Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ** อริยมรรคอริยผล ** อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ดำจังแก
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 16 ธ.ค. 2005
ตอบ: 13

ตอบตอบเมื่อ: 16 ม.ค. 2006, 8:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านอาจารย์หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าเขาน้อย บุรีรัมย์

เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2539



ผมเชื่ออันหนึ่งว่า ถ้าพวกเราพร้อมเพรียงกันรักษา

ธรรมวินัย แบบฉบับของครูบาอาจารย์ไว้อย่าไปหลงเถลไถลแบบ

ใหม่ๆ แบบเขาว่าโลกเจริญ ก็เลยลืมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

โลกมันเจริญแค่ไหนมันเพียงแค่กามเท่านั้นแหละ ผลที่สุดโรคเอดส์

รุมหัวมันหมดแล้ว มันเจริญของโลกนี่ มันจะอัศจรรย์สักเท่าไร ธรรมะ

เรามันอัศจรรย์จริงๆ เพราะฉะนั้นจึงอยากให้หมู่พวกเชื่อในธรรม

ในวินัย ขนาดผมไปอยู่กับฝรั่งไม่รู้จักกันเขายังให้กินนะ เพราะเรา

ตั้งใจปฏิบัติธรรม ดูแล้วไม่มีญาติพี่น้องเลย ทำไมเขาให้กิน เวลา

เจ็บป่วยเขาก็รักษาให้ อานุภาพคำสอนพระพุทธเจ้าวิเศษจริงๆ ขอให้

เชื่อในธรรมในจิตใจศรัทธาของเรายึดมั่น ขอให้หมู่พวกลูกหลาน

ทุกคนที่เข้าบวชมานี้ อย่าไปมุ่งว่าให้โยมเขามีศรัทธา ให้คนนั้นมีศรัทธา

ไม่ต้อง ขอให้เรามีศรัทธาคนเดียว ให้ปฏิบัติจริง ทำจริง ยังไม่ต้อง

มองคนอื่น ให้มองตัวเรา พระพุทธเจ้าพระองค์ก็มองพระองค์ก่อน

พระองค์ไม่ได้วิ่งไปสอนโลกก่อน พระองค์สอนพระองค์จนเสร็จกิจ

แล้ว พระองค์จึงสอนคนอื่น ครูบาอาจารย์ตั้งแต่ท่านทนทุกข์ทรมาน

จนกว่าจะนี่……เหมือนกับหลวงปู่มั่น ผมไปดูไปอยู่ใกล้ชิดแล้ว

ท่านไม่ค่อยเอาใจใส่เรื่องญาติโยมเท่าไร ท่านเอาใจใส่พระเรา

สามเณรเรา ถ้าเราดีแล้วโยมเขาก็ดีด้วย ท่านพูดอย่างนั้นนะ ผมจำชัด

จริงๆ เพราะฉะนั้นผมเองถึงอยู่นี่ก็ตามถึงอยู่อเมริกาก็ตาม ผมไม่ได้

ลดละในการปฏิบัติตัวเอง ไม่ได้ประมาทในตัวเองทำอยู่เสมอ แม้แต่

ประเทศอเมริกาว่าต่างรัฐ หรือประเทศที่เจริญ หรืออริยประเทศ

ที่เจริญแล้วก็ตาม ผมไม่ได้มองอย่างนั้น คำสอนพระพุทธเจ้า

สอนกิเลส ไม่ได้สอนอันอื่น อยู่ที่ไหนก็ชำระที่นั่น ปฏิบัติที่นั่น ผมก็ทำ

มาตลอด ไม่ได้ลดละ ฉะนั้นขอให้พวกเราช่วยกัน ตั้งใจปฏิบัติดูแล

ต่อไปเรื่องธรรมะของพวกเราจะต้องช่วยกันทะนุบำรุง

รักษา สำหรับผมเองตอนระยะนี้รู้สึกว่าไม่คล่องแคล่วไม่สะดวก

แต่พูดให้ฟังแล้วว่า ทีแรกก็ตั้งใจว่าครูบาอาจารย์ก็น้อยองค์ แล้วก็

ไปอยู่โน้น (อเมริกา) มาก็หลายปีแล้ว ก็คิดเตรียมว่าจะพาพระ

ภิกษุสงฆ์ ผมตั้งใจในพระภิกษุสงฆ์ของเรามากกว่าชาวบ้าน เพื่อ

จะได้ช่วยกันประพฤติปฏิบัติ รวมทั้งญาติโยมด้วย พอเตรียมมาแล้ว

พอจะมาจริงๆ อยู่ในราวอาทิตย์กว่าเท่านั้น มันเป็นยังไงก็ไม่ทราบ

ตอนนั้นเราก็สวดมนต์คล่องแคล่ว เดินจงกรมสมาธิ ตอนเย็นสวด

ธรรมจักร ตอนเช้าสวดสติปัฏฐานทุกวันเลย เริ่มสวด แต่ก่อน

ก็ไม่ค่อยสนใจสวดเท่าไร สังเกตดูเราปฏิบัติเร่งเข้าไป แปลกอันหนึ่ง

ที่เราปฏิบัติ ได้เวลาแผ่เมตตานะ ไม่เมตตาตัวเอง ไปเมตตาแต่คนอื่น

อหังสุขิโตโหมิ เป็นมานานเหมือนกัน ปฏิบัติอยู่มาตอนใกล้จะมานี้

มันเหมือนกับลืมตัวหรือไม่รู้ตัว หายไปเลยแม้แต่ว่า นโม ก็ไม่จบ

ทำไมอยู่ๆ เราสวดได้ดีๆ ก็ไปยังไง แต่ขณะที่ลืมตัวอยู่นั้นน่ะ มันเป็น

คล้ายกับอันที่เป็นคราวก่อนที่เป็นอยู่ถ้าศรีแก้ว แต่ตอนเป็นที่อยู่

ถ้าศรีแก้วนั้น ก็เป็นด้วยเราตั้งใจปฏิบัติ ตั้งแต่เราพิจารณาอริยสัจ 4

พอพิจารณาอริยสัจ 4 เราก็คิดว่า ทุกข์ก็ดี สมุทัยก็ดี มรรคก็ดี

เราก็พออธิบายได้คล่อง พอกำหนดเรื่องนิโรธไม่รู้เรื่อง ก็เลยมาว่า

ตัวเอง เอ้า ตัวเราไม่เคยดับ แต่นี่มันจะรู้ได้ยังไง เพราะความดับนี้

มันต้องให้มันปรากฏรู้จริง จะเดาเอาไม่ได้ จะคิดวิจารณ์ไม่ได้ ก็เลย

มาภาวนาเพื่ออยากให้รู้จักนิโรธนี่เอง ด้วยเหตุนี่พอเราเร่งภาวนาไป

แล้ว มันได้เงื่อนไขมาจนในคืนนั้นสุดท้ายก็จิตมันสงบไปนี้ จนเกิด

ความรู้สึกในจิตใจนี่ มันต่อสู้ไปเห็นสัญญากับเวทนา เป็นตัวข้าศึกที่

ขัดข้องในเรื่องนิโรธนี่ นี้เองตัวสำคัญก็เลยต่อสู้กัน เหมือนกับเป็น

ศัตรูกัน ถ้าไม่กูก็xxx อันนี้มันเกิดในจิตนะ ไม่ใช่เราปรุงแต่งได้

พอต่อสู้แล้ว มันสว่างแล้วนี่ เณรเก็บบาตรเก็บอะไรไปแล้ว มันก็

ต่อสู้กัน เดินบิณฑบาต ก็ยังสู้กันไม่ถอย ตลอดถึงมาบิณฑบาตแล้ว

ฉันแล้ว ยถาให้พรแล้ว มันก็สักแต่ว่าพูดไปไม่ผิดหรอก แต่จิตมัน

ต่อสู้กัน มันไม่ถอยนี่ ไม่เคยเป็นอย่างนั้นมา แต่ก่อนมันก็เป็น แต่มันก็

ไม่ถึงสู้กันขนาดหนัก พอจัดอาหารฉัน ยถาเสร็จแล้ว เก็บของ

เสร็จแล้ว พอเดินจะไปถึงกุฏิ ปรากฏว่ามันถอนออกเลยที่นี่

ถอนสัญญากับเวทนานี่ มันถอนกำลังเดินนะ ไม่ใช่นั่งสมาธินะนี่

พอมันถอน ปรากฏว่าถอนทิ้งจนลงในเหว เหมือนกับเราถอนต้นไม้

ที่มันรวมกันแล้วก็ทิ้ง พอถอนแล้วมันก็ด่าตัวเองว่า มันโง่ (ฉิบหาย)

เท่านี้มันก็ไม่รู้ มันก็สะอื้น เอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างนี้ แต่จิตหนึ่งมันก็บอกว่า

อ้าวมันรู้ก็รู้แล้ว ถอนก็ถอนแล้ว จะไปคิดอะไรทำไม มันวิจารณ์อยู่

มันค่อยหายไป พอหายไปแล้ว จากนั้นมันก็สงบวิเวก ถ้าพูดถึง

ความสงบทั้งกลางวันกลางคืน มันไม่ได้นี่เลยนะ มันมีแต่ความเบาอยู่

ทั้งกลางวันกลางคืน

ในวันหนึ่งตอนเช้าหลังฉันแล้ว พอนั่งกำหนดจิตมันก็แว๊บ

มันก็พูดว่า มันพลิกจิตเหมือนกับพลิกแผ่นดินว่า แผ่นดินเหมือนกับ

เราเคยอยู่อย่างนี้ มันพลิกไปอย่างนั้น แล้วก็บอกว่าเราพลิกได้

พลิกจิตได้แล้ว ไปอย่างนั้นนะ แต่เราก็เอ๊ะ ทำไมนะ มันถอนไม่ลง

พอนานอีกวันหลัง แว๊บอีก ปรากฏว่าเดินในป่าแล้วก็ไม้ซากขนาดนี้

ตัดแล้ว ขอนที่ตัดอยู่มันนอน มันผุหมดแล้ว ขอนนั้นกระพี้กับเปลือก

มันก็ผุหมดแล้ว เราก็จับดึง พอดึงก็เห็นว่ามันก็ยังมีอยู่ติดกับดินอยู่

กว่าจะดึงออกก็ต้องออกได้ แต่ก็มีเตือนบอกว่า โอ๊ะ ไม่จำเป็นจะต้อง

ดึงออกหรอก เพราะมันตายแห้งหมดแล้ว มันผุแล้ว เหลือแต่แก่น

มันไม่งอกงามอีก ก็เลยไม่ดึง ก็ทิ้งไป ทิ้งก็เดินไป เอ๊ะ มันกลางวันนี่

ไม่ใช่เรานั่งหลับหรือนอนหลับ แต่ตอนนั้นมันก็จิตเบาอยู่ ไม่ได้กำหนด

ว่ากลางวันหรือกลางคืนในความรู้สึก แต่พอระยะที่เป็นอย่างนั้นนะ

มันลืมหมดเหมือนกันนะ ตอนนั้นน่ะเทศน์ไม่ได้เลย พูดอย่างอื่น

ไม่ได้เลย แต่เรื่องธรรมะ เรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องอะไรนี้มัน

คล่องมาก แต่มันเทศน์ไม่ออก เทศน์ไม่ได้ พูดไม่ได้ เอ๊ ทำไมมันหาย

ไปไหนหมด ธรรมะนี่ แต่มันไปรู้อันนั้น แต่ธรรมะที่จะพูดมันไม่ออก

จนเขาให้อธิบายธรรมะมันพูดไม่ได้ ตั้งแต่เข้าพรรษาจนมาถึง

เดือนสามในงานวัดสุทธาวาส เขาก็นิมนต์ขึ้นธรรมาสน์ ก็บอกว่า

เทศน์ไม่ได้ ธรรมะมันไม่มีเลย มันหายไปเลย มันดับไปหมดนี่ พอตั้ง

นโม แล้วก็เทศน์ไม่ได้ ลงธรรมาสน์ไปเฉยๆ จึงมารู้เอาว่าต้องการดับ

อยากรู้ดับ มันดับ มันก็ดับให้รู้ มันดับจนจากนั้นมาก็เรื่องธรรมะ

ไม่ค่อยได้ปรารภ เพราะว่าหลวงปู่ฝั้นก็ไม่สบายป่วย ก็ได้ดูมาตลอด

ถึงมารักษาท่าน แต่ต่อมาภายหลัง ธรรมะก็ค่อยขึ้นมาๆ ตอนหลัง

ก็เทศน์เก่งเหมือนแต่ก่อน ไปอยู่อเมริกาก็เทศน์อยู่ตลอด พอตอนนี้

อีก มันหายเหมือนกัน แต่มันไม่หายด้วยแบบอย่างนั้น หายแว๊บเดียว

มันบอกว่า กิจจะทำหมดสิ้นแล้ว ไม่มีกิจแล้ว เลิก กิจจะทำอีกไม่มีแล้ว

เครื่องมืออะไรทุกอย่างก็ไม่มีประโยชน์อะไรก็ตัดทิ้งหมดเลย

ตัวมรรคประหารตัวนั้นมันไปจนพิจารณาอะไรไม่ทันนะ พอมันประหาร

แล้ว มันไปปรากฏว่าบริสุทธิ์ บริสุทธิ์แล้ว แล้วก็ศีล สมาธิ ปัญญานี่

ไม่ต้องศึกษาและไม่ต้องเกี่ยวข้องแล้ว แม้แต่กำหนดไปถึงอริยมรรค

อริยผล มันก็กำหนดไปหมดแล้ว กามโลก รูปโลก อรูปโลก ทำลาย

หมดเลยนะ มันปลด แต่มันแปลกๆ มันทำลายในมรรคนี่ทำลาย

ไม่มีเหลือ ไม่มีเศษ แม้แต่จิตมันก็ทำลายนะ จิตก็ทำลาย แม้แต่

อรหัตตมรรคก็ทำลายอีก ไม่เอาไว้ ไม่ได้อุทธรณ์แต่นิดเดียวเลย

อันนี้มันแปลกอันนี้แหละ ที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ ท่านสอนมาที่พูดถึง

อรหัตตมรรคว่าเรื่องจิต มีจิตแล้วมันกระทบ มันมีอารมณ์ เพราะ

ฉะนั้นอันนี้ก็ทำลาย แม้แต่ตัวมรรคเอง ตัวนี้เองก็ทำลายไปด้วยกันนะ

ไม่มีเหลือเลย ทีนี้พอมันทำลายหมดแล้ว มันมาปรากฏลมละเอียด

แจ่มใสละเอียดที่ประชุมกันอยู่ ให้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่เกี่ยวเนื่องด้วย

กิเลส อุปธิอะไร ทั้งที่มันเป็นธาตุอยู่ คุมกันอยู่ แต่มันก็เย็นสบาย

โดยไม่มีอุปสรรคอะไรขัดข้อง เวลาเราเดินเรานึกเราอยู่ได้ด้วยลม

อันนี้ ความสุขความทุกข์อะไรก็ลมหายใจอยู่ด้วยกัน ผ่องใสเท่านั้นเอง

ที่ปรากฏขึ้นมา พอจากนั้นตั้ง นโม ก็ระลึกไม่ได้เลย หายไปหมด

จนไปหาหมอ ไปตรวจค้นทุกอย่างไม่เห็นมีอะไร พูดก็พูดได้

ฉันก็ฉันได้ทุกอย่างสมบูรณ์ทุกอย่างเลย แต่อันนั้นน่ะมันไม่พูดเลย

เหมือนเป็นคนใบ้ไปเลย ก็เลยกำหนดเลยไปได้ความอันหนึ่งว่า

พระพุทธเจ้าเมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ แม้พระองค์จะมีปัญญาปรีชา

อย่างไร จะตัดกิเลสอย่างสิ้นแล้ว พระองค์เสวยวิมุตติสุขถึง 7

อาทิตย์ 49 วัน แต่เรากำลังธรรมดานี่ ต้องพักอยู่เพื่อสร้างตนที่มัน

เปลี่ยนระบบใหม่ จะต้องอยู่แบบนั้น นี่ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้

เกือบเดือนแล้วยังไม่ถึง 7 อาทิตย์ เหมือนกับพระองค์นะ

แต่พระองค์นั้นไม่พูดกับใครเลย ไม่ฉันเลยเพราะฉะนั้นพระองค์จึง

พักผ่อนได้เต็มที่ได้ 49 วัน เพื่อจะได้มาโปรด แต่ส่วนเรานี้เราไม่ได้

ตั้งใจโปรด เราเป็นแต่เพียงสาวกรู้ตามเห็นตามปฏิบัติตามเท่านั้นเอง

เราจะพักอยู่เท่าไรก็ไม่รู้ ไม่เหมือนพระองค์ ที่นี่เดี๋ยวนี้มันก็พูดอะไร

ไม่ค่อยคล่องเลย ไม่ทราบมันอะไร แม้แต่ในจิตในใจมันก็เปลี่ยน

ไปหมด มันไม่เอาอะไรแล้ว เพราะฉะนั้นที่เราเคยตั้งใจว่าจะสร้าง

จะทำอะไร มันถอดทิ้งหมดเดี๋ยวนี้ มันไม่เอา โดยที่ว่ามันไม่เอาแล้ว

มันทำลายแล้ว แต่มาปรากฏที่แปลกว่าแม้แต่มรรคมันก็โดนทำลาย

อันนี้มันขัดกับครูบาอาจารย์ที่ทำทางนี้มา แล้วที่ว่าจิตก็โดนทำลายไป

ด้วย ทีนี้จะถามว่าเมื่อจิตทำลายแล้วอยู่ได้อะไร มันก็อยู่ได้โดยรูป

โดยเศษที่อริยมรรคไม่ทำลาย อริยผลยังมีอยู่ ผลมันยังมีอยู่

ผลเศษที่มีอยู่ เหมือนกับหลวงปู่ฝั้นมรณภาพแล้ว แต่เสียงของท่าน

ยังอยู่ยังจะฟังได้อยู่ แต่หากว่าอันนี้มันไม่ใช่อยู่ยั่งยืน มันก็

ประกอบกันอยู่ชั่วคราว เมื่อนานไปๆ มันก็หมดด้วยกัน อันนี้รูปก็ยัง

เหลืออยู่ประกอบอยู่ แล้วจึงมารู้ว่าพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงตรัสว่า

ถ้าหากว่าเจริญอิทธิบาท 4 แล้ว ทำให้สมบูรณ์แล้ว จะอยู่ทั้งกัปป์ก็ได้

เราก็มารู้อันนี้แหละ เพราะอิทธิบาท 4 ที่พระองค์เจริญแล้ว เจริญ

ตั้งแต่บำเพ็ญบารมีนั่นเอง ไม่ใช่มาเจริญทีหลัง อิทธิบาท 4 นี้

แต่เมื่ออริยมรรคมาประหารแล้ว อริยผลเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นจาก

มรรคตัวนั้น มันรักษาไว้ด้วยอกุศล ด้วยกิเลส มันอยู่ด้วยรูปธรรม

แต่มีผลที่ปรากฏขึ้นมาไม่ใช่เกี่ยวเนื่องด้วยจิต เมื่อหมดเหตุปัจจัย

อันนี้แล้วมันก็ดับไปตามกันในระยะหนึ่ง เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ก็ดี

นี่ก็ดี ท่านอยู่ได้ระยะหนึ่งๆ ไป ค่อยๆ หมดไปๆ แต่มันปรากฏว่า

เมื่อมันดับแล้ว สภาวธรรมที่ไม่ใช่ว่าดับสูญนะ มันไม่ได้ว่าดับสูญ

ก็ไม่ได้ว่ามิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิอันนั้นก็ถูกทำลายหมดแล้ว มรรคมัน

ทำลายหมด มันไม่ได้เลย ที่นี่คำว่าดับ มันไม่ได้ว่ามันทำลายสูญแล้ว

มันก็ไม่ปรากฏอันนั้นอีก แม้แต่สีแสงอะไรก็ไม่ปรากฏ เหลือแต่ดับ

ดับตัวนี้ไม่มีวันที่จะกลับคืนมาอีก เพราะมันไม่มีเชื้ออะไรที่จะนี่ได้

แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเสียเลย แต่ตอนนี้เราอยู่ได้เฉพาะวันๆ ไม่ได้

หมายว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อดีตเป็นอย่างไร อะไรมันจะเป็น

อย่างไร มันอยู่มันจะอยู่ได้ยังไง มันจะเกิดจะดับยังไง มันไม่ได้

กำหนดอะไรมาก นี่มันแปลก พอมันปรากฏว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้แล้ว

มันตัดหมดแล้ว ทีนี้คนก็สงสัยว่าหมดแล้ว ก็ยังพูดอย่างนี้อยู่

ความรู้สึกอันนี้ เรื่องกัปป์ที่มันตัดนั่นมันเป็นส่วนเหตุ ส่วนผลที่

ยังเหลืออยู่ มันปรากฏก็เหมือนกับเครื่องที่มันยังเหลืออยู่ที่ยังไม่หมด

นั่นเองที่ปัจจัยมันยังเหลืออยู่ มันปรากฏตั้งแต่มีลมหายใจแล้วก็….

แต่มันรู้อยู่ แต่มันจะพูดไม่ออกนี้ แต่บางทีอาจจะหมดกาลนี้

มีกำลังขึ้นมาก็อาจจะพูดได้ก็ได้สิ่งเหล่านี้ ตอนนี้มันพูดอะไร

ไม่ค่อยได้เลย แบบเหมือนกับคราวก่อนมันอยู่ทั้งเดือนแล้วก็ยัง

พูดอะไรไม่ได้ จนนานจึงค่อยคืนกลับขึ้นมา แต่มันรู้อยู่ อันนี้แหละ

ที่แปลก แปลกที่ว่ามรรคที่ประหารนั้นน่ะ ไม่เคย ไม่ถาม ไม่ศึกษา

ไม่มีอะไรเลยคล้ายกับมันไม่ให้เอาอะไรเหลือเลย แม้แต่จิตเหลือมันก็

จะเกิดอุทธรณ์ ไม่งั้นคนจะว่ายังงั้นยังงี้ ไม่ได้เลย มันไปเลย

ที่มารู้จากผลที่มันยังเหลืออยู่นี้เอง แต่ตอนนี้เราพูดยังไม่เต็มปาก

เพราะฉะนั้นที่พูดนี้ไม่ใช่ว่าเราคิดมาพูด เพราะสิ่งที่ปรากฏถึงตัวนั้น

พูดให้หมู่เพื่อนฟังก็อยากให้หมู่เพื่อนใครคนใดประสบเหตุการณ์

อย่างไร ขอให้บอกหรือให้เล่าให้ฟังเพื่อจะได้เป็นพยานขึ้นมา หรือ

ถ้าหากว่าหมู่พวกทุกองค์เร่งทำความเพียรไม่เหลวไหล และ

ศาสนธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า เฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา

ต้องพ้นทุกข์แน่นอน ขอให้พวกเราพยายาม รู้แน่นอน แต่ไม่ใช่ว่ารู้

โดยคิด โดยนึก โดยตรอง ที่เราก็เคยคิด เคยนึก เคยตรองมาแล้ว

บางทีก็คิด เอ๊ เราสำเร็จอรหันต์แล้วอย่างโน้นอย่างนี้ หรือกิเลส

ยังเหลือบ้าง มันก็เคยติด แต่เวลามันจริงๆ มันไม่ใช่ความคิด

มรรคแต่ละครั้งๆ มันเป็นผลพลังของธรรมะที่เราได้ฝึกฝนอบรม

มาประชุมกัน เหมือนเขาสะสมระเบิดอย่างนั้นน่ะ สะสมต่างๆ พอมา

รวมกันแล้ว พอได้ชนวนแล้วก็ระเบิดครั้งหนึ่ง มรรคไม่ใช่ว่า….

เท่าที่เราเป็นสาวกหรือรู้ตามพระพุทธเจ้า มีแต่ทำลาย มันรู้แต่ทำลาย

ไม่ใช่ว่ามันเจริญ มันได้อะไร ส่วนผลก็ค่อยกำหนด ค่อยดูว่า

ผลในระยะนั้น เรื่องสุขเรื่องทุกข์มันไม่ได้พูดถึง ดีชั่วมันก็ไม่มี

ไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมายอะไรในนั้นเลย



เพราะฉะนั้นอยากให้หมู่พวกทั้งหลายที่ได้บวชมาแล้วน่ะ

ต้องเร่งความเพียร ไม่ต้องทำอะไรที่ไหนล่ะ ดูกายกับจิตนี้ ผมก็ทำ

ตามแบบครูบาอาจารย์สอนนี้เอง แต่ความที่เราพูดเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรา

เป็นผู้รู้คนเดียวนะ มันยังรู้ว่า ครูบาอาจารย์ของเราก็พ้นทุกข์ไป

มากแล้ว มันเชื่อนะ หลวงปู่ฝั้นนี่ท่านพ้นแล้วนะ มันเชื่อนะ เราโง่

เราไม่รู้ ครูบาอาจารย์ของเรานี่ ผู้ปฏิบัติจริงๆ เหมือนหลวงปู่ขาว

ยังงี้ ถึงท่านไม่พูดนี่ ไม่จำเป็นจะต้องพูดไม่จำเป็นจะต้องอวด

มันหมดสิ้นสุดในกิจ มันรู้บอกในขณะนั้นว่า กิจที่จะต้องทำอีก

เสร็จสิ้นแล้ว เครื่องมืออะไรไม่จำเป็นแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

คล้ายๆ กับเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องวิชชาวิมุตติที่เราเรียน

เราท่อง เราจำ เราอวดนักอวดหนาเหล่านี้ละ ไม่ต้องนำมาใช้แล้ว

มันเป็นอย่างนั้น แทนที่จะไปได้ความรู้ขึ้นสูง โวหารขึ้นสูง มันกลับ

ทำลายเลยเดี๋ยวนี้ ทำลายหมดเกลี้ยงไปเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย

เศษแม้แต่นิดเดียวไม่มีเศษเหลืออะไรเลยในขณะนั้น มันจึงดับ

เพราะฉะนั้นใครได้อุบายอย่างไร ช่วยบอกด้วย เพื่อจะได้เป็น

พยานกัน ไม่ใช่ว่าสงสัยแล้ว ไม่ใช่ว่าอันนั้นมันดับอยู่แล้ว ถ้ามีผู้ใด

มาอีกนี่เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอพระองค์ได้

ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ตรัสว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ทีนี้พอพระองค์

สอนอัญญาโกณฑัญญะก็ได้บรรลุธรรม แน่ะ มันเป็นพยานแล้วทีนี้

เออ มันแน่ คนอื่นก็รู้ตรงกัน เหมือนๆ กันไปเลย เพราะฉะนั้น

พวกเราตั้งใจปฏิบัติ ใครจะสงสัยอะไรก็รีบชำระ เรื่องศีล เรื่องอะไร

ก็รีบชำระรีบปฏิบัติให้มันเห็นตรง อุชุปฏิปันโนจริงๆ อย่าทำ

เหลาะแหละเหลวไหลโลเล

ผมเองรู้สึกตัวเองว่า นิสัยถึงแม้ว่าจะอย่างไรก็ตาม

การพิจารณาธรรม อุบายต่างๆ ที่อยู่ภายในมันมีตลอดเวลา แม้แต่

เดิน แม้แต่ฉัน แม้แต่อยู่ในหมู่ชุมชนที่ไหน ยิ่งพลิกแพลง ส่วนท้ายๆ

นี่มันไปกำหนดอนัตตามากทีเดียว เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

นี่จนมัน…. เวลามันรู้น่ะมันไม่ใช่เราไปปรุงไปแต่ง มันตัดสินชี้ออก

บอกเลย เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมกับจิตที่มันจะตัดสินชี้บอก

แต่สุดท้ายมันเสร็จกิจหมดแล้ว มันไม่ต้องทำ ไม่ต้องใช้เครื่องมือแล้ว

มันประหารเลยทีนี้ แม้แต่จิตมันก็ประหาร เพราะจิตมันใช้สำหรับคิดนึก

มันไม่ต้องใช้อะไรแล้ว มันก็ไม่จำเป็นต้องมี อันนี้แหละที่ครูบาอาจารย์

หรือบางทีอาจจะภูมิที่สร้างบารมีไม่หนักแน่นเหมือนกัน ผมเอง

สังเกตดูแล้วคล้ายว่าเอาให้พ้นทุกข์อย่างเดียว ไม่มีอะไรมากที่เราทำมา

เพราะฉะนั้นฤทธิ์เดชอะไร มีอานุภาพอะไร อยู่เงียบๆ ไป แล้วแต่

มันจะเกิด เหมือนกับครูบาอาจารย์บางองค์ ท่านไม่พูด ไม่สอน

อยู่อย่างไรก็ได้ อะไรก็ได้ แล้วท่านก็มรณภาพไป มีหลายองค์ส่วนมาก

ที่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลาย ถ้าหากว่าพอจะมีบุญวาสนา

มีศรัทธามีอยู่ในจิตเป็นกองทุนแล้ว ก็พยายามสร้างศรัทธาพร้อมกับ

วิริยะ ความพากเพียร สติปัญญาขึ้นมา คู่นี้แหละที่ปฏิบัติ ผมจะอยู่

อเมริกาก็ตาม อยู่ที่ไหนก็ตาม ธรรมะเท่านี้แหละ พลังนี้แหละ เป็นตัว

สำคัญ มันรวมในมรรค มันอยู่ด้วยกัน จะว่ามรรคก็ได้ จะว่าพลังก็ได้

ธรรมะที่เด่นๆ ที่จะเอาชนะกิเลสได้นี่ ศรัทธา วิริยะ ตลอดทั้งสติ

สมาธิ ปัญญา นี่ มันตัวธรรมที่สำคัญมาก ไม่ต้องเอาอันอื่น เวลาสงบ

ก็สงบ ถ้าต้องการสบายก็พิจารณาทั้งกลางวันกลางคืน ยืน เดิน นั่ง

นอน บางครั้งกำลังฉันนี่ มันไม่ได้อยู่ในฉันแล้ว มันไปอยู่ในธรรมะ

ส่วนใหญ่ ทำข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ยิ่งปัดกวาดนี้มันก็เกิดธรรมะ

สลดสังเวช หรือข้อวัตรต่างๆ นี้ มันเกิดอยู่ประจำ ถ้าเราทำชอบแล้ว

จิตมันตั้งชอบแล้ว มันก็น้อมไปในเรื่องที่ชอบไปทั้งนั้น ผมไปอยู่

อเมริกา เพราะฉะนั้นคราวนี้ที่มันไปรู้ ไปรู้อยู่โน้น จึงได้เป็นพยาน

ยืนยัน อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ไม่สงสัย ขอให้จิตเราอย่างเดียวเท่านั้น ทีนี้

พอตอนนี้มันถอน ก็ไม่ใช่นอน ไม่ใช่นั่ง กำลังเดินจะถึงกุฏิ คือ

จุดปัญญามันจะพอของมัน พอมันปรากฏของมัน มันอยู่ตรงไหน

ก็ได้ กลางวันก็ได้ กลางคืนก็ได้ แต่พลังในส่วนนั้นที่มันปรากฏขึ้น

เรื่อยๆ มา มันก็มีอยู่เหมือนกัน แต่เราก็ไม่ได้จดจำไว้ ตั้งแต่เริ่ม

ปฏิบัติมันก็มีอยู่เหมือนกัน ทีนี้กิเลสที่มันต่อสู้มันก็มีไม่ย่อยเหมือนกัน

เหมือนคู่แข่งกัน เพราะฉะนั้นคราวนี้จึงได้เห็นว่า เมื่อกิเลสดับแล้ว

ธรรมะก็ดับไปด้วยกัน เครื่องมือก็ดับ มันดับคู่กัน มรรคก็ทำลาย

ด้วยกัน สมุทัย ทุกข์ นิโรธ มันดับไปด้วยกัน เพราะมันหมดกิจแล้วนี่

ไม่ต้องใช้แล้วนี่ มันปรากฏไปอย่างนั้นแหละ จึงว่าแม้แต่มรรคแม้แต่

จิต มันก็ไม่ได้ใช้แล้วนี่ มันไม่เคยปรากฏอย่างนี้มาก่อน แต่มันปรากฏ

ออกมาอย่างนี้ก็ไม่ทราบว่าจะว่ายังไง เหมือนกับไม่ใช่เถียง

ครูบาอาจารย์ แต่พูดตามที่มันปรากฏมาว่านี่แหละ เราก็เชื่อว่า

มันเป็นด้วยที่สร้างบารมีมาแต่ก่อนมันจะขาด ตอนนี้ไม่ว่าพระพุทธเจ้า

พระอริยเจ้า ก่อนจะตรัสรู้ ที่จะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์มากน้อยเท่าไร

ก็ตรงนั้นแหละ แต่เวลาถึงประหารไปแล้วมันไม่มีสีแสง ไม่มีอะไร

กว่านั้น เป็นพระพุทธเจ้านั้น เป็นสาวกนั้นเป็นอะไร ไม่มีแล้ว มันเป็น

ธรรมธาตุ ธรรมฐิติ เพราะมันไม่มีสีแสงที่กำหนดที่อะไร แต่มันมีอยู่

มันไม่ปฏิเสธ มันเป็นอันเดียว ไม่ทราบว่าจะเอาอันอื่นมาเทียบไม่ได้

ไม่มีอะไรที่จะเปรียบ ไม่มีอะไรจะเทียบ ก็ไม่มีอะไรที่จะบัญญัติด้วย

ไม่ใช่ว่าบัญญัติว่าไง

ได้โอกาสดีแล้ว ทุกองค์อยู่ที่ไหนก็ขอร้องพวกเราทุกๆ

คน ให้เร่งทำความเพียรอย่าไปยุ่งกับญาติโยมมากนัก อย่าไปยุ่ง

กับอย่างอื่น พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ของเราท่านได้กำลังมา

ได้สอนพวกเรามาไม่ได้ไปยุ่งกับโยมชาวบ้านมากนะ ท่านเด็ดเดี่ยว

เมื่อท่านทำกิจ กำลังท่านพอแล้ว ท่านจึงมาทำที่เราเห็นภายหลัง

ที่ท่านได้ฉันดี นอนดี อยู่ดี อันนี้มันเป็นเรื่องเปลือก ไม่ใช่เรื่องแก่น

ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องสนใจ สนใจแต่ทำความพากเพียรทั้งกลางวัน

กลางคืน เฉพาะในจิตในใจโดยเฉพาะ มันไม่ใช่มากนะอันเรื่องที่จะ

พ้นทุกข์นี่ ดูเหมือนมันเฉพาะๆ พอเรารู้ตามพระองค์แล้ว ไม่ใช่ว่า

เราจะต้องไปเห็นตาม รู้ตาม กำหนดตาม แล้วมันก็ดับไปตาม

ปรากฏในจิตในใจ ที่มันมีธรรมะอยู่ในตัวของมันเอง มันชัดอยู่

ในตัวของมันเอง เพราะฉะนั้นบางองค์ที่ท่านรู้ท่านรู้จริง แต่บางองค์

ที่ท่านไม่บัญญัติมาพูด ไม่ได้ตั้งมาพูด มันรู้เลย อย่างหลวงปู่ขาว

หลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่พูด นึกว่าท่านไม่พ้น ไม่ใช่นะ

ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้อะไร บางคนไปเห็นนึกว่าท่านไม่เทศน์ ไม่สอน นึกว่า

ท่านไม่เก่งเหมือนตัวเอง บาปกินไม่รู้ตัว

ไม่มีอะไรจะพูดแล้วในเวลานี้ เพราะมันไม่ได้อะไรเลย

เพราะมันปรากฏแต่เท่านั้น เพราะมันทำลาย ไม่ใช่เรื่องได้นี่นะ

ที่ปรากฏนี้มันเรื่องทำลายหมด ไม่มีอะไรที่จะเหลือเลย จะเอาอะไร

มาพูด ถ้าพูดก็พูดแต่ของเก่าที่เคยจำมาแล้วเท่านั้นแหละ ถ้าพูดขึ้นมา

ก็ของเก่า ที่นี้ถ้าหมดขันธ์อันนี้แล้ว ก็ไม่มีของเก่าที่เหลืออยู่ ไม่มี

อะไรอีก อายตนะที่เกี่ยวเนื่องด้วยธาตุนี่มันก็มีอยู่ ที่จริงอยู่ที่

อเมริกานี่ ถ้าไม่ได้อยู่โน่น ก็อาจจะไม่ได้ทำความเพียรต่อเนื่องกัน

ถึงตอนนี้หรอก แต่อยู่นี่สังเกตดูแล้ว ตอนหลังๆ นี่ ไม่ค่อยได้

ต่อเนื่องกันเหมือนไปอยู่อเมริกา ได้ทำประจำ ทางจงกรมกับกุฏิก็

อยู่ใกล้กันได้ทำตลอด อากาศก็ดี มันก็สัปปายะอันหนึ่ง แต่สำคัญว่า

จิตของเราอย่าไปหลงความเจริญของบ้านเมืองของเขา ถ้าไปเอา

อันนั้นมานี้แล้วเสร็จ ธรรมะหายไปหมดเลย แต่จิตใจของคนมัน

ไม่อัศจรรย์เลย แม้แต่เขาจะวิเศษยังไง มันไม่อัศจรรย์เลย อัศจรรย์

แต่พระพุทธเจ้า ธรรมคือพระองค์ สามารถที่จะพ้นทุกข์

ความสุขจนขนาดเทวดานี่ พระองค์ยังเห็นโทษ ขนาดที่นั่งฌานสงบ

ที่เรานั่งสงบมีความสุข พอใจในความสุขอันนั้น แต่พระองค์ก็ยัง

เห็นโทษไม่ติด ขนาดทำลายรูป มีแต่อากาศ มีแต่วิญญาณ แต่

พระองค์ก็ยังเห็นทุกข์เห็นโทษจนพ้นได้ อันนี้มันอัศจรรย์ ปัญญาเรานะ

มันไปไม่ได้นะ เราต้องอาศัยพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ

มันต้องยึดหลักพระองค์แล้วก็เร่งทำความเพียร เพราะทำแล้ว

จะต้องรู้ นอกจากพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ที่เราใกล้ชิตที่เห็น

ปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันผมก็ยึดหลวงปู่บ้านตาด

เพราะนิสัยชอบท่านมาก การพิจารณาการพลิกแพลงอะไรต่างๆ

นิสัยเราชอบหลวงปู่บ้านตาด กับหลวงปู่ฝั้นก็เหมือนกันนะ แต่ผม

เสียอันหนึ่งที่มันไม่อดทนในญาติในโยมเหมือนกับท่านเท่านั้นแหละ

แต่เรื่องพลิกแพลงสติปัญญาที่ท่านแนะนำมาน่ะผมชอบ

ใครสงสัยอะไรถามก็ได้บางทีตอบให้ได้ ถ้าตอบไม่ได้

ก็แล้วไป บางทีก็คิดไม่ออก แต่หลวงปู่มั่นท่านท้าทายนะ เอ้าสงสัย

ตรงไหนถามมา ท่านก็พูดเผงๆ ตรงๆ ไปเลย หลวงปู่มั่นน่ะ

ไม่เป็นผมตอบอะไรไม่ได้ มีแต่ทำลาย เอ๊ะทำไมมันเป็นอย่างนี้ของเรา

มีแต่ทำลาย ส่วนที่จะไปมีทิฐิมานะว่าตัวเองฉลาด ตัวเองรู้ เทศน์เก่ง

สอนเก่ง อย่างนี้ มันไม่เป็นยังงั้น มีแต่ทำลายเป็นระยะๆ มาจนสุดท้าย

ทำลายหมด แต่คราวนั้นทำลายแต่เพียงเวทนากับสัญญาขันธ์

สองอย่างเท่านั้นเอง สามอย่างมันยังไม่ปรากฏมันไม่ได้บอก พอ

คราวนี้มันไม่มีเหลือเลย มันบอกถึงความบริสุทธิ์แล้วก็หมดกิจ

ตลอดถึงโลกทั้งสามเลย มันทำลายหมดแล้วนี่ มันบอกหมด ไม่มีอะไร

เหลือเศษ แม้คำว่าเศษเหลือนิดเดียวก็ไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่จิต

กับมรรคอรหัตตมรรคผู้ทำลายนี่ มันทำลายไปด้วยกัน เพราะไม่มีกิจ

จำเป็นจะต้องมีไว้แล้ว



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 16 ม.ค. 2006, 9:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประวัติย่อหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=dhammajak&No=2031



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง