ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ชัยพร พอกพูล
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2006
ตอบ: 73
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
30 พ.ค.2006, 9:40 am |
  |
ผมเป็นนักเขียนการ์ตูนสมัครเล่นครับ รบกวนผู้รู้ช่วยอธิบายเรื่องพุทธทำนายที่พุทธองค์ทำนายไว้เรื่องที่ในอีก 2500 ปีข้างหน้า พุทธศาสนาจะถึงการเสื่อมถอยครับ ว่าตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เช่น ชาวพุทธจะเป็นอย่างไรบ้าง ศาสนาอื่นเป็นอย่างไรบ้างและพระศาสนาจะถึงกาลดับสูญจริงหรือและเพราะเหตุอันใดจึงเป็นเช่นนั้น ข้อมูลเหล่านี้ผมจะนำมาใช้เพื่อเตือนสติเด็กๆ ที่ไม่ค่อยสนใจธรรมะ เพราะผมคิดว่าการ์ตูนน่าจะเป็นสื่อหนึ่งที่เข้าถึงเด็กๆ ได้ดีครับ ขอความกรุณาด้วยครับ  |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
   |
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
30 พ.ค.2006, 4:09 pm |
  |
เรื่อง พุทธทำนาย ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้มีการบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่มีการกล่าวถึงและรอผลการทำนายมาเนิ่นนานถึงกึ่งพุทธศตวรรษ ซึ่งข้อพิสูจน์บางอย่างก็ได้เห็นจริงแล้ว แต่บางอย่างยังคงต้องใช้เวลาพิสูจน์ต่อไปในอนาคต การทำนายของพระสัพพัญญูเจ้านั้น คงไม่ต้องใช้วิธีการใด ๆ ในทางโหราศาสตร์ทุกแขนง เพียงแต่พระพุทธองค์ท่านทรงกำหนดจิตพิจารณาเท่านั้น ก็ทรงมีพุทธทำนายออกมาได้ทันที ซึ่งปฐมเหตุแห่งพุทธทำนายนั้นมีความเป็นมาดังนี้
ในสมัยพุทธกาล ณ ราตรีหนึ่ง พระยาปัตเวน หรือ พระเจ้าปเสนทิโกศล จอมกษัตริย์ แห่งกรุงสาวัตถีได้ทรงพระสุบินนิมิต (ฝัน)ถึงเหตุประหลาด ๑๖ ประการ จนสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม ทรงหวาดหวั่นเป็นกำลัง เมื่อไต่ถามพราหมณ์ปุโรหิตให้พยากรณ์ ก็มีคำพยากรณ์ออกมาว่าจะเกิดอันตรายขึ้น ๓ ประการ คือ ๑. อันตรายแก่ราชสมบัติ ๒. อันตรายแก่พระมเหสี ๓. อันตรายแก่พระชนม์ชีพของพระองค์ " ผลคำพยากรณ์พระสุบินนิมิตนี้ เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ พราหมณ์ได้กราบทูลให้จับสัตว์มาอย่างละ ๔ ตัวเพื่อทำพิธีบูชายัญ
เรื่องนี้พระนางมัลลิกา (พระมเหสี) ได้ไปทูลถามพระพุทธองค์ พร้อมกับพระเจ้าปเสนทิโกศล ถึงพระสุบินนิมิตอันแปลกประหลาด จึงได้รู้ความจริงจากพระบรมศาสดาว่า "มหาสุบินนิมิต ๑๖ ประการนั้น จะไม่บังเกิดในขณะนั้น และมิได้บังเกิดในรัชกาลของพระองค์ " จึงทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเลิกพิธีจับสัตว์มาบูชายัญเสีย ด้วยจะเป็นกรรมเวรสืบกันไป และไม่บังเกิดผลดีอย่างไร
การที่พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงพระสุบินนิมิตเหตุประหลาดถึง ๑๖ ประการนั้นเป็นเพราะเทวดาคงจะต้องการบอกเหตุ โดยอาศัยพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นสื่อ และยังได้ดลใจให้ไปทูลถามพระพุทธองค์จึงได้เกิดคำพยากรณ์ขึ้นเป็นวิสามัญเหตุ และอุบัติการณ์ที่อยู่ในข่ายพระบารมีของสมเด็จพระบรมศาสดาจะได้ทรงตรัสคำพยากรณ์อันเป็นอมตะนี้ ซึ่งรายละเอียดของพระสุบิน และคำพยากรณ์ เป็นอย่างไรก็ขอเชิญท่านผู้อ่านได้สดับ และวินิจฉัยเป็นข้อ ๆ ดังนี้
ข้อ ๑. ในสุบินว่า"ได้เห็นโคอุสุภราชสีดำ ๔ ตัว มาแต่ทิศทั้ง ๔ ทำอาการเหมือนจะชนกันที่หน้าพระลานหลวง ครั้นมหาชนมามุงดู โคอุสุภราชทั้ง ๔ ทำเหมือนจะชนกันจริง ๆ ส่งเสียงคำรามร้องกึกก้อง แล้วต่างตัวต่างก็ถอยหลังไปไม่ชนกันอย่างที่คิด"
มีพุทธพยากรณ์ว่า "จะมีเมฆดำตั้งขึ้นในทิศทั้ง ๔ เสียงฟ้าลั่นอยู่ครืน ๆ ทำทีเหมือนฝนจะตก แต่ก็มิตก ทำให้เกิดการเสียหายแก่พืชผล เกิดข้าวยากหมากแพงในประเทศ"
ถ้านำเอาพุทธพยากรณ์มาเปรียบเทียบกับดวงดาวในวิชาโหราศาสตร์ "โคอุสุภราชสีดำทั้ง ๔ตัว สีดำ ก็คือ ดาวเสาร์ ซึ่งหมายถึงความทุกข์ยากแห้งแล้ง ส่วนโคอุสุภราช หมายถึง เมฆฝน เพราะเป็นสัตว์สวรรค์บนท้องฟ้า คล้ายเมฆดำอันหมายถึง โคดำ นั่นเอง"
ข้อ ๒. สุบินว่า "เห็นต้นไม้และกอเล็ก ๆ ผุดขึ้นจากดินแล้วเจริญขึ้นโดยลำดับ ผลิตดอกออกผลในขณะที่เล็กๆอยู่นั้น"
ทรงพระพุทธทำนายว่า "โลกสมัยต่อไปจะเสื่อม อายุผู้คนจะสั้น แต่กิเลสกลับร้อนแรงขึ้น จะสมสู่กันแต่เล็ก ๆ จนเกิดลูกหลานเมื่ออายุยังน้อย เหมือนต้นไม้เล็กมีดอกผลฉะนั้น"
พุทธทำนายข้อนี้ ปัจจุบันได้บังเกิดให้เห็นกันบ้างแล้ว ถึงแม้ความเจริญทางด้านการแพทย์จะสูงขึ้น แต่คนก็ยังอายุสั้นและตายกันง่ายอยู่ดี เพราะสภาพมลภาวะที่เป็นพิษ และอาวุธที่ทันสมัย ฆ่ากันให้ตายได้ในพริบตาเดียว นี่ขนาดยังไม่รวมถึงโรคร้ายที่รักษาไม่หาย เช่น เอดส์ หรือ มะเร็ง ส่วนการที่คนมีกิเลสตัณหามากขึ้น มีการสมสู่กันแต่เล็ก ๆ หรือผู้ใหญ่เองก็เถอะ นิยมสมสู่กับเด็ก ๆ อายุไม่เกิน ๑๓ เมื่อสัก ๖ หรือ ๗ ปี ก่อน เคยมีข่าวว่า มีเด็กคนหนึ่ง อายุ ๑๑ ขวบ (จีนไต้หวัน) คลอดลูกออกมา แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เชื่อในพุทธทำนายได้อย่างไรล่ะครับท่าน
ข้อ ๓. สุบินว่า "แม่โคดูดนมลูกโค ซึ่งเกิดในวันนั้น" ทรงพระพุทธทำนายว่า" ต่อไปการเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ จะเสื่อมถอยลง และในทางตรงกันข้าม ผู้ใหญ่ต่างหากจะต้องประจบเด็ก เหมือนแม่โคดูดนมลูกโคฉะนั้น"
ในปัจจุบัน ผู้ใหญ่ในความคิดของเด็ก ๆ เหมือนหัวหลักหัวตอ ไอ้ที่จะมาเคารพนบไหว้นั้น ไม่ค่อยจะมีให้เห็น เมื่อสัก ๕ หรือ ๖ ปี มานี้ ได้มีลัทธิอุบาทว์ เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย มีคนหลงเข้าไปเป็นสาวกอยู่มาก มาจากพวกเกาหลีหรือญี่ปุ่นนี่แหละ มีการสอนให้ทำสมาธิ สอนไปสอนมาดันสอนออกมาได้ว่า "พ่อแม่มีหน้าที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดู ไม่ได้ถือเป็นบุญคุณอะไร" ตอนหลังกระทรวงศึกษาธิการทราบเข้า ก็เลยสั่งปิดสำนักต่าง ๆ ไปเสียหลายแห่ง และห้ามนำมาเผยแพร่เด็ดขาด ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ยังมีการลักลอบสอนกันอยู่หรือเปล่าในปัจจุบัน
เรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องมาประจบเอาอกเอาใจเด็กก็เหมือนกัน มีให้เห็นกันดาษดื่น ประเภทรักลูก โอ๋ลูกจนลูกเสียคน ดูอย่างนายพลคนหนึ่ง ที่ลูกชายไปก่อเวรสร้างกรรมกับภรรยา ที่มีดีกรีเป็นถึงรองนางสาวไทยและยังไปก่อวีรเวรกับชาวบ้าน ทำให้เดือดร้อนกันทั่ว แม้กระทั่งตำรวจบนโรงพักยังโดนเลย แต่แทนที่ผู้เป็นพ่อจะเห็นกับคุณธรรมหรือส่วนรวม กลับเข้าข้างลูกตนชนิดดำเป็นขาวทีเดียว นี่แหละหนาโลกยุคปัจจุบันสมดังพุทธทำนายไม่ผิดเพี้ยนเลย ยังมีพระสุบินนิมิตและพุทธทำนายอีก ๑๓ ข้อ คงต้องติดตามกันในตอนต่อไปแล้วล่ะครับ
--------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ ๒
พุทธทำนาย เกี่ยวกับสุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ได้ผ่านสายตาของท่านผู้อ่านไปแล้ว ๓ ข้อ ยังเหลืออยู่อีก ๑๓ ข้อ เพื่อไม่ให้เสียเนื้อที่ในการนำเสนอ ก็ขอว่ากันถึงข้อต่อไปเลยนะครับ
ข้อ ๔. สุบินว่า "เห็นคนเอาโคกำลังเอก หรือมีพละกำลังแข็งแรง ปล่อยปละเอาไว้ไม่นำเข้าเทียมแอก แต่กลับนำเอาโครุ่นที่ปราศจากกำลัง มาใช้เทียมแอกแทน ซึ่งเจ้าโครุ่นเมื่อไม่สามารนำเกวียนแล่นได้ ก็สลัดแอกนั้นเสีย" (โครุ่น เปรียบเหมือนเด็กวัยรุ่น ๑๕-๑๖, โคกำลังเอก เหมือนผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์)
ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปผู้มีปัญญาจะไม่ได้รับการยกย่องในหน้าที่ราชการ แต่ยศศักดิ์จะถูกนำไปให้แก่หนุ่มโง่ ๆ ซึ่งไม่สามารจะปฏิบัติราชการให้ดีได้ เหมือนคนปล่อยโคมีกำลังออก แล้วนำโครุ่นมาเทียมแทนนั้น"
ข้อนี้จริงแท้แน่นอน เหมือนกับคำพังเพยที่ว่า "ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน"ฉันใดก็ฉันนั้นขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ก่อนที่จะเสียกรุงครั้งที่ ๑ ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหินทราธิราช ที่ทรงหลงกลพระเจ้าบุเรงนองที่แกล้งปล่อยพระยาจักรี ที่ถูกจับได้ในสงครามคราวก่อน ให้มาเป็นไส้ศึก เมื่ออำนาจการบัญชาการสูงสุดในการป้องกันพระนครตกอยู่กับคนชั่วอย่างพระยาจักรี มันก็แกล้งสับเปลี่ยนตำแหน่งให้คนอ่อนแอ ไม่เอาไหน อยู่ด้านหน้า คนดีมีฝีมือก็ย้ายไปอยู่เสียด้านอื่นที่ไม่มีข้าศึกมาประชิด หากใครกล้าหือ ก็จะถูกกำจัดเสียด้วยเล่ห์กล ต่าง ๆ และอำนาจที่มีอยู่ขนาดพระศรีเสาวภาคย์ พระอนุชาแท้ ๆ ของพระมหินทร์ ที่มีความสามารถมากในการป้องกันพระนครยังถูกใส่ความว่าจะเป็นกบฎ จนต้องพระราชอาญาถึงประหารชึวิตในที่สุด
มาดูในสมัยปัจจุบันกันบ้าง ไม่ต้องอื่นไกล ก็ดูอย่างรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ที่ชื่อพม่า หน้าลาว เว้าเขมรนั่นประไร มีความรู้ความสามารถอะไรในด้านการคลัง เมื่อสะเออะอยากจะมาบริหารประเทศในด้านนี้ แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร เศรษฐกิจของไทยต้องพังพินาศยิ่งขึ้นจนเป็นเหตุให้ผู้คนต้องเดือดร้อนเพราะค่าเงินบาทมาจนทุกวันนี้ ให้คนร้องยี้จนขาดใจตาย คนพรรค์นี้ไม่มีทางรู้สำนึกหรอกครับ ทุกวันนี้ก็ยังมีวาสนาได้บริหารประเทศอีกวาระหนึ่ง ถ้ามีคนลักษณะนี้เข้ามาบริหารประเทศมาก ๆ กรุงรัตนโกสินทร์ก็คงถึงคราวพินาศเหมือนกรุงศรีอยุธยาได้เหมือนกันนะครับ
ข้อ ๕. สุบินว่า "เห็นม้าตัวหนึ่งมีปากสองข้าง คนสองคนยื่นข้าวให้ม้าคนละปาก ม้าเคี้ยวข้าวกล้าด้วยปาก ๒ข้างนั้น ทรงมีพุทธทำนายว่า ต่อไปผู้ใหญ่ในประเทศจักโลเล ไม่ยุติธรรม รับสินบนจากคู่ความทั้งสองฝ่าย แล้วตัดสินตามใจชอบของตน เอาแต่สินบนเป็นประมาณ เหมือนม้าเคี้ยวข้าวกล้าด้วยปากทั้งสองข้างฉะนั้น
ท่านผู้อ่านคิดว่าคนประเภทเห็นสินบนเป็นสรณะ ดั่งพุทธทำนายมีไหมครับในปัจจุบัน หรือหลังจากพุทธกาลล่วงมาแล้ว ถ้านึกไม่ออกลองหาละครประวัติศาสตร์ของไทย เช่น เรื่องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , สมเด็จพระศรีสุริโยทัย หรือละครจีนเรื่อง เปาบุ้นจิ้นมาดูซิครับ คงจะเห็นภาพพจน์ ตามพุทธทำนายได้ชัดเจนยิ่งขึ้นกระมัง
ข้อ ๖. สุบินว่า "คนเอาถาดทองคำราคาแสนตำลึง เอาไปให้สุนัขจิ้งจอก แล้วสุนัขนั้นก็ถ่ายปัสสาวะในถาดทองคำนั้น" ทรงมีพระพุทธทำนายว่า "ต่อไปคนดีมีตระกูลจะยากไร้สิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำจะได้เป็นใหญ่ ผู้มีตระกูลจะยกลูกสาวให้แก่ผู้ไม่มีตระกูล เหมือนสุนัขจิ้งจอกถ่ายปัสสาวะลงในถาดทองคำนั้น"
เคยได้ยินคำว่า "ผู้ดีตกยาก" ใช่ไหมครับ แล้ว "ขี้ข้าครองเมือง" ล่ะ ก็คงได้ยินเหมือนกัน เมื่อก่อนนี้ มีคำพังเพยว่า "สิบพ่อค้าไม่เท่ากับหนึ่งพระยาเลี้ยง" แต่สมัยปัจจุบันนี้ คำพังเพยข้อนี้ใช้ไม่ได้แล้วเพราะพวกพ่อค้านักธุรกิจทั้งหลายต่างก็มียศศักดิ์เป็นถึงรัฐมนตรี หรือ เสนาบดี หลายต่อหลายท่าน พวกข้าราขการประจำน่ะหรือ ขืนไม่เป็นสนลู่ลมล่ะก็ มีหวัง เด้ง ดึ๋ง ดึ๋ง แน่ ดีไม่ดีหากอยากก้าวหน้าหรือรักษาเก้าอี้เอาไว้ ถ้ามีลูกสาวสวย ๆ ล่ะก็ อาจจะนำไปเป็นเครื่องบรรณาการแด่ท่านผู้เป็นใหญ่ที่มาจากตระกูลต่ำต้อย สมดังพุทธทำนายก็ได้นะครับ
ข้อ ๗. สุบินว่า " เห็นบุรุษหนึ่งนั่งฟั่นเชือกอยู่บนตั่ง หย่อนปลายเชือกที่ฟั่นแล้วห้อยไปใต้ตั่งสุนัขจิ้งจอกตัวเมียนอนอยู่ใต้ตั่ง หิวจัด ได้กัดกินเชือกที่บุรุษฟั่นนั้นเรื่อย ๆ ไป ยิ่งฟั่น ก็ยิ่งหมดลงไปทุกทีแต่บุรุษนั้นหารู้ไม่" ทรงมีพระพุทธทำนายว่า " ต่อไปหญิงทั้งหลายจะเหลาะแหละกับผู้ชาย และชอบเสพสุรา ชอบซื้อแต่เครื่องประดับตกแต่งตน ชอบทำเสน่ห์ยาแฝด มิได้เหลียวแลการบ้าน ชอบคบชู้ จะผลาญทรัพย์ที่สามีหามาได้ด้วยความลำบากให้หมดสิ้นไป เหมือนนางสุนัขจิ้งจอก หิวจัด เคี้ยวเชือกที่บุรุษฟั่นนั้นให้หมดไป"
ข้อนี้ไม่ขอวิจารณ์ สุดแท้แต่ท่านผู้อ่านจะใช้วิจารณญาณเอาเอง ตัวใครตัวมันครับ เนื้อที่หมดแล้ว ก็คงจะต้องว่ากันต่อในตอนหน้า อย่าพลาดนะครับ
--------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ ๓
ข้อ ๘. สุบินว่า " ได้เห็นกระออมใหญ่ใบหนึ่งมีน้ำเต็ม และมีโอ่งเปล่าล้อมกระออมใหญ่อยู่หลายใบ มีคนมาตักน้ำจาก ๘ ทิศ เทลงในกระออมที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว แทนที่จะเทลงในโอ่งเปล่าที่ไม่มีน้ำ ดังนั้นน้ำในกระออมจึงไหลล้นออกมา " ทรงพระพุทธทำนายว่า " คนที่รวยอยู่แล้วยิ่งมีคนยากจนมาหารายได้ให้ หรือส่งเสริมให้รวยมากขึ้น การที่คนจนมาทำงานส่งเสริมให้คนรวย แทนที่จะสร้างฐานะให้ตนเองร่ำรวยก็เหมือนคนที่มาตักน้ำใส่กระออมอันมีน้ำเต็มอยู่นั่นเอง
คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มให้มากความ เพราะทุกวันนี้ก็เห็นกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ว่าอัตราส่วนคนจนกับคนรวยนั้น ห่างกันมากขนาดไหน ไม่งั้นคงไม่มีเพลงมาร้องปาว ๆ ว่า "เรามันจนก็ต้องจนต่อไปใครจะรวยเท่าไรก็ปล่อยให้รวยเสียให้เข็ด"
ข้อ ๙. สุบินว่า "สระใหญ่แห่งหนึ่งมีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม มีท่าขึ้นลงอยู่รอบสระ สัตว์ต่าง ๆ พากันลงมาดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่ริมสระน้ำจะขุ่น เพราะสัตว์ลงมาดื่มกิน น้ำกลับใส ส่วนที่กลางสระที่สัตว์ต่าง ๆ พากันไปไม่ถึงนั้นแทนที่น้ำจะใสกลับขุ่นคลั่ก" ทรงพระพุทธทำนายว่า" ต่อไปผู้เป็นใหญ่ในประเทศจะไม่ตั้งอยู่ในธรรม มักรีดนาทาเร้นราษฏรในเมืองหลวง ทำให้ราษฏรทนไม่ได้ก็เลยอพยพไปอยู่ยังชายแดนหมด เมืองหลวงก็ว่างเปล่าไม่มีคนส่วนชายแดนหนาแน่นด้วผู้คน เหมือนกลางสระน้ำขุ่นริมสระน้ำใสนั้น"
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายก่อนเสียกรุง มีผู้คนไม่น้อยที่อพยพหลบหนีภัยสงครามบ้าง ภัยจากพวกขุนนางขี้ฉ้อบ้าง ออกไปอยู่นอกเมือง หรือจะเรียกว่า "เข้าไปอยู่ในป่าก็ได้" แม้กระทั่งพระยาวชิรปราการ หรือ พระยาตาก (สิน) ก็ยังรวบรวมสมัครพรรคพวก ฝ่าวงล้อมพม่าออกไปตั้งมั่นยังหัวเมืองชายฝั่งตะวันออกเลยเพราะทนความเหลวแหลกของผู้เป็นใหญ่ในสมัยนั้นไม่ไหว
มาดูในสมัยปัจจุบันบ้าง ผมกับท่านผู้อ่านยังนับว่าโชคดีที่ได้อพยพมาอยู่อเมริกา มีเจ้าของตึกสูงเสียดฟ้าคนหนึ่ง ต้องขายกิจการ และทรัพย์สินทั้งหมด อพยพตัวเองและครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศ เพราะทนต่อระบบการขอบริจาคที่คุณไม่ควรปฏิเสธ ไม่ไหว โลกของเราแคบลง หนีไปชายแดนก็คงจะหนีไม่พ้น หนีไปอยู่บ้านอื่นเมืองอื่นเสียเลย สงสารพี่น้องชาวไทยอีกหลายคน ที่อุตส่าห์ไปทำหนังสือเดินทางทิ้งเอาไว้ เพื่อปลอบใจตนเองว่า สักวันคงได้ไปอยู่ไปทำงานต่างประเทศกับเขาบ้างแล้วผลออกมาเป็นอย่างไรท่านผู้อ่านลองนึกต่อทีเถอะครับ
ข้อ ๑๐. สุบินว่า "เห็นข้าวหุงในหม้อใบหนึ่ง มี ๓ อย่าง คือ ข้างหนึ่งดิบ ข้างหนึ่งเปียก อีกข้างหนึ่งเป็นท้องเลน" ทรงพระพุทธทำนายว่า" ต่อไป เมื่อคนไม่อยู่ในศีลธรรมแล้ว ฝนก็จะไม่ตกโดยทั่วถึง ส่วนที่ไม่ตกเลย ข้าวกล้าก็เหี่ยวแห้ง ส่วนตกพอดีข้าวกล้าก็งอกงาม เหมือนข้าวสุกในหม้อเดียวกันมีเป็น ๓ อย่าง"
ข้อ ๑๑ . สุบินว่า " เห็นคนเอาแก่นจันทน์ ราคาแสนตำลึง ไปแลกกับนมโคที่เสีย"
ทรงพระพุทธทำนายว่า "ต่อไปภิกษุอลัชชี ไม่มียางอาย จะนำธรรมที่ตถาคตกล่าวติเตียนความโลภ ไปแสดงให้คนอื่นละความโลภ แล้วพากันบริจาคจตุปัจจัยให้แก่ตน ภิกษุอลัชชีเหล่านั้นจะเที่ยวไปนั่งแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ เพื่อหวังลาภ เหมือนคนเอาแก่นจันทน์อันมีค่า (ธรรมของพระพุทธองค์)ไปแลกกับนมโคเสียฉะนั้น(ทรัพย์สินเงินทองที่คนพากันมาบริจาค)"
ผมไม่ทราบเหมือนกันว่า การติดกัณฑ์เทศน์ หรือ การถวายจตุปัจจัยไทยทาน แก่พระภิกษุสงฆ์ที่นั่งแสดงธรรมบนธรรมมาสน์นั้น เริ่มมีมาแต่สมัยใด เพราะผมเชื่อแน่ว่า ในสมัยพุทธกาลไม่มีการกระทำเช่นนี้ ในบรรดาเหล่าอุบาสกอุบาสิกาแน่นอน มิเช่นนั้นพระพุทธองค์ ท่านคงไม่ทรงมีพุทธทำนายเช่นนี้
ในเกร็ดประวัติตอนหนึ่งของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพ ฯ เนื่องจากท่านเป็นพระนักเทศน์ หรือ "ธรรมกถึกเอก" ในสมัยนั้น กิจนิมนต์การเทศน์ของท่านจึงมีมาก ไปเทศน์ครั้งหนึ่ง ๆ ได้ข้าวของเครื่องใช้ ผลหมากรากไม้ เป็นลำเรือทีเดียว แต่ท่านก็หาได้มีความโลภในอามิสที่ได้รับไม่ อย่างเช่นคราวหนึ่งในขณะที่กลับมาถึงวัดหลังกิจนิมนต์เทศน์ เจ้าลูกศิษย์วัดสองคนที่ช่วยกันพายเรือพาท่านไปนั้น ได้เกิดเถียงกันในส่วนแบ่งข้าวของที่ติดกัณฑ์เทศน์ว่า" กองนี้ของข้าส่วนกองนั้นเป็นของเอ็ง " เจ้าอีกคนหนึ่งเห็นว่ากองที่ตนได้มันน้อยไม่คุ้มค่าเหนื่อย ก็เกี่ยงงอนว่า "เฮ้ยไม่ได้ ของข้าต้องกองนี้ เอ็งเอากองนั้นไป " เถียงกันอยู่นั่นแหละครับ จนสมเด็จโตท่านคงรำคาญ เลยตัดบทพูดสัพยอกไปว่า "แล้วของฉันล่ะกองไหน ?" เท่านั้นแหละครับถึงยุติการถกเถียงกันลงไปได้ เพราะในการไปเทศน์แต่ละครั้งนั้น ท่านไม่ได้เคยนึกอยากจะไปเทศน์เพราะหวังในอามิสแม้แต่ครั้งเดียว ข้าวของที่ได้มา ลูกศิษย์มักจะแบ่งกันไป หรือไม่เช่นนั้นท่านก็จะนำไปให้พระ เณร รูปอื่น หรือคนยากไร้ ทุกครั้งไป นี่แหละครับ "เนื้อนาบุญอันเลิศของโลก" ที่แท้จริง และหาได้ยากในสมัยปัจจุบัน
บทความที่ผมเขียน ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กล่าวพาดพิง หรือวิพากษ์วิจารณ์บุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือสาบันใดๆ ให้เกิดการเสียหาย เท่าที่ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นจริงนั้นเนื่องจากไม่สามารหาสิ่งใดมาเปรียบแทนได้ ดังนั้น หากมีสิ่งใดพลาดพลั้งล่วงเกินไปบ้าง ผมก็ต้องขอขมากรรมต่อทุกท่านที่พาดพิงถึง ไว้ ณ โอกาสนี้ ขอได้โปรดอโหสิกรรม พบกันใหม่ในสุบินนิมิตที่เหลืออีก ๕ ข้อ ตอนหน้าครับ
--------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ ๔
ข้อ ๑๒. สุบินว่า " ได้เห็นน้ำเต้าที่เขาคว้านไส้ออก เหลือแต่เปลือกเปล่า ซึ่งควรจะลอยน้ำแต่กลับจมดิ่งลงในน้ำ " ทรงพระพุทธทำนายว่า "ต่อไปถ้อยคำของคนชั่ว ไม่มีศีล ไม่มีธรรม จะมั่นคง ส่วนถ้อยคำของคนดีมีศีลธรรม จะอับเฉา เหมือนน้ำเต้าเปล่า แต่จมน้ำฉะนั้น "
ข้อนี้หากให้ผมวิจารณ์ คงต้องออกชื่อ "สมี" หลายต่อหลายคนแน่ เป็นอันว่าไม่วิจารณ์ดีกว่านะครับ ใครจะศรัทธาใครเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ผมไม่อยากขัดศรัทธาใคร เพราะรังแต่จะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์สู้เอาเวลาไปขัดเกลากิเลสตนเองจะดีกว่า
ข้อ ๑๓. สุบินว่า "ได้เห็นหินก้อนใหญ่ ประมาณเท่าเรือน ลอยอยู่บนผืนน้ำ เหมือนสำเภาหรือเรือใหญ่ ๆ ฉะนั้น "ทรงพระพุทธทำนายว่า" ต่อไปคนดีมีศีลธรรมจะไม่มีใครเคารพนับถือ จะเคารพนับถือแต่คนชั่วไร้ศีลไร้ธรรม เหมือนหินลอยน้ำฉะนั้น
ข้อนี้ต้องรอการพิสูจน์ในอนาคต เพราะปัจจุบันนี้คนดีมีศีลธรรมยังมีคนเคารพนับถืออยู่ ถึงแม้จะมีบางกลุ่มที่เคารพคนชั่วไร้ศีลธรรมก็ตาม หากวันใดไม่มีใครนับือคนดีมีศีลธรรมแล้วล่ะก็ โลกของเราคงต้องถึงกาลวิบัติแน่
ข้อ ๑๔. สุบินว่า "เห็นนางเขียดเล็กตัวหนึ่ง วิ่งไล่งูเห่าตัวใหญ่ไปโดยกำลังเร็ว แล้วกัดงูเห่ากลืนกิน" ทรงพระพุทธทำนายว่า "ต่อไปสามีจะอยู่ในอำนาจของภรรยา จะถูกภรรยาด่าว่าเช่นคนรับใช้เหมือนนางเขียดกินงูเห่าฉะนั้น" ข้อนี้ จะเรียกว่า "ภรรยาธิปไตย" ก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก เป็นอันว่า ใครที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับผม ก็ถือเสียว่าอยู่สมาคมคนรักเมีย โดยอุปโลกน์ผมเป็นนายกสมาคมก็แล้วกันนะครับ
ข้อ ๑๕. สุบินว่า "ได้เห็นหงส์ทองแวดล้อมด้วยกาในที่ต่างๆ " ทรงมีพระพุทธทำนายว่า " ต่อไปผู้มีตระกูลจะต้องเที่ยวประจบสวามิภักดิ์ผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกาฉะนั้น "
เป็นไปได้ครับ ถ้าผู้ด้อยตระกูล เกิดถูกหวยรวยล็อตโต้ขึ้นมา จะจ้างบริวารที่สูงส่งด้วยศักดิ์ตระกูลแต่ด้อยด้วยสินทรัพย์มาเป็นข้ารับใช้ ห้อมล้อมหน้าหลังเท่าไรก็ได้ ตราบใดที่สังคมยังให้ความนับถือเงินตราว่า เป็น "พระเจ้า" อย่างที่ใครเขาพูดกันว่า "คนมีเงินทำอะไรไม่น่าเกลียด" ไงล่ะครับ
ข้อ ๑๖. สุบินว่า "ได้เห็นแพะไล่ติดตามเสือเหลือง แล้วกินเสือเหลืองเสีย ภายหลังเสืออื่น ๆ เห็นแพะแต่ไกลก็เกิดความหวาดกลัว พากันวิ่งหนีหลบซ่อนไปในที่ต่างๆ" ทรงมีพระพุทธทำนายว่า "ต่อไปศิษย์จะสู้ครูผู้น้อยจะข่มเหงผู้ใหญ่ คนดีจะถูกคนชั่วเบียดเบียนและจะต้องหลบหลีกซ่อนเร้นไปเพราะกลัวเหมือนเสือหนีแพะฉะนั้น"
จากพุทธทำนายทั้ง ๑๖ ข้อ จะสังเกตเห็นได้ว่า "เมื่อความเจริญทางด้านวัตุมีมากขึ้นเท่าไร ในส่วนที่เป็นความเจริญในด้านจิตใจ ก็จะต่ำทรามลงมากเท่านั้น และจะต่ำถึงที่สุดถึงขั้นกลียุคเลยทีเดียว " ในสมัยพุทธกาลหรือโบราณกาลนั้น สังคมมนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข เพราะสภาพสังคมที่เอื้ออำนวยในทางที่ดี อยู่ในครรลองของศีลธรรม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันครอบครัว ที่มีสามี(พ่อ)เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือ "ช้างเท้าหน้า " มีภรรยา (แม่) เป็นผู้คอยให้การสนับสนุน ช่วยดูแลบ้านเรือน อบรมกุลบุตร กุลธิดา และบ่าวไพร่ในบ้าน ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยหลักแห่งพระพุทธศาสนา และจารีตประเพณีที่งดงาม เมื่อหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคม สงบสุขเรียบร้อยแล้ว สังคมโดยส่วนรวมย่อมจะสงบสุขเรียบร้อยไปด้วยเช่นเดียวกัน
แต่ยุคปัจจุบัน พุทธทำนายของพระพุทธองค์ได้ปรากฎเด่นชัดให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมของจิตใจที่ไม่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่สงบสุขเหมือนดังแด่ก่อน ซึ่งเราท่านจะไปตีโพยตีพายโทษใครคนหนึ่งคนใดหาได้ไม่ เพราะมันเป็น "วัฎจักรแห่งธรรม" (ธรรมชาติ) มันย่อมมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แม้แต่พระพุทธศาสนาของพระบรมศาสดาเอง เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงประกาศพระศาสนาแล้ว พระองค์ยังทรงมีพุทธพยากรณ์เกี่ยวกับอายุของพระศาสนาไว้เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น ซึ่งนับว่ามีอายุน้อยที่สุดในภัทรกัปป์นี้ อ้างอิงจาก www.lekpluto.com ขอขอบคุณครับ
 |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
แก้ไขล่าสุดโดย ๛ Nirvana ๛ เมื่อ 30 พ.ค.2006, 8:07 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
     |
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
30 พ.ค.2006, 4:35 pm |
  |
กล่าวถึงการอันตรธานของพระศาสนาของพระพุทธเจ้า
พระปริยัติธรรมอันตรธาน
ครั้นกาลล่วงไป พระพระปริยัติธรรมจะหาผู้เล่าเรียนมิได้ เพราะเหตุว่าไม่มีใครพากันใส่ใจ
อีกทั้งในสมัย นั้น บ้านเมืองจะวิปริต เพราะ พระราชามิตั้งอยู่ในธรรม หมู่อำมาตย์ราชเสนาบดี
ก็มิตั้งอยู่ในธรรม แล ชาวนครก็มากด้วย อกุศลธรรม ฝนฟ้าก็มิตกต้องตามฤดูกาล พืชโภชนา
ธัญญาหาร ฝืดเคือง กาลนั้นภิกษุสงฆ์ ย่อมขาดแคลน จตุปัจจัย เพราะ เหล่ามนุษย์ที่เลื่อมใส
ในพระพุทธศาสนาที่เคยถวายอาหารบิณฑบาตร ก็ย่อม ถึงความคับแค้นมิอาจถวายได้ดังก่อน
เมื่อภิกษุทั้งหลายขาดแคลนจตุปัจจัย ก็มิอาจสงเคราะห์ศิษยานุศิษย์ให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรมได้
เมื่อพระปริยัติธรรมหาคนเล่าเรียนมิได้ พระปริยัติธรรมก็จะค่อยๆทรุดครั้นกาลล่วงมา ก็
ไม่มีพระภิกษุรูปใดจะทรงพระบาลีไว้ได้ทั้งสิ้น พระอภิธรรมปิฏกจะเสื่อมสูญไปก่อน
แล้วพระสุตตันตปิฏกก็จะสูญตาม และพระปิฏกสุดท้ายคือพระวินัยปิฏกก็จักเสื่อมสูญ ลงไปถึง
อุโบสถขันธ์ ในกาลนั้นพระภิกษุทั้งหลายจักทรงไว้ซึ่งอุโบสถขันธ์สิ่งเดียว แม้จะเสื่อมสูญหนัก
ขนาดนี้พระปริยัติธรรมยังได้ชื่อว่าปรากฏอยู่ ต่อมา พระบาลี ๔ บาทก็ไม่มีใครทรงไว้ได้
เมื่อนั้นแล ชื่อว่าพระปริยัติธรรมอันตรธาน |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
ชัยพร พอกพูล
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2006
ตอบ: 73
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
01 มิ.ย.2006, 9:17 am |
  |
ขอบคุณคุณจักรพนธ์มากครับที่ช่วยให้ความกระจ่าง แต่รบกวนถามอีกสักนิดนะครับ(หากคุณจะรบกวนเข้ามาตอบอีกครับจะขอบคุณมากครับ) พระปริยัติธรรมนั้นหมายถึงอะไรครับ (เคยเรียนมาครับ แต่หลงลืมไปเสียแล้ว ) และอีกเรื่องหนึ่งครับ ผมเคยดูรายการเรื่องจริงผ่านจอเกี่ยวกับลามะท่านหนึ่งที่ตั้งใจจะนั่งสมาธิและอดอาหารเพื่อให้บ้านเมืองของเขาสงบสุขน่ะครับ มีพระไทยท่านหนึ่งที่ไปศึกษาอยู่ที่นั่นเคยกล่าวถึงว่า ในช่วงที่พระพุทธศาสนายังคงดำรงอยู่ในช่วง 5000 ปีนี้จะยังไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ปรากฏขึ้น แต่เมื่อพระพุทธศาสนาเริ่มเสื่อมลงนั้น จะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาจุติ ผมอยากทราบว่าหมายถึงพระศรีอาริยเมตไตรใช่ไหมครับ(ขออภัยหากพิมพ์ผิด) แล้วในกาลนั้นพระพุทธศาสนาจะยังคงสืบอยู่ต่อไปหรือกลายเป็นศาสนาใหม่ อย่างไรครับ หากคุณทราบรบกวนตอบอีกสักครับครับ  |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
   |
 |
นนท์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
01 มิ.ย.2006, 10:50 am |
  |
สวากฺขาโต เป็นธรรมที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว สมบูรณ์ทั้งอรรถและพยัญชนะ ดีพร้อมทั้งเบื้องต้น ท่าม
กลางและในที่สุด คุณธรรมข้อนี้หมายถึง พระปริยัติธรรม
..........
พระศรีอาริยเมตไตร (พระอชิตเถระ)
http://www.84000.org/anakot/kan1.html
.......... |
|
|
|
|
 |
นนท์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
01 มิ.ย.2006, 10:56 am |
  |
|
|
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
01 มิ.ย.2006, 2:34 pm |
  |
ถึงคุณ ชัยพร
พระปริยัติธรรมนี้ก็คือ พระไตรปิฏก๘๔๐๐๐พระธรรมขันธ์ครับ ในอนาคตกาลก่อนสิ้น พระพุทธศาสนา พระปริยัติธรรมจะ จะสูญหายไปก่อน และพระปฏิบัติธรรมจะสูญหายตาม
เพราะพระปฏิบัติธรรมต้องอาศัยพระปริยัติธรรมเป็นฐาน เมื่อพระปริยัติธรรมสูญหาย
พระปฏิบัติธรรมก็มิอาจตั้งอยู่ได้ เมื่อพระปฏิบัติธรรมสูญหาย พระอธิคมธรรมคือ ผลจากการปฏิบัติ ตั้งแต่พระโสดาบัน ขึ้นไป จนถึงพระอนาคามีขึ้นไปก็สูญหาย คือ ไม่มีใครสามารถบรรลุ
ธรรมแม้เพียง พระโสดาบันก็ไม่มี เมื่อ พระปริยัติธรรม พระปฏิบัติธรรมและ พระอธิคมธรรม
สูญหาย กาลนั้นก็เหลือ แต่โคตรภูสงฆ์ คือสงฆ์ ที่ปราศจากการทรงไตรจีวร มีท่อนผ้ากาสาวพัสตร์ผืนน้อยติดอยู่ที่กายส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องหมาย พอให้รู้ว่าเป็นสงฆ์เท่านั้น
โคตรภูสงฆ์ นี้จะประพฤติ อนาจารลามกต่างๆผิดสมณวิสัย จักประกอบ ประกอบกสิกรรมและ
พาณิชยกรรมทำไร่ไถนา หรือ ค้าขายเพื่อ เลี้ยงชีวิตตนและบุตรภรรยา แม้กระนั้น
พระพุทธศาสนาก็ชื่อว่ายังตั้ง อยู่ แต่เมื่อใดที่โคตรภูสงฆ์คนสุดท้ายได้ ทิ้งผ้ากาสาวพัสตร์ที่
ผูกที่มือและที่คอ ออกเพราะคิดว่าเกะกะน่ารำคาญ เมื่อนั้น คือการปรินิพพานของ
พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งก็คือกาลสิ้นสุดอายุของพระพุทธศาสนานั่นเอง
พระบรมสารีริกธาตุทั้งมวลจะมารวมกันที่มหาโพธิบัลลังก์ จักกลับคืนกายเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงพร้อมด้วยพระมหาปุริสสลักขณะ และพระอสีตยานุพยัญชนะ สมบูรณ์ด้วย
พระฉัพพิธพรรณรัศมี ทั้ง๖ประการ ส่องสว่างไปในสกลหมื่นโลกธาตุและ ทรงสำแดงพระปาฏิหาริย์ดุงดังยมกปาฏิหาริย์ แต่กาลนั้นมนุษย์ทั้งหลายผู้ มากด้วย โลภะโทสะและโมหะหาได้เย็นพระปาฏิหาริย์ไม่ จะได้เห็นก็แต่เทวดาในสากลหมื่นโลกธาตุจักรวาลเท่านั้น
กาลนั้นพระเตโชธาตุจักบังเกิดขึ้นเองจักเผาพลาญพระวรกายให้ย่อยสูญสิ้น กาลนั้นแล ชื่อ
ว่าพระพุทธศาสนาได้อันตรธานแล้ว |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
01 มิ.ย.2006, 2:44 pm |
  |
ยกมาจากพระโพธิสัตย์ศรีอาริย์สนทนากับพระมาลัยครับ
อีกไม่นานหรอก พระคุณเจ้า เมื่อครบถ้วนห้าพันปี สิ้นศาสนาของพระพุทธโคดมแล้ว ตอนนั้น พวกสัตว์ทั้งหลายจะมืดมัว ไม่รู้จักทำบุญกุศลจริต มีแต่จะกระทำกรรมอันบาปหนา หยาบช้า ไม่รู้จักละอายต่อบาป แม่กับลูกจะอยู่กินด้วยกันเป็นสามีภรรยา พี่สาวกับน้องชาย พี่ชายกับน้องสาว ทั้งพี่ป้าน้าอา ลุงหลาน จะสมสู่อยู่กินกันเป็นสามีภรรยากัน ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จะหนาขึ้นมาก อายุของสัตว์ก็จะน้อยลง ตราบจนเหลือ 10 ปี เด็กเกิดได้ 5 ปี ก็จะแต่งงานกันแล้ว และตอนนั้น มนุษย์ทั้งหลายเห็นเข้า ก็จะเข้าใจว่าเป็นเนื้อปลา จับอะไรได้เป็นต้นว่าท่อนไม้ผุ ก็จะกลับกลายเป็นอาวุธหอกดาบไป แล้วจะไล่ทิ่มแทงกันล้มตายเป็นอันมาก พ้นที่จะประมาณได้ ฝ่ายพวกคนที่มีสติปัญญานั้น รู้ว่าถึงวันนั้นคืนนั้น จะเกิดมิคสัญญี ฆ่าปันกันและวุ่นวายหนักหนา คนที่ดีมีวิชา ก็จะไปซ่อนเร้นอยู่ตามซอยห้วยซอกเขา ครั้นมนุษย์พวกบ้าดีเดือดทั้งหลาย ฆ่าฟันกันตายหมดแล้ว คนพวกนั้น ก็จะพากันออกจากที่ซ่อน ครั้นมาพบปะกันเข้า ก็จะพากันสวมกอดซึ่งกันและกัน ต่างหันหน้าเข้าปรึกษากันว่า ความฉิบหายที่เกิดแก่พวกเราในครั้งนี้ ก็เพราะผู้คนประมาท ก่อแต่บาปกรรมอันหยาบช้า แต่นี้ไปเบื้องหน้า เราจงอุตส่าห์กระทำความดี เว้นเสียจากฆ่าสัตว์ ประหัตประหารกันและกัน ลักขโมยของกัน ผิดผัวผิดเมียกัน พูดเท็จ และดื่มสุราเมรัย งดเว้นเสียจากการพูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เว้นจากความโลภ ความโกรธ ความเห็นผิด จากทำนองคลองธรรม เมื่อคนมีสติปัญญาปรึกษากันดังนั้นแล้ว ก็ตั้งหน้าบำเพ็ญบุญกุศล มีให้ทานรักษาศีลเป็นต้น คนพวกนั้น ครั้นมีลูก ลูกมีอายุได้ 3 ปี ต่อมามีหลาน ก็จจะมีอายุมากขึ้นไป 5 ปี และเจริญขึ้นโดยลำดับ ตราบเท่าอายุของมนุษย์ เจริญขึ้นได้อสงไขยหนึ่งแล้ว ความแก่และความตาย ก็มิได้บังเกิดมี คราวนั้น คนทั้งหลายก็กลับประมาทอีก เมื่อเกิดความประมาทขึ้น อายุของพวกเขา ก็เสื่อมถอยลงมา เหลือเพียงแปดหมื่นปี ตอนนั้น ฝนจะตกทุกๆ 15 วัน และส่วนมาก มักจะตกตอนใกล้รุ่ง ทำให้มนุษย์มีความชุ่มชื่นเจริญใน และพื้นดินอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำลำคลองมีกระแสน้ำไหลขึ้นข้างหนึ่ง ไหลลงข้างหนึ่ง เต็มเปี่ยมเพียบฝั่งไม่พร่อง ไม่ล้น อยู่อย่างนั้นเสมอ ดอกไม้ต่างชนิด ผลิดอกบานสะพรั่งตลอดกาล บ้านเรือนจะปลูกอยู่ใกล้ๆ กัน พอไก่บินถึง ปราศจากโจรผู้ร้าย บริบูรณ์ด้วยน้ำ และข้าวปลาอาหาร ผัวเมียจะไม่รู้จักทะเลาะวิวาทกัน ผู้ชายไม่ต้องทำไร่นาค้าขาย ผู้หญิงก็ไม่ต้องทอหูกปั่นฝ้าย ผ้าที่จะนุ่งห่ม ก็ล้วนแต่เป็นของทิพย์ อำมาตย์ข้าราชการ จะตั้งอยู่สุจริตธรรม ไม่เบียดเบียนอาณาประชาราษฎรให้เดือดร้อน พระมหากษัตริย์ ก็จะไม่มีกริ้วโกรธ ถือลงโทษพระราชอาญา มีพระทัยรักใคร่กรุณาแก่ประชาชน พวกสัตว์ที่เป็นศัตรูกันทั้งหลาย เช่น กากับนกเค้า แมวกับหนู งูกับพังพอน หมีกับไม้สาค้อ ก็จะแผ่เผื่อเมตตาจิตต่อกัน เลิกเป็นคู่เวรคู่กรรมกันต่อไป เครื่องใช้ไม้สอย มีสมบูรณ์ทุกอย่าง แผ่นดินก็จะราบเรียบเป็นหน้ากลอง ไม่มีหลักตอเสี้ยนหนาม คนทั้งหลายมีรูปร่างสวยงามเหมือนกันหมด ไม่มีคนใบ้ คนบ้า หูหนวก ตาบอด ง่อย เปลี้ย เสียขา เลย ทุกคนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน เห็นกันเข้าก็มีไมตรีรักใคร่กัน ในครั้นนั้น ชายจะมีภรรยารักคนเดียว สตรีก็จะมีสามีคนเดียว ไม่มีการล่วงประเวณีกัน และคนในยุคนั้น จะมีความผาสุกสมบูรณ์มาก ไม่ต้องทำมาหากิน ใช้สอยแต่เครื่องทิพย์ มีกิจอยู่แต่นั่งนอนฟังเสียงอันเป็นทิพย์ ไพเราะยิ่งหนักหนา ทุกคนล้วนมีสมบัติเหมือนกันหมด ไม่มีคนกำพร้าอนาถา ไม่มีคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ จะได้วิวาทแก่งแย่งชิงเอาบ้านเรือนไร่นาของกันและกันนั้น ไม่มีเลย และยุคนั้น พืชข้าวกล้าเพียงเม็ดเดียว ถ้าตกลงพื้นดิน แล้วก็งอกขึ้นเป็นต้นเป็นลำปล้อง หน่อ และเป็นกอใหญ่ๆ ออกไปได้ร้อยเท่าพันทวี ทั้งหมดที่เป็นดังนี้ ก็เพราะข้าพเจ้า ได้สั่งสมบารมีไว้มาก |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
01 มิ.ย.2006, 2:58 pm |
  |
ส่วนลามะที่ทำสมาธิแล้วอดอาหารได้เป็นได้หลายๆเดือนนั้น ท่านลามะ บอกว่า ท่านไม่ได้
อดอาหาร มีคนนำนม มาให้ทุกอาทิตย์(หรือกี่วันก็ไม่ทราบครับ) แต่ไม่มีใครเห็นเลยว่ามีคนนำ อาหารมาให้ท่าน เข้าใจว่าเป็นอาหารทิพย์ เพราะ อาหารมื้อหนึ่งๆนั้นสามารถเลี้ยงชีวิตได้แค่เจ็ดวันเท่านั้น เห็นได้จากพระอรหันต์ที่เข้านิโรธสมาบัติ ก็เข้าได้ไม่เกินเจ็ด
เมื่อกาลโลกว่างจากพุทธศาสนาแล้ว จักมีคนต่างๆตั้งตนเป็นศาสดาเจ้าลัทธิ จักประกาศธรรม
ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ว่าบุญไม่มีบาปไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี คุณบิดาไม่มีคุณมารดาไม่มี
สัตว์ตายแล้วสูญเป็นต้น คนทั้งหลายที่เกิดในสมัยนั้น ย่อม หลงไหลไปตามคำสอน
ประกอบกรรมชั่วต่างๆ บางคนมีโชคดี ไปอยู่ในลัทธิที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ทำกรรมดีเมื่อตายไปย่อมถึงสุคติภูมิ บางคนโชคร้าย ก็ไปอยู่ในลัทธิ มิจฉาทิฏฐิทำบาปหยาบช้า ครั้นตายไปย่อมเข้าถึงทุคติ
นี้เป็นภัย ในกาลว่างจากพุทธศาสนา  |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
ชัยพร พอกพูล
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2006
ตอบ: 73
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
08 มิ.ย.2006, 9:52 am |
  |
ขอบคุณทุกท่านมากครับ ที่ช่วยให้ความกระจ่าง ขอให้ทุกท่านพบกับความสุขความเจริญยิ่งๆขึ้นไปครับ  |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
   |
 |
|