Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ทำอย่างไรให้หายจากการคิดฟุ้งซ่าน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
จิตไม่สงบ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 เม.ย.2006, 5:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พึ่งประสบกับความทุกข์หนักๆทางด้านจิตใจมาไม่นานนี้เอง ปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่เพียงแต่ไม่หนักเท่าที่เกิดใหม่ๆ(คิดเอาเองว่ามันหนักเพราะทำให้ชีวิตแย่สุขภาพแย่การงานแย่)ทุกวันนี้ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้ แต่พอทำได้เป็นช่วงเวลา สนทนาธรรมกับผู้รู้ก็พอช่วยได้บ้าง แต่พออยู่คนเดียว(กลางคืน)จะไม่สามารถควบคุมจิตใจได้ จะกังวลฟุ้งซ่านคิดไปต่างๆนานา ทำให้นอนไม่หลับ ไม่อยากรับประทานอะไร แต่ใช่ว่าจะถูกทอดทิ้งโดดเดี่ยว ยังมีผู้คนรอบข้างเป็นกำลังใจและแนะนำวิธีต่างๆให้ปฎิบัติ บางครั้งก็พอทำได้บ้าง ส่วนใหญ่ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่พอกลับมานั่งคิดดูแล้ว คิดว่าสาเหตุที่ทำไม่ได้สักทีคงเป็นเพราะ การยึด การเกาะ และจิตใจที่ไม่เข้มแข็ง เคยฝึกปฏิบัติก็หลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จเลย ใจมันคอยคิดมโนภาพให้เสร็จสรรพ..
ใคร่ขอคำแนะนำที่สามารถนำมาปฎิบัติแล้วได้ผล อย่างน้อยสามารถทำให้ใจสงบขึ้นบ้างก็ยังดี ขอขอบคุณล่วงหน้า
 
ภูเขาไฟ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 เม.ย.2006, 6:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม คุณปฏบัติแบบไหนมาอะค่ะ

ถ้านั่งแบบ พองหนอยุบหนอ ก็ลองมาอ่านที่ เว็บนี้ดูก่อน http://www.sati99.com/

สาธุ อ่านแล้ว อจจะช่วย ให้ได้คำตอบข้อสงสัยบาง ลองดูก่อน ยิ้มเห็นฟัน
 
satima
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 120

ตอบตอบเมื่อ: 03 เม.ย.2006, 10:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความจริงจิตใจเรา มันเป็นเช่นนั้นเอง
คือมันทำงานของมัน ตามใจชอบ อยากจะไปโน่นไปนี่
คิดนั่นคิดนี่ บางทีก็ร้องเพลง บางทีก็ไปเอาเรื่องมาคิดกลุ้ม
ไม่อะไรเลย ก็ วางแผนจะทำงาน นั่นนี่ ไปเรื่อย

ที่แท้นั้น มันเป็นธรรมชาติของจิต ที่เป็นไปของเขาเอง
แต่เราพยายามจะไปบังคับให้เป็นไปตามเรา
พอเรารู้สึกว่าจริงๆ บังคับเขาไม่ได้ เราก็ทุกข์ขึ้นมาซะเอง

บางทีนะคะเรื่องมันง่ายจนยาก
เพราะเราไม่เห็นแง่มุมของมันนั่นเอง
จิตใจเรา ถ้าไปฝืน ก็เหมือนเด็กดื้อเพราะความไม่เข้าใจ
เราเพียงปล่อยเขาไป และค่อยๆ ชี้ให้เขาดูทุกข์ภัยที่เกิด
เขาเห็นบ่อยเข้า เขาก็เลิกพยศไปเอง เพราะเห็นว่า
ถ้าไปทำอะไร หรืออยากขึ้นมาเมื่อใด มันก็ทุกข์
แม้ว่า จะอยาก ดี ก็ตามค่ะ

เมื่อเรายอมทิ้งสุข เราก็จะไม่ทุกข์
แต่เรายังเสียดายสุข ทุกข์จึงตามมาค่ะ
เพราะสุขกับทุกข์มันติดกัน
เพราะว่าทุกสิ่งที่เราเห็น เราเห็นเป็นของคู่กันเสมอ
ทั้งที่จริงแล้ว ทุกสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันรวด
แต่จิตใจเราไม่สามารถยอมรับได้

เราจึงมักแบ่งแยกสิ่งต่างๆ เป็นฝ่ายตรงกันข้ามอยู่เสมอ
ถ้าเรายอมรับทั้งดีและชั่ว ทั้งสุขและทุกข์
และพร้อมที่จะไม่ยึดทั้งสองฝ่าย เราก็จะได้สุขที่แท้จริง
นั่นคือความสงบ ระงับ ภายในจิตใจเราเอง
เพราะเห็นตามความเป็นจริงได้อย่างแท้จริงค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
satima
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 120

ตอบตอบเมื่อ: 03 เม.ย.2006, 11:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ที่จริงเรื่องการอธิบายการปฏิบัตินั้น เป็นเพียงการพูดคุยกันไปตามเรื่อง
เพราะความจริง มันช่วยได้ยากมากเลยค่ะ นอกจากเจ้าตัวจะลองทำ
ไปจริงๆ เลย การฟังคนอื่น ก็ได้แต่ฟังเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา

เพราะว่าเรื่องของเรานั้น เราประจักษ์ใจเรา
ทุกข์อยู่ที่ใจเรา มันเข้มข้นกว่าในใจคนอื่น
เวลานอนไม่หลับมันทุกข์ทรมารมากมาย เกินกว่าใครจะรู้
อาหารไม่อยากจะรับ เพราะมันปฏิเสธทุกอย่าง อย่างต้องการอยู่เฉย
แบบดื้อดึง แต่ถ้าเราแค่รู้สึกว่า ไม่นอน ก็ดี เราได้ภาวนา
ไม่กินก็ดี เราไม่ต้องผ่อนอาหาร จิตมันจะเป็นไร เราไม่กลัว
เราต้องกล้าหาญกับมัน ทำให้ได้ถึงที่สุด ดูกันไป ว่าเกิดไรขึ้น
แล้วมันจะอยู่นานเท่าใด รู้ไปอย่างเดียว ตามรู้ ตามดูมันไปเรื่อยๆ

ลองดูนะคะ จะเอาใจช่วยค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
อะมิตาพุทธ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 เม.ย.2006, 11:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านน่าจะลองใช้คำบริกรรมต่างๆดูเพื่อไม่ให้คิดไปนู้นคิดไปนี่เช่น พุทโธ , สัมมาอรหัง เมื่อท่านเกิดฟุ้งซ่านขึ้นมาก็บริกรรมเช่น เมื่อฟุ้งซ่านก็กำหนดคำบริกรรม ไม่ว่าจะเป็นพุทโธหรือสัมมาอรหัง เเล้วเเต่จริตของท่าน หรือถ้าฟุ้งซ่านมากๆ ก็ให้ไปหางานทำ เช่น ปลูกต้นไม้ ล้างตู้เย็น ฯลฯ
เวลาเราทำงานไปเราก็บริกรรมไปเรื่อยๆ เช่น กำลังขัดตู้เย็น ล้างตู้เย็น ก็กำหนดพุทโธไปเรื่อยๆ

ถ้ามีอะไรที่ผิดพลาดไปก็ขอโทษด้วยนะครับ..
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 2:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กราบสวัสดี คุณจิตไม่สงบ

หากคุณไม่มีภาระผูกพันอะไรมากเกี่ยวกับครอบครัว เตรียมตัวให้พร้อมเกี่ยวกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชุดขาว ของใช้ส่วนตัวเท่าที่จำเป็น พอที่ทำงานเลิก ก็ดิ่งตรงไปวัดเลย เลือกวัดที่มีการบวชเนกขัมมะทุกวันจะสะดวก ไปเปลี่ยนชุดขาวที่วัด รับประทานไม่ได้ก็จะเป็นการดี ที่วัดให้ทานสองมื้อ แต่จะถือเคร่งก็ทานมื้อเดียวไม่มีใครว่า นอนไม่หลับก็จะเป็นการดี จะได้ตื่นมาเตรียมตัวทำวัตรเช้าตอนตีสี่ได้

ชีวิตแย่สุขภาพแย่การงานแย่ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ลองบวชอยู่ในชุดขาว ถือศีลแปดเคร่งวินัย อยู่กับตัวเองไม่ต้องพูดจากับใคร ถึงเวลาสวดมนต์ทำวัตรเย็น วัตรเช้า ปฏิบัติสมาธิตามคำแนะนำครูบาอาจารย์ ว่างเว้นก็ช่วยงานวัดไป ลองไปฝึกเจริญสติกับการกวาดใบไม้ ฝึกเจริญสติกับการล้างจาน ฝึกพิจารณาอาหารในขณะรับประทาน เบื่อโลกเบื่อสังคมมากๆก็ลองหาเวลาอยู่กับตัวเองสงบๆอาทิตย์หนึ่งก็ไปสักสามวัน ไปบ่อยๆ เย็นวันศุกร์ปั๊บหิ้วกระเป๋าไปเลย

สมปรารถนาในสิ่งที่ปรารถนา

มณี ปัทมะ ตารา
ผีเสื้อ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
jo_swu
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 3:16 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

*กายสงบ จิตสงบ

พึ่งประสบกับความทุกข์หนักๆทางด้านจิตใจมาไม่นานนี้เอง

*ผ่านไปแล้ว ปล่อยทิ้ง เสียดาย... หรือ

ปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่เพียงแต่ไม่หนักเท่าที่เกิดใหม่ๆ(คิดเอาเองว่ามันหนักเพราะทำให้ชีวิตแย่สุขภาพแย่การงานแย่)

*ลืมที่แย่ๆ ไป ศาสนาที่สอนให้ เพียร ให้ปฏิบัติ ยังมีนะ ดีเท่าไร หาได้ง่ายที่ไหน

ทุกวันนี้ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้

*ไม่ต้องทำ แค่อย่าประมาท ก็พอ

แต่พอทำได้เป็นช่วงเวลา

*ไม่ต้องจัดเวลา ไม่ต้องหา ไม่ต้องจริงจัง แค่สงบ ถูกแล้ว ดีแล้ว พอ...

สนทนาธรรมกับผู้รู้ก็พอช่วยได้บ้าง

*จ้า ค่อยๆ ปฎิบัติไปละกัน จะได้ช่วยคนอื่นต่อๆ ไป

แต่พออยู่คนเดียว(กลางคืน)จะไม่สามารถควบคุมจิตใจได้ จะกังวลฟุ้งซ่านคิดไปต่างๆนานา ทำให้นอนไม่หลับ ไม่อยากรับประทานอะไร

*จริงนอน 4 ชม. ถ้านอนเป็นก็เหลือเฟือ ถ้ากินน้อย นอนน้อย ทำความเพียรมาก ปกติไม่เกร็ง ทั้งภายใน ภายนอก พอนะ จริงๆ มีสติ นะ (ฟุ้งก็หายไปเอง)

แต่ใช่ว่าจะถูกทอดทิ้งโดดเดี่ยว ยังมีผู้คนรอบข้างเป็นกำลังใจและแนะนำวิธีต่างๆให้ปฎิบัติ บางครั้งก็พอทำได้บ้าง ส่วนใหญ่ไม่ประสบผลสำเร็จ

*หาเหตุที่ควรสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ให้รู้ เหมือนที่ ควรรู้ ว่าเหตุไรถึงควรรักษาศีล
จะได้ดี มีปัญญา

แต่พอกลับมานั่งคิดดูแล้ว คิดว่าสาเหตุที่ทำไม่ได้สักทีคงเป็นเพราะ การยึด การเกาะ และจิตใจที่ไม่เข้มแข็ง เคยฝึกปฏิบัติก็หลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จเลย ใจมันคอยคิดมโนภาพให้เสร็จสรรพ..

*ปัญญาแท้ๆ ไม่ได้มาจากการคิด เริ่มต้น จากกายสงบ จิตสงบดูนะ
-กาย ลองกำหนดลม จากหัวไปเท้า กำหนดที่ปลายเท้า 1 กำหนดลม ต่อจากเท้าไปหัว กำหนดที่ปลายผม จากเท้าไป ที่หัว 1 ทำไป ทั้งตอน ยืน และนอน
-จิต กำหนด บริกรรมรู้หนอๆๆๆ ไป(สักพักหายไปก็ ไม่เป็นไร มีสติรู้ตัว ก็กำหนด ก็บริกรรม) มีความคิด ก็ กำหนดที่ ท้อง รู้หนอๆๆๆ ไปจน ความคิดนั้นหายไป อย่าให้จิตโดนลากไป อย่าจริงจัง

ใคร่ขอคำแนะนำที่สามารถนำมาปฎิบัติแล้วได้ผล อย่างน้อยสามารถทำให้ใจสงบขึ้นบ้างก็ยังดี ขอขอบคุณล่วงหน้า

*คับ
 
I am
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 9:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกข์เกิดขึ้นกับตัวเอง บางท่านบอกว่าโชคดี บางท่านบอกโชคร้าย

บางท่านต้องการความสงบ ก็ให้นั่งสมาธิ
บางท่านต้องการใช้ปัญญา ก็ให้พิจารณาหาเหตุผล


ท่านที่บอกโชคดีคือ ท่านบอกว่าท่านได้เห็นทุกข์ ได้พิจารณาทุกข์ว่ามันเกิดจากอะไร ?
คิดหาเหตุหาผล หาต้นตอของสิ่งที่ประสบอยู่นี้ว่า เกิดจากอะไรแน่ จะละหรือปล่อยวางทุกข์นี้ได้อย่างไร ?

เมื่อคิดได้ว่าเกิดเพราะเหตุนั้น เกิดเพราะเหตุนี้ ใจยอมรับในเหตุในผลนั้น ปัญญาก็เกิดตัดทุกข์นั้นได้ เป็นข้อๆ ไป

ท่านที่บอกว่าโชคร้าย ก็เพราะท่านนั้นไม่ใช้ความคิด ไม่ใช้ปัญญาหาเหตุหาผลว่า ทำไมทุกข์จึงเกิดกับเรา ปล่อยใจให้ไหลไปตามแต่ทุกข์จะกำหนดให้

ธรรมของพระพุทธเจ้า ๘๔,๐๐๐ องค์ ให้ไว้เหมาะสำหรับ ปัญญาของปุถุชนที่จะรับได้ ขอให้เลือกเอาว่า ธรรมบทใดเหมาะกับทุกข์ข้อใด ชนิดใด ให้นำไปพิจารณาหาเหตุหาผล ให้เกิดปัญญาเพื่อบันเทาทุกข์ที่ตัวเองประสบอยู่ขณะนี้

เจริญธรรม
 
จิตไม่สงบ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 4:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกความเห็นและข้อแนะนำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของ satima , ปุ๋ย, jo_swu , I am ฯลฯ ขอขอบคุณด้วยความจริงใจ และน้อมรับ ...ปัจจุบันพยายามฝึกใจให้จดจำในสิ่งที่ดีมีความสุข แต่มันก็ยากเหลือเกิน สาเหตุที่มันยากก็เพราะว่าตัวเราเองมีสมาธิสั้น และตัวปัญหาของเรา (ตัวเราด้วยมั้ง) ไม่ยอมปรับปรุงอะไรเลย กลับกระทำมากยิ่งกว่าเดิมโดยถือความต้องการตัวเองเป็นสำคัญ ตัวเราเองเสียอีกที่ยอมรับเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น(บางครั้งความรู้สึกก็ไม่ยอม)ถึงได้อดทน เสียสละ (บางเรื่องเท่านั้น)..กำลังพยายามเลิกยึดเลิกเกาะ..แต่มันเป็นการยากบอกตามตรง ซึ่งก็เข้าใจว่ามันก็คงค่อยเป็นค่อยไป คนเรามันใจร้อนอยากให้มันจบสงบโดยเร็ว ..ก็พอจะรู้เหมือนกันว่า อย่าโทษแต่เขา ต้องกลับมองตัวเองมั่ง.. เอาเป็นว่าเพราะเวรกรรมนั่นแหละ ตั้งแต่อดีตชาติอาจทำกับเขาไว้เยอะมาก ไม่เคยยอมกันเสียทีจนมาถึงปัจจุบันชาติก็ต้องชดใช้กันไป..ปัจจุบันถ้าจะถามความรู้สึกแล้วก็ไม่ได้โกรธจะเอาเป็นเอาตาย เพียงแต่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และที่กระทำอยู่เสมอคืออธิฐานภาวนาแต่สิ่งดีๆ ไม่เคยสาบแช่งหรือว่าร้ายเพราะใจด้านหนึ่งมันคอยเตือนอยู่เสมอว่ามันเป็นเรื่องของเวรกรรมจงทำใจให้ยอมรับ
 
neoman
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 26 ก.พ. 2006
ตอบ: 64

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 7:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองอ่านบทความนี้.... "แค่ปล่อย ก็หายทุกข์...." แลบลิ้น

ปล่อยเมื่อไร สบายเมื่อนั้น ...................................................................................................

เธอครองชีวิตร่วมกับเขามานานกว่า ๑๐ ปี แล้ววันหนึ่งก็พบว่าเขาปันใจให้หญิงอื่น เธอจึงแยกทางจากเขา แต่เขาหาได้ไปจากจิตใจของเธอไม่ ทุกครั้งที่นึกถึงเขา เพลิงแค้นก็ลุกท่วมหัวใจ เธอแค้นที่ถูกเขาทรยศ แค้นที่เขาทำลายชีวิตที่ดี ๆ ของเธอ ยิ่งนึกก็ยิ่งรุ่มร้อน จนอยากตบ อยากทำร้าย อยากทำลาย "มัน"

เธอหันหน้าเข้ากรรมฐาน แต่ความแค้นยังตามมารังควานเธอ แม้เรื่องจะจบไปนานแล้ว แต่เธอไม่ยอมจบด้วย ใจยังหวนกลับไปขุดเรื่องราวในอดีตให้มาทิ่มแทงเธอไม่หยุดหย่อน เสียงด่าดังก้องอยู่ในใจทั้งๆ ที่รอบตัวมีแต่ความเงียบสงบ

แต่ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน มีเกิดก็มีดับ ตอนนั้นเธอกำลังเดินจงกรม มือประสานกันที่ท้อง เธอรู้สึกว่าเมื่อยเหลือเกินเพราะกุมมือในท่านั้นนานเป็นชั่วโมงแล้ว จึงปล่อยมือลง ทันทีที่ปล่อยความเมื่อยก็หายไป ความรู้สึกสบายกายสบายใจเกิดขึ้นตามมา ชั่วขณะนั้นเองเธอได้ประจักษ์แก่ใจว่า "แค่ปล่อย เราก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป" แล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมา

วินาทีนั้นเองที่เธอระลึกขึ้นได้ว่าสาเหตุที่เธอคับแค้นไม่เลิกราก็เพราะไป ยึดติดกับเรื่องราวในอดีตอยู่ตลอดเวลา เป็นเพราะเธอไม่ยอมปล่อยมันไปนั่นเอง เธอจึงทุกข์แล้วทุกข์เล่า เมื่อคิดได้เช่นนี้เธอจึงปล่อยมันออกไปจากใจทันที

เธอเล่าว่าในการปล่อยมือครั้งนั้น เธอได้ปล่อยความแค้นและเรื่องราวในอดีตระหว่างเธอกับเขาไปด้วย จิตใจบังเกิดความเบาสบายสงบเย็นขึ้นมาทันที

มือที่กุมไว้นานๆ ย่อมเมื่อยฉันใด ใจที่ยึดไว้ไม่เลิกรา ย่อมเป็นทุกข์ฉันนั้น ไม่มีอะไรที่จริงยิ่งไปกว่านี้ แต่ความจริงง่าย ๆ อย่างนี้น้อยคนจะตระหนัก ทั้งนี้ก็เพราะเราคุ้นชินกับการยึดจนเป็นนิสัย อะไรก็ตามที่ติดเป็นนิสัยแล้ว เรามักจะทำไปโดยไม่รู้ตัว คนที่เคร่งเครียดจนเป็นนิสัย ก็เอาแต่เคร่งเครียด หน้านิ่วคิ้วขมวด เกร็งมือเกร็งคอ ไปโดยไม่รู้ตัว แม้จะรู้สึกเมื่อยล้า ก็หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะนิสัยดังกล่าวนั่นเอง แต่ทันทีที่รู้ตัวและผ่อนคลายลง เขาก็จะรู้สึกสบายทันที

อะไรก็ตามถ้าเราไปยึดติดแบกถือแล้ว ล้วนทำให้เป็นทุกข์ทั้งนั้น แม้ว่าสิ่งนั้นดูเหมือนเล็กน้อยไม่สลักสำคัญ แต่ก็ประมาทไม่ได้ สิวเพียงไม่กี่เม็ด ถ้าไปหมกมุ่นครุ่นกังวลกับมันทั้งวันทั้งคืน ก็สามารถทำให้เด็กสาวฆ่าตัวตายเพราะความอับอายได้ ดังเคยเป็นข่าวมาแล้ว

มีเรื่องเล่าว่าชายผู้หนึ่งเข้าไปกราบทูลระบายความทุกข์กับสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์หนึ่ง เขาเอาแต่บ่นว่า "หนักครับ.....ช่วงนี้แย่มากเลยครับ" เมื่อสมเด็จฯ ถามว่าหนักเรื่องอะไร เขาก็ทูลเล่าถึงปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าชีวิต สุดท้ายก็ทูลว่า "ตอนนี้ผมจวนจะแบกไม่ไหวแล้วครับ"

สมเด็จฯ ฟังสักพัก ก็รับสั่งให้เขานั่งคุกเข่าและยื่นมือทั้งสองออกมาข้างหน้า แล้วพระองค์ก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาวางบนฝ่ามือทั้งสองของเขา แล้วรับสั่งว่า "นั่งอยู่นี่แหละ อย่าขยับหรือไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา จะเข้าไปข้างในสักประเดี๋ยว"

เขานั่งอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานาน แต่สมเด็จฯ ก็ยังไม่เสด็จออกมาเสียที จนเขาเริ่มเมื่อยล้า กระดาษดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเหงื่อเริ่มออก

ในที่สุดสมเด็จฯ ก็เสด็จเข้ามาประทับที่เดิม แล้วทรงถามชายผู้นั้นว่าเป็นอย่างไร

"หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว"

"อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียล่ะ?" สมเด็จ ฯ รับสั่ง "ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซี มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง"

กระดาษแม้จะบางเบา แต่ถ้าไปยึดถือมันนานๆ ก็จะกลายเป็นของหนักจนสู้ไม่ไหว อารมณ์โกรธเกลียด ท้อแท้ กลัดกลุ้ม แม้จะจับต้องไม่ได้ แต่ถ้าไปแบกไว้ทั้งวันทั้งคืน ใจเรานั่นแหละที่จะแย่ ตรงกันข้ามกับหินก้อนใหญ่ ตราบใดที่ไม่ไปอุ้มไปแบก ก็ไม่มีวันหนัก

เป็นเพราะไม่รู้ตัวใช่ไหมเราจึงเผลอไปแบกหรือยึดความทุกข์เอาไว้ ทั้งๆ ที่ยิ่งแบกยิ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็ยังไปแบกไปยึดอยู่นั่นเองเพราะทำจนเป็นนิสัยเสียแล้ว ความรู้ตัวจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่หนทางแห่งความไม่ทุกข์ เพราะเมื่อรู้ตัวแจ่มชัดเราก็ประจักษ์แก่ใจว่าได้เผลอแบกยึดอะไรต่ออะไรไว้มากมาย ถึงตอนนั้นการปล่อยวางก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก ฉะนั้นไม่ว่าทำอะไรอยู่ก็ตาม ควรหมั่นมองตนสำรวจจิตเพื่อให้รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดอยู่เสมอ ความรู้ตัวนี้แหละจะช่วยปลดเปลื้องสิ่งหมักหมมที่ค้างคาในจิตใจจนทำให้ชีวิต เบาสบาย

เทศกาลปีใหม่มาถึงแล้ว ใครๆ ก็อยากได้ของขวัญ แต่ถ้าอยากให้ชีวิตเบาสบาย ไม่มีอะไรดีกว่าการปล่อยวางสิ่งที่ทำความหนักอึ้งแก่จิตใจ อย่าแบกข้ามปีให้เหนื่อยใจอีกต่อไปเลย

วันนี้สิ่งสำคัญจึงมิใช่คำถามว่าเราได้อะไรมาบ้าง? แต่ได้แก่คำถามว่าเรา "ปล่อย" ไปมากแค่ไหนแล้ว?


ผู้แต่ง : รินใจ
 

_________________
ความสุขหรือความทุกข์ อยู่ใจเราจะคิดเอา ถ้าคิดว่าสุขก็สุข ถ้าคิดว่าทุกข์ก็ทุกข์.
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
satima
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 120

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 10:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณจิตไม่สงบ น้อมรับมาดูที่ตัวเองนั้น ถูกต้องตามธรรมแล้วค่ะ
แต่อย่าให้มันหลอกเราได้ ตรงที่ว่า เมื่อเรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนั้น
แท้จริงแล้ว แฝงอยู่ด้วยโทสะ คือโกรธที่เขาทำกับเรา แล้วเราไม่
ได้กระทำกลับ แต่จิตกลับกระทำแทน คือ ฟุ้งอยู่ และไม่ยอมสงบ

การมองกลับมาที่ตัวเอง ให้เห็นความเป็นจริงของจิตใจเรา สำคัญมาก
ไม่ว่ามันจะทำอะไร อย่างไรก็ตาม ให้เราตามรู้ การกระทำของจิตใจ
ของเราให้มากๆ มันวิ่งไปทางไหน ไปอย่างไร และทำไม

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เราเห็นหรือไม่ว่า เราตามมันไป คือหลงไปกับมัน
หลงคิดไปกับมัน หลงฟุ้งไปกับมัน แล้วกลับมาน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะ
แท้จริงแล้ว เราเกิดโทสะขึ้นในจิต โทสะไม่ใช่เป็นเพียงความโกรธ
ความโมโห แต่มันคือการพยายามให้คนอื่นเห็นใจ ทำตัวน่าสงสาร
เพื่อให้เห็นว่า เขาไม่ดี เขาน่าเกลียด เขาทำกับเราไม่ดี ฯลฯ
มองให้ละเอียดนะคะ

ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจเราเอง ปรุงแต่งมันขึ้นมาทั้งหมด เพราะไม่ได้อย่างใจ
ไม่ได้ตามทิฏฐิและตัณหาของเรา ทิฏฐิ คือความเห็นของเรา
ตัณหาคือความต้องการของเรา
เมื่อเรามองมันออก เราเห็นหน้าตาของกิเลสมันชัดเจน
มันก็ปลอมตัวมาหลอกเราไม่ได้อีก

ไม่ต้องพยายามให้ใจสงบหรอกค่ะ ถ้าเราสบายใจ
ระลึกรู้ปัจจุบันจริงๆ เราจะพบว่า ในปัจจุบันนั้น ไม่มีสิ่งใด
ที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ระส่ำระสายได้เลย มันเป็นเพราะจิต
ที่วิ่งไปล่วงหน้า หรือวิ่งย้อนไปอดีตเท่านั้น ที่ทำให้เราทุกข์

ขอให้พยายาอยู่กับปัจจุบันขณะ ให้มากๆ เห็นกายใจ อย่างปกติ
มีความสุขกับการรู้จักตัวเอง ให้มากๆ นะคะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
I am
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 05 เม.ย.2006, 10:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นับว่าคุณ จิตไม่สงบ เป็นคนที่รู้จักธรรมที่ดีคนหนึ่ง
การปลงลงในกรรมทำให้ใจเราสบายไม่ต้องไปโกรธเครียดแค้นผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ทำกรรมเวรเพิ่มขึ้นใหม่อีก ขณะที่หนี้เก่ากำลังชดใช้อยู่

ขอให้มีขันตินะครับ
 
อิคิว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 05 เม.ย.2006, 3:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมที่เป็นปฎิปักษ์ความสงบคือ นิวรณ์ 5
กามฉันทะ พยาปาทะ ถีนะ อุทรัทถะ วิจิกิจจฉา
กามฉันทะ เป็นความพอใจ ยินดี ลุ่มหลง ปรารถนาในกามคุณ 5
อุทรัทถะเป็นความฟุ้งซ่าน
ไม่ว่ากุศลธรรมหรือ อกุศลธรรมเกิดขึ้นได้นั้นเพราะมีเหตุปัจจัย เมื่อยังมี อวิชชาอยู่ วิญญาณ อายะตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ก็ยังมี เมื่อขจัด อวิชาเสียแล้วเป็น วิชชา ตัณหา อุปาทานภพชาติ จึงหมดไป การฟังธรรม ศึกษาธรรม ปฎิบัติธรรม บ่อยๆมากๆก็จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งเกิดเป็นวิชชา
ในมหาสติปัฏฐาน4 กล่าวโดยย่อว่าให้
1.พิจารณาเห็นกายในกาย
2.พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
3.พิจารณาเห็นจิตในจิต
4.พิจารณาเห็นธรรมในธรรม
สิ่งใดปรากฏชัดก็ให้ระลึกสิ่งนั้น จิตฟุ้งซ่านพิจารณาจิตนั้นให้เห็นชัด ระลึกรู้ลักษณะ มีความเป็นสัตว์ บุคคล หรือตัวตนหรือไม่ (คำตอบก็จะเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่) เที่ยงหรือไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือสุข (คำตอบคือเป็นทุกข์) เพราะอะไรที่ไม่เที่ยงมีความแปรปรวนก็ต้องเป็นทุกข์ ให้มีสติระลึกบ่อยๆเนืองๆ เช่นกายในกาย ระลึกให้เห็นความเป็น ธาตุ ดิน นำ ลม ไฟ และรูปอื่นๆอีก24รูป เช่น สีแสง เสียง รส กลิ่น ความเป็นปฎิกูล ความเป็นอสุภะ
เวทนาในเวทนา คือ โสมนัส หรือ โทมนัส หรือ เฉยๆ และ จิต เป็น โลภ โทสะ โมหะ เป็นต้น
ให้มีสติระลึกบ่อยๆ
การอยู่ผู้เดียวถ้าขาดสติก็เสมือนอยู่ด้วยสอง เพราะมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเพื่อน ยังละกามฉันทะไม่ได้ ต้องเห็นโทษของกาม ต้องมีหิริโอตัปปะ คือ อาย และเกรงต่อบาปต่ออกุศลจิตที่เกิดขึ้น มีความเพียร4 ไม่ให้อกุศลเกิด ฯลฯ มีความเมตตาเป็นมิตรต่อทุกๆคน
ทำทาน มีศีล ศึกษาธรรมะ ภาวนา ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดกุศลจิต พยายามให้มากๆ ต้องอาศัยทั้งความเพียร สติ สัมปชัญญะ และเวลาเท่านั้น จะให้ความต้องการและความปรารถนาเข้ามาครอบงำไม่ได้
 
จิตไม่สงบ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 เม.ย.2006, 5:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบพระคุณมากๆ สำหรับทุกกำลังใจ ปัจจุบันได้ปฏิบัติตามทุกท่านที่แนะนำมา มีบ้างที่สำเร็จและมีบ้างที่พ่ายแพ้ แต่ความพ่ายแพ้มันเหมือนเป็นฐานกำลังทำให้เข้มแข็งขึ้น ก็เข้าใจนะว่ามันต้องใช้เวลา ทุกวันนี้พยายามปล่อยวาง และสอนจิตไม่ให้ยึดเป็นของๆเรา และแผ่เมตตา และที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำคือระลึกถึงองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้เจริญธรรมทั้งหลายที่เราเคารพนับถืออยู่เสมอ ขอขอบคุณอีกครั้งด้วยความจริงใจ
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2006, 12:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมชาติ ของ จิตเป็น สิ่ง ที่ฟุ้งซ่านอยู่แล้ว ครับไม่ใช่เรื่อง แปลกเมื่อจิตกระทบอารมณ์ ต่างๆ
แล้ว แต่ ว่าจิตมัน จะยึด มากยึดน้อย ถ้ายึดมากก็ทุกข์มาก ยึดน้อยก็ทุกข์น้อย
ทางที่ดี สำหรับการควบคุม จิต คือการ เจริญสติ กาน นั่งสมาธิ เดินจงกลม การ สวดมนต์ แผ่เมตตา การเจริญพุทธานุสติ เสมอๆ ก็เป็น สิ่งที่ควบคุมจิต ไม่ให้ฟุ้งได้ครับ
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง