Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 .............. ทำอย่างไรจึงจะรักษาศีลได้บริสุทธิ์ ...... อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ff
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 12:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทำอย่างไรจึงจะรักษาศีลได้บริสุทธิ์



.......เป็นไปได้หรือ ที่ปุถุชนคนธรรมดา จะสามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ เมื่อยังต้องอยู่ท่ามกลาง
สิ่งล่อลวงใจ หรือตกอยู่ในภาวะขัดสน หรือแม้แต่อยู่ในที่ลับตาปราศจากการรู้เห็นของผู้คน เป็น
ไปได้หรือที่มนุษย์ปุถุชนจะหักห้ามใจไม่ล่วงละเมิดศีลได้

คำตอบคือ เป็นไปได้ เพราะการรักษาศีลนั้นสามารถทำได้อย่างสะดวกสบาย ง่ายดาย
หากว่ามีหิริและโอตตัปปะ เป็นธรรมะประจำใจ

เพราะ หิริ คือ ความละอายใจต่อการทำชั่ว สิ่งใดก็ตามหากเป็นความชั่วเลวทราม
จะไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ด้วยความที่รังเกียจและขยะแขยง เห็นเป็นสิ่งสกปรก

ส่วน โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อผลของความชั่ว เมื่อรู้ว่าการทำความชั่ว
จะมีผลร้ายตามมา จึงเกรงกลัวอันตรายของความชั่ว ราวกับกลัวงูพิษ

เมื่อหิริและโอตตัปปะ เป็นคุณธรรมที่ทำให้เกลียดกลัวความชั่วเช่นนี้ ผู้มีหิริ โอตตัปปะ
เป็นธรรมประจำใจ ย่อมมีศีลบริสุทธิ์เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อย่างไร จะต่อหน้าหรือลับหลังใคร
ก็จะไม่ยอมให้ความชั่วใดๆ มาแปดเปื้อนเลย


.......ดังเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่าแก่ภิกษุทั้งหลายในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระภิกษุ
๕๐๐ รูป ณ วัดเชตวัน ได้เกิดกามวิตกขึ้นในยามค่ำคืน ต่างคิดถึงความสุขที่เกิดจาก รูป รส กลิ่น
เสียง สัมผัส ที่เคยพบมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้ทิพยจักขุญาณตรวจดูวาระจิตของภิกษุเหล่านั้น
ด้วยความห่วงใย ดุจบิดามารดาห่วงใยบุตร ทรงเล็งเห็นทุกข์ภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ภิกษุเหล่านั้น จึง
โปรดให้พระอานนท์จัดการให้พระภิกษุเหล่านั้นมาประชุมพร้อมกัน แล้วพระพุทธองค์จึงตรัสว่า

" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่ลับย่อมไม่มีในโลก บัณฑิตในกาลก่อนเห็นอย่างนี้แล้ว จึงไม่ทำ
บาปกรรม "

จากนั้นพระพุทธองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาแสดงแก่ภิกษุเหล่านั้น

สีลวิมังสชาดก



.......เมื่อครั้งที่พระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูล
พราหมณ์ ครั้นเจริญวัยได้ไปศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยา ในสำนักอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งกรุงพาราณสี
และได้เป็นหัวหน้าของมาณพ ๕๐๐ คน ซึ่งเล่าเรียนอยู่ในสำนักเดียวกัน

ท่านอาจารย์มีธิดาผู้กำลังเจริญวัย ซึ่งท่านคิดจะยกให้กับมาณพผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ท่านจึงคิดจะ
ทดสอบการรักษาศีลของมาณพเหล่านั้นดู

อาจารย์จึงเรียกมาณพทั้งหลายมา แล้วกล่าวว่า

" ธิดาของเราเจริญวัยแล้ว เราจะจัดงานวิวาห์ให้แก่นาง จึงจำเป็นต้องใช้ผ้า และเครื่องประดับ
ต่างๆ พวกเธอจึงไปขโมยผ้าและเครื่องประดับจากหมู่ญาติของเธอมา โดยอย่าให้ใครเห็น เราจะรับ
เฉพาะผ้าและเครื่องประดับที่ขโมยมาโดยไม่มีใครเห็นเท่านั้น ของที่มีคนเห็นเราจะไม่รับ "

มาณพทั้งหลายรับคำ แล้วก็ไปขโมยของจากหมู่ญาติของตน โดยไม่ให้ใครเห็น จากนั้นก็นำ
มามอบให้กับอาจารย์ คงมีเพียงพระโพธิสัตว์เท่านั้น ที่ไม่นำสิ่งใดมาเลย อาจารย์จึงถามพระโพธิสัตว์
ว่า

" เธอไม่นำสิ่งใดมาเลยหรือ "

พระโพธิสัตว์ตอบว่า " ครับ อาจารย์ "

เมื่ออาจารย์ถามถึงเหตุผล พระโพธิสัตว์จึงตอบว่า " เพราะว่าอาจารย์จะรับเฉพาะของที่เอา
มาโดยไม่มีใครเห็น ผมคิดว่าไม่มีการทำบาปใดๆ จะเป็นความลับไปได้เลย "

จากนั้นพระโพธิสัตว์ได้กล่าวสุภาษิตอันไพเราะว่า


" ในโลกนี้ ย่อมไม่มีที่ลับแก่ผู้กระทำบาป
ต้นไม้ที่เกิดในป่า ยังมีคนเห็น
คนพาลย่อมสำคัญผิด คิดว่าบาปนั้นเป็นความลับ
ข้าพเจ้าย่อมไม่เห็นที่ลับ แม้ที่ว่างเปล่าก็ไม่มี
ในที่ใดว่างเปล่า ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่เห็นใคร
ที่นั้นย่อมไม่ว่างเปล่าจากตัวข้าพเจ้า "


เมื่ออาจารย์ได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความรู้สึกเลื่อมใสในพระโพธิสัตว์ยิ่งนัก จึงกล่าวกับพระโพธิสัตว์
ว่า

" ดูก่อนพ่อ ในเรือนของเราไม่มีทรัพย์สินอะไร แต่เรามีความประสงค์จะมอบธิดาของเราให้
แก่ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีล เราต้องการทดลองมาณพทั้งหลาย จึงได้ทำอย่างนี้ และธิดาของเราเหมาะ
สมกับท่านเท่านั้น "

อาจารย์ได้ประดับตกแต่งธิดามอบให้แก่พระโพธิสัตว์ พร้อมทั้งกล่าวกับมาณพทั้งหลายว่า
" สิ่งของที่พวกเธอได้นำมา จงนำกลับไปคืนยังเรือนของพวกเธอเถิด "

ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงพระธรรมเทศนานี้จบลง ภิกษุเหล่านั้นจึงเกิดความละอาย
และเกรงกลัวบาปอกุศล ต่างรักษาสติอยู่ในธรรม จนกระทั่งจิตเป็นสมาธิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงทราบว่าจิตของภิกษุเหล่านั้นเป็นสมาธิดีแล้วจึงทรงประกาศอริยสัจ ในเวลาจบอริยสัจนั่นเอง
ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์


.......พระโพธิสัตว์สามารถรักษาศีลได้อย่างหมดจดงดงาม ทั้งที่ท่านเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ
เป็นมาณพผู้อ่อนเยาว์ อยู่ในวัยเล่าเรียน ทั้งยังต้องตกอยู่ในภาวะบีบคั้น อันเนื่องมาจากคำสั่ง
ของผู้เป็นอาจารย์ แต่ท่านกลับเลือกที่จะทำในสิ่งที่สวนทางกับสังคมคนรอบข้างอย่างไม่หวั่นไหว
ทั้งนี้เพราะท่านมีหิริโอตตัปปะอยู่ในใจ จึงไม่ยอมให้สิ่งใดมาเป็นข้ออ้าง หรือเงื่อนไข ให้กระทำ
ผิดศีลได้เลย

ผู้รักษาศีลด้วย หิริ โอตตัปปะ จึงรักษาได้อย่างมั่นคง และรักษาด้วยความจริงใจ โดยไม่ต้อง
ให้ใครมาดูแลกำกับ

ตรงข้ามกับผู้ที่ปราศจากหิริ โอตตัปปะ นอกจากจะเป็นผู้ไม่ขวนขวายในการสมาทานศีลแล้ว
ยังเป็นผู้ที่ล่วงละเมิดศีลได้ง่าย ไม่ว่าเวลาใดหรือในที่แห่งใด ไม่ล่วงในที่แจ้งก็ล่วงในที่ลับ เพราะ
ไม่มีหิริ โอตตัปปะคอยดูแลกำกับนั่นเอง

ดังคำกล่าวที่ว่า

" เมื่อมีหิริและโอตตัปปะอยู่ ศีลก็เกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้ เมื่อไม่มีหิริและโอตตัปปะ ศีลก็ไม่
เกิดขึ้นและตั้งอยู่ไม่ได้ "

หิริ โอตตัปปะ จึงเป็นธรรมะที่สร้างสรรค์สังคมให้ร่มเย็นเป็นสุข ให้ทุกชีวิตปลอดภัย ได้พบ
แต่สิ่งที่ดีงาม มีความก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งในชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ

แม้ว่า หิริ โอตตัปปะ จะเป็นธรรมะที่สูงส่งถึงเพียงนี้ แต่กลับเป็นธรรมะที่สร้างสมขึ้นได้
ด้วยวิธีง่ายๆ กล่าวคือ

.......หิริ ความละอายต่อบาป เกิดขึ้นด้วยการพิจารณาถึงฐานะของตนเอง ๔ ประการ คือ


๑. พิจารณาถึงชาติกำเนิดของตนเอง ว่า ตัวเราเกิดในตระกูลที่ประกอบอาชีพสุจริต เราจึง
ไม่ควรผิดศีล เลี้ยงชีพในทางที่ผิด ให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล

๒. พิจารณาถึงอายุของตนเอง ว่า คนมีอายุเช่นเราได้รับการสั่งสอนอบรมมาแล้ว ทั้งยังได้
เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตว่า อะไรดีอะไรชั่ว ถ้าเรายังผิดศีล ก็เสียทีที่มีอายุมากเสียเปล่า แต่ไม่
มีสติปัญญาตักเตือนตนเองเสียเลย

๓. พิจารณาถึงความกล้าหาญของตนเอง ว่า ตัวเราต้องมีความกล้าหาญ ตั้งใจมั่นอยู่ในคุณความดี
บำเพ็ญประโยชน์เพื่อตนเองและผู้อื่น ต่างจากผู้ที่ทำผิดศีล เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน
เพราะมีจิตใจอ่อนแอ ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส

๔. พิจารณาถึงความเป็นพหูสูตของตนเอง ว่า ตัวเรานั้นเป็นผู้ศึกษาธรรมะมามาก มีหลัก
ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เราจึงควรเป็นผู้มีศีล มีการกระทำอันงาม ต่างจากคนพาลซึ่งทำ
บาปอกุศล เพราะไม่มีหลักธรรมใดๆ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ



.......โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป เกิดขึ้นได้เพราะกลัวว่าตนเองจะเดือดร้อนในภาย
หลัง จากภัย ๔ ประการคือ


๑. ภัยเพราะติเตียนตนเอง เมื่อทำผิดศีล เราย่อมรู้สึกเดือดร้อน กระวนกระวายใจในภายหลัง
เพราะนึกติเตียนตนเองที่ทำในสิ่งไม่สมควร

๒. ภัยจากการที่ผู้อื่นติเตียน เมื่อบัณฑิตได้รู้ถึงการกระทำผิดศีลของเรา เขาย่อมติเตียนว่าเรา
เป็นคนพาล เป็นผู้กระทำบาปกรรม เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน

๓. ภัยจากอาชญา เมื่อเราผิดศีล จนเป็นผลให้ผู้อื่นเดือดร้อน ย่อมต้องถูกลงโทษจากกฎหมาย
บ้านเมือง ได้รับความเดือดร้อนตอบแทนกลับมา

๔. ภัยในทุคติ การผิดศีล ย่อมจะนำเราไปสู่อบายภูมิ มีนรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย
ทำให้ต้องประสบทุกข์ภัยเป็นอันมากในภพชาติเบื้องหน้า เมื่อละจากโลกไปแล้ว


......ด้วยวิธีการหมั่นฝึกคิดพิจารณาเช่นนี้ ในที่สุดหิริโอตตัปปะจะเกิดขึ้นในใจของเราอย่างแน่นอน
และเมื่อนั้นการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


จากหนังสือ.....



ศีล....เป็นที่ตั้งแห่งความดีงาม

พระมหาสุวิทย์ วิชฺเชสโก ป.ธ. ๙

ที่มา คุณ foox จาก พันทิพดอดคอม
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 2:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บุคคล ควร พิจารณก่อน แล้วจึงกระทำกรรม ทางกาย วาจา และใจ สาธุ
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
neoman
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 26 ก.พ. 2006
ตอบ: 64

ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 8:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณคร๊าบ เข้ามาอ่าน และก๊อปด้วยครับ.. สาธุ
 

_________________
ความสุขหรือความทุกข์ อยู่ใจเราจะคิดเอา ถ้าคิดว่าสุขก็สุข ถ้าคิดว่าทุกข์ก็ทุกข์.
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง