Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ผู้ใดมีพรหมวิหาร 4 ผู้นั้นมีเสน่ห์และมีใจสงบเย็น
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ฟฟ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2006, 2:14 pm
ผู้ใดมีพรหมวิหาร 4 ผู้นั้นมีเสน่ห์และมีใจสงบเย็น
พรหมวิหาร 4
1. เมตตา รู้สึกสงสารผู้อื่น เอ็นดูผู้อื่นอยู่เสมอ แม้ใครจะด่าจะว่า หรือใครจะมาทำร้าย ก็ยังนึกเอ็นดูสงสารในคนเหล่านั้น หากมีศัตรู ก็คิดกับศัตรูดั่งมนุษย์ที่น่าสงสารคนนึงที่ยังเวียนว่ายตายเกิดหาที่สุดไม่ได้ มองศัตรูด้วยสายตาที่เอ็นดูดั่งสายตาของมารดาแลดูบุตร สิ่งนี้จะทำให้ท่านมีแววตาเป็นประกายดั่งแก้วใส และมีพลังทำให้คนที่คิดร้ายหรือศัตรูต่างๆ เปลี่ยนใจมาคิดดีต่อเรา ไปที่ไหนคนก็รักใคร่ อยากใกล้ชิด แม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกันก็ตาม เพราะกระแสพลังของความเมตตา มีพลังมากที่สุดในโลกใบนี้ เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
2. กรุณา ยื่นมือช่วยเหลือผู้ประสบทุกข์ ช่วยเหลือแม้กระทั่งศัตรู ช่วยแม้กระทั่งไม่ทำให้ศัตรูโกรธเรา ช่วยไม่ให้เค้าเผลอก่อกรรมกับเรา เค้าด่ามาก็ไม่ด่าตอบ เพื่อช่วยให้เค้าไม่มีเวรกับเรา เห็นขอทาน หรือคนที่เดือดร้อนก็ช่วยเหลือแบบไม่ต้องตระหนี่ พระพุทธองค์สอนให้ทำทาน เพื่อลดความตระหนี่ในตัว และเผื่อแผ่ช่วยเหลือกันและกัน เป็นการทำบุญซึ่งถือว่าเป็นอริยทรัพย์ตามติดไปภพหน้าได้ทุกภพ ท่านจะดูมีสง่าราศี แม้แต่หมายังไม่กล้ากัด มีแต่เดินตามกระดิกหาง หรือคนเจอหน้าก็รักใคร่ ไปที่ไหนคนก็อยากเสวนาด้วย
3. มุทิตา ยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นมี ยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นเป็น ใครจะได้ดีกว่าเราก็ยินดีกับเค้า เค้าทำความดีเราก็อนุโมทนา ไม่อิจฉาริษยา ไม่ไปนินทาให้ร้ายเค้า ไม่หมันไส้หรือน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ส่วนใครด่าว่าเราก็ยินดีในเสียงที่ด่าเข้ามา เสียงนินทาเราก็ยินดีที่เค้าได้นินทาเราไป เพราะแสดงว่าเราได้เคยทำกรรมกับเขามาก่อน เราจึงต้องมาโดนด่าในวันนี้ ส่วนที่เราต้องยินดี นั่นก็เพราะว่าเราได้มีโอกาสได้ชดใช้กรรมแล้ว เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสชดใช้กรรมให้หมดไปโดยไม่เกิดการจองเวรกัน และได้บุญเพิ่มขึ้นอีกอย่างนึง คือ อภัยทาน นี่เป็นการทำให้เรายินดีน้อมรับแม้แต่คำด่าคำติฉินนินทา ยินดีที่ผู้อื่นดีกว่าเรา ยินดีที่เราไม่มีวันจะเก่งเหมือนใคร พอใจที่เกิดมาแบบนี้ แล้วท่านจะมีเสน่ห์มาก จะมีความมั่นใจในตัวเอง และสีหน้าสว่างไสว ความหมองจะไม่มี
4. อุเบกขา ระลึกเสมอว่า ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนอย่างแท้จริง เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเลวหรือดี เขาก็ยังเวียนว่ายตายเกิดเหมือนเรา เขาทำอะไรมา ท่านก็วางเฉย อย่าไปเอามาเก็บจนปั่นป่วนใจ มีใจเป็นกลาง ใครมาพูดอะไรกระทบใจ ก็ทำใจเฉยๆ ไว้ เหมือนสายลมโชยที่พัดคลอใบหู ไม่มีแก่นสารใดๆ ให้มาทำร้ายใจเราได้ ใครทำอะไรมาก็วางเฉย เพราะเชื่อในกรรมว่า กรรมจะจัดสรรผลกรรมได้ยุติธรรมที่สุด ความทุกข์ที่แท้จริงคือทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น ดังนั้นแค่ใครด่าว่าเรามันเป็นเรื่องจิ๊บๆ ขำๆ ให้วางเฉยซะ ความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ จะทำอะไรเราไม่ได้เลย มองความทุกข์พวกนั้น ให้เล็กน้อยเหมือนสายลมโชยผ่านสลายไป เรื่องที่ต้องทำคือเรื่องตัวเอง ว่าทำยังไง ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องคนอื่นไม่ต้องไปแก้นิสัยใคร ไม่ต้องไปเก็บคำพูดหรือการกระทำคนอื่นมาจ้องจับผิดหรือตีโพยตีพาย หรือเอามาใส่ใจจนเจ็บข้ามวันข้ามคืน แล้วท่านจะมีเสน่ห์มาก ใครเห็นใครรัก เวลาดวงตกก็จะไม่หนักเหมือนคนอื่น นี่คือพลังของอุเบกขา
แบบคำกลอน (รวมพรหมวิหาร 4)
1. จิตเมตตา หวังสุข ทุกถ้วนหน้า
เพื่อนเกิดมา ร่วมสุข ร่วมทุกข์เข็ญ
ผูกไมตรี ทวีรัก เป็นหลักเกณฑ์
ไม่จองเวร เข่นฆ่า รบรากัน ฯ
2. กรุณา เผื่อแผ่ เหลียวแลเอื้อ
หวังช่วยเหลือ เพื่อนยาก ลำบากขันธ์
เห็นเพื่อนทุกข์ ทุกข์ด้วย เข้าช่วยพลัน
ให้เพื่อนนั้น พ้นทุกข์ ได้สุขใจ ฯ
3. มุฑิตา หน้าแย้ม จิตแช่มชื่น
เห็นคนอื่น ดีจริง ยศยิ่งใหญ่
พลอยปรีดา สาธุโห่ ไชโยชัย
อวยพรให้ เจริญสุข ทุกครากาลฯ
4. อุเบกขา เพ่งจ้อง คอยมองเป้า
รวมจิตเข้า ตั้งเที่ยง ไม่เอียงฐาน
ปรารภกรรม ชั่วดี เป็นตัวการ
ไม่ลนลาน เสริมดี ป้ายสีใคร ฯ
แบบพุทธศาสนสุภาษิต
1. โลโกปตฺถมฺภิกา เมตตา
"เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก"
2. มหาปุริสภาวสฺส ลกฺขณํ กรุณาสโห
"อัชฌาสัยที่ทนไม่ได้เพราะกรุณา เป็นลักษณะของมหาบุรุษ"
3. อรติ โลกนาสิกา
"ความริษยา เป็นเหตุทำโลกให้ฉิบหาย"
4. อุปสนฺโต สุขํ เสติ
"ผู้สงบระงับ ย่อมอยู่เป็นสุข"
การที่มีสิ่งใดเข้าในชีวิต แล้วท่านน้อมเข้าหาหลักธรรมพรหมวิหาร 4 นี้ไว้ได้
ถือว่าท่านได้ทรงอารมณ์กรรมฐานที่เย็นเป็นอย่างมาก
สิ่งใดกระทบมาหนัก ก็จะไม่ร้อนใจ คลี่คลายปัญหาได้ดี
ช่วยให้ไม่หวั่นไหวในเสียงติฉินนินทา ว่าร้าย ได้ดีมาก
ขอให้ทุกรูปทุกนามมีความสุข
เลือกทำแต่ความดี
ก่อนทำความชั่วให้ชั่งใจว่าทำไปแล้วจะเกิดกรรมเวรกับตัวเองมั้ย
เฝ้าระวังว่าสิ่งใดเป็นกุศลจิต สิ่งใดเป็นอกุศลจิต
จาก คุณเอ ที่มา :: เอ็มไทยดอดคอม
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2006, 12:29 am
อุเบกขาธรรม เป็นธรรม สุดท้าย เมื่อเราไม่สามารถ อนุเคราะห์ ผู้มีความทุกข์ คือไม่สามารถ
ช่วยเหลือ เขาได้ ค่อยวางอุเบกขาธรรม ถ้า เราเห็นผู้ ตกทุกข์ได้ยากแล้วเราไม่ช่วยทั้งๆ
ที่เรา ช่วยได้ บอกว่าวางใจอุเบกขาไม่ได้ครับ นี้เรียก ขาดกรุณา
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
จิตไม่สงบ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2006, 9:58 am
เรียน คุณจักรพันธ์
ถ้าเราตัดสินใจไปปฎิบัติธรรม ทำสมาธิ และเพื่อสอนใจของเราเอง โดยที่เราไม่ได้แจ้งให้ผู้ใกล้ชิด ญาติพี่น้องให้ทราบ โดยที่เราเดินทางไปเองโดยไม่ต้องการติดต่อผู้ใด และไม่ให้ผู้ใดติดต่อเราได้เลย สัก 2-3 วัน (เพราะคิดว่าผู้ใกล้ชิดไม่สนใจอยู่แล้วว่าเราจะไปไหนไปทำไม) มันจะส่งผลอย่างไรบ้าง และมันผิดไหมที่เราตัดสินใจแบบนี้ (อาจเป็นคำถามโง่ๆ เพราะตัวเองยังโง่อยู่มาก)
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2006, 9:38 pm
ถึง คุณ จิตไม่สงบ
การที่เรา อยู่ในสังคมญาติพี่น้อง การไปไหน บอกไหนใกลๆ ควรจะบอก ญาติของท่านให้ทราบ เพราะถ้า เราไม่ บอก ญาติ พี่ น้องอาจจะ เป็นห่วงว่า คุณ เป็นอะไรหรือ เปล่า ยิ่งหายไปหลายวันยิ่งเป็นห่วง มาก ถ้าคุณ บอก ก็สบายใจทั้งสองฝ่าย ที่ตั้งคำถามนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า
คุณก็ เป็นกังวล ถ้า หากคุณ ไม่บอก คนใกล้ชิดคุณ ความกังวลนี้ อาจ เป็น อุปสรรคในการปฏิบัติธรรมได้
แต่ถ้า หากคุณ บอกญาติพี่ น้องแล้วคุณ กลัวจะเป็นอุปสรรค ในการปฏิบัติธรรม คุณ อาจเขียนโนท บอกเป็นพิธี ก็ได้ครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
เวลาล่วงไปๆ คืนผ่านพ้นไปๆ ชั้นแห้งวัยย่อมละตามลำดับ ความ แก่ เจ็บ ตาย จักมาในไม่ช้า
บุคคลผู้ มี ปัญญา พึงทำกุศล ไว้ในโลกเถิด
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2006, 9:54 pm
ถ้าคุณบอกกล่าว คนใกล้ชิดคุณ แล้วเขาห้าม คุณก็ไม่ควร บอก เพราะจะเป็นบาป แก่ เขา
ดังเรื่องที่ผมยกมานี้
๑๐. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ
ว่าด้วยบุพกรรมของธาตุวิวัณณเปรต
พระมหากัสสปเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า
[๑๒๐] ท่านยืนอยู่ในอากาศ มีกลิ่นเน่าเหม็นฟุ้งไปและหมู่หนอนพากันบ่อน
ฟอนกินปาก อันมีกลิ่นเหม็นเน่าของท่าน เมื่อก่อนท่านทำกรรมอะไร
ไว้ เพราะการฟุ้งไปแห่งกลิ่นเหม็นนั้นนายนิรยบาลถือเอาศาตรามาเฉือน
ปากของท่านเนืองๆ รดท่านด้วยน้ำแสบแล้วเชื่อดเนื้อไปพลาง ท่านทำ
กรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจหรือ เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร
ท่านจึงได้ประสบความทุกข์อย่างนี้?
เปรตนั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อก่อน กระผมเป็นอิสรชนอยู่ที่ภูเขาวงกตอัน
เป็นที่รื่นรมย์ ใกล้กรุงราชคฤห์ เป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์และข้าวเปลือก
มากมาย แต่กระผมได้ห้ามปรามภรรยาธิดา และลูกสะใภ้ของกระผม
ซึ่งพากันนำพวงมาลาดอกอุบลและเครื่องลูบไล้อันหาค่ามิได้ ไปสู่สถูป
เพื่อบูชา บาปนั้นกระผมได้ทำไว้แล้ว จึงได้เสวยทุกขเวทนาเห็นประจักษ์
และจักหมกไหม้อยู่ในนรกอันหยาบช้าทารุณ ๘๖,๐๐๐ ปี เพราะติเตียน
การบูชาพระสถูป ก็เมื่อการบูชาและการฉลองพระสถูปของพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้า อันมหาชนให้เป็นไปอยู่ ชนเหล่าใดมาประกาศโทษ
แห่งการบูชาพระสถูปนั้น เหมือนกระผม ชนเหล่านั้นพึงห่างเหินจากบุญ
ขอท่านจงดู ชนทั้งหลายซึ่งทัดทรงดอกไม้ตบแต่งร่างกายเหาะมาทาง
อากาศเหล่านี้เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส เป็นผู้มั่งคั่งมียศเสวยอยู่ซึ่งวิบาก
แห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ชนทั้งหลายผู้มีปัญญา ได้เห็นผลอันน่าอัศจรรย์
น่าขนพองสยองเกล้าอันไม่เคยมีนั้นแล้ว ย่อมทำการนอบน้อมวันทาพระ
มหามุนีนั้น กระผมไปจากเปตโลกนี้แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์จักเป็นผู้
ไม่ประมาท ทำการบูชาพระสถูปเนืองๆ เป็นแน่แท้.
จบ ธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ ๑๐.
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2006, 10:01 pm
ขอยกอีกเรื่องนึง
๙. ปีตวิมาน
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในปีตวิมาน
สมเด็จอัมรินทราธิราชตรัสถามนางเทพธิดาตนหนึ่งว่า
[๔๗] ดูกรนางเทพธิดาผู้เจริญ ผู้นุ่งห่มผ้าล้วนแล้วด้วยสีเหลือง มีธงก็เหลือง
ตกแต่งด้วยเครื่องอลังการเหลือง มีกายอันลูบไล้ด้วยจุณจันทน์เหลือง
ทัดทรงดอกบัวหลวง มีปราสาทอันแล้วด้วยทองคำ มีที่นอนและที่นั่งสี
เหลือง ทั้งภาชนะที่รองรับขาทนียะและโภชนียะสีเหลือง มีฉัตรสีเหลือง
รถสีเหลือง มีม้าและพัดล้วนแล้วสีเหลือง เมื่อชาติก่อนท่านเป็นมนุษย์
ได้กระทำบุญอะไรไว้ ฉันถามท่านแล้วขอท่านจงบอก นี้เป็นผล
แห่งกรรมอะไร
นางเทพธิดาตอบว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้น้อมนำเอาดอกบวบขมซึ่งมีรสขม
ไม่มีใครชอบ จำนวน ๔ ดอก ไปบูชาพระสถูปตั้งจิตอุทิศต่อพระบรม
ธาตุของพระบรมศาสดา ด้วยจิตอันเลื่อมใสกำลังส่งใจไปในพระบรมธาตุ
ของพระศาสดานั้น ไม่ทันได้พิจารณาถึงหนทางที่มาแห่งแม่โค ทันใด
นั้น แม่โคได้ขวิดหม่อมฉันผู้มีความปรารถนาแห่งใจยังไม่ถึงพระสถูป
ถ้าหม่อมฉันได้สั่งสมบุญนั้นไซร้ หม่อมฉันพึงได้ทิพยสมบัติยิ่งกว่า
นี้เป็นแน่ ข้าแต่ท้าวมัฆวานจอมเทพผู้เทพกุญชร เพราะบุญกรรมนั้น
หม่อมฉันละอัตภาพมนุษย์แล้ว จึงได้มาอภิรมย์อยู่กับพระองค์
ท้าวมัฆวานผู้เป็นอธิบดีแห่งทศเทพผู้ทรงเทพกุญชร ได้ทรงสดับเนื้อความ
นี้แล้ว เมื่อจะทรงยังทวยเทพเจ้าชาวดาวดึงส์สวรรค์ให้เลื่อมใส ได้
ตรัสกะมาตลีเทพบุตรว่า ดูกรมาตลี จงดูผลแห่งกรรมอันวิจิตรน่าอัศจรรย์
นี้ ทานวัตถุแม้มีประมาณน้อยอันนางเทพธิดานี้ทำแล้ว ย่อมเป็นบุญมีผล
มาก เมื่อจิตเลื่อมใสในพระตถาคตสัมพุทธเจ้า ในพระปัจเจกพุทธเจ้า
หรือในสาวกของพระตถาคต ทักษิณา ย่อมไม่ชื่อว่ามีผลน้อยเลย มา
เถิดมาตลี แม้เราทั้งหลายพึงรีบเร่งบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระตถา-
คตให้ยิ่งๆ ขึ้นเถิด เพราะการสั่งสมบุญย่อมนำสุขมาให้ เมื่อพระตถาคต
จะยังทรงพระชนม์อยู่ หรือเสด็จปรินิพพานไปแล้วก็ตาม เมื่อจิตสม่ำ
เสมอผลก็ย่อมสม่ำเสมอ เพราะเหตุที่ตั้งจิตไว้ชอบธรรม สัตว์ทั้งหลาย
ย่อมไปสู่สุคติ ทายกทั้งหลายได้กระทำสักการะบูชาในพระตถาคตเหล่าใด
ไว้แล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ พระตถาคตเหล่านั้นย่อมเสด็จอุบัติขึ้น เพื่อ
ประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากหนอ.
จบ ปีตวิมานที่ ๙.
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
จิตไม่สงบ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 11 เม.ย.2006, 11:36 am
เรียน คุณจักรพนธ์
ยอมรับว่าลังเลและยังฟุ้งซ่านอยู่ในเรื่องของการไปปฏิบัติธรรม แต่ถ้ามีเหตุ ไม่ว่าจะเป็นด้วยใจของเราเอง หรือจะเป็นด้วยภาวะแวดล้อม ทำให้ยังไม่สามารถไปได้ มันจะผิดไหมเพราะเราบอกว่าเราจะไปแต่ก็ยังไม่ไป มันจะเป็นการเพิ่มบาปอีกหรือปล่าว
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 11 เม.ย.2006, 1:59 pm
การที่ ท่านมีจิตที่จะไปปฏิบัติธรรมก็ นับว่าประเสริฐแล้วครับ เป็นบุพเจตนา ที่เป็นกุศล คือ เจตนาก่อนทำความดี แต่ถ้า หากท่านได้ไปปฏิบัติธรรมด้วย จะยิ่งดีมาก ครับ เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นเป็น มหากุศล ยิ่งกว่ากุศล อื่นใดทั้งหมดครับ
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th