็นจริงในธรรมดาของธรรมชาติโลกนั่นเอง

ที่คุณกล่าวมา ก็พิจารณาได้ด้วยตัวคุณเอง ก็ว่ากายใจของคุณ อารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในกายในจิตคุณ แล้วบังคับมันให้สุขตลอด ทุกข์ตลอด เบื่อตลอด เฉยตลอดได้หรือไม่ อารมณ์ความรู้สึกของคุณแท้ๆ คุณยังไม่สามารถบังคับให้มันนิ่งได้ดั่งใจ นี่คือความจริง นี่คือความปกติ สุข ทุกข์ เบื่อ นิ่ง เฉย ก็รู้ ย้อนดูอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ให้มันสั้นเข้า เกิดได้ ย้อนดูคลายไป สลายไป ให้สั้นๆเข้า อารมณ์ใดเกิดก็รู้ รู้สึกใดเกิดก็รู้ มันออกมาจากจิต ย้อนกลับไปดูตรงจิต จิตที่มันคอยปรุงสุข ทุกข์ ฯลฯ เรื่องธรรมดาเลย รู้อยู่แค่นี้ ไม่ได้ไปรู้นรก สวรรค์ที่ไหนเลย

ทำเป็นปกติได้เช่นนี้ พักได้ตลอด พักก่อนได้พักจริง หลุดนี่ก็คงหลุดจากความยึดในโลกแห่งสมมติว่าเที่ยงแท้แน่นอนเท่านั้น หลุดพ้นจากความเกิดการปรุงแต่งต่างๆให้ยืดเยื้อซ้ำซากเป็นเรื่องเป็นราวต่อไปเท่านั้น คุณก็ทำหน้าที่ถูกแล้ว หน้าที่ของมนุษย์ทางโลกก็มีอยู่เท่าที่คุณกล่าว แต่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ก็จงควบคู่กับทางธรรม ฝึกเจริญสติจรดตรงอารมณ์ ความรู้สึก ณ ปัจจุบันขณะ ให้สั้นที่สุด

เจริญในธรรม

มณี ปัทมะ ตารา

ศึกษาได้ตามลิ้งค์ข้างล่างค่ะ


http://www.mahaeyong.org/
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 มิ.ย.2006, 4:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองพิจารณาอริยัสสัจ4 ดูนะครับว่าคืออะไรมีอะไรและหมายถึงอะไร แล้วลองเปรียบเทียบเข้ากับตัวเอง เช่นอารมณ์เบื่อไม่อยากอะไรทั้งสิ้น ก็เป็นหนึ่งในความทุกข์(วิภาวตัณหา)
สาเหตุแห่งทุกข์ และวิธีการดับทุกข์ก็มีกล่าวไว้แล้ว ลองศึกษาและปฏิบัติดู ก็จะพบกับความไม่มีทุกข์
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง