Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
กรรมพยากรณ์ โดย ดังตฤณ (หมอเอินตอบคำถาม "คนมาจากไหน&quo
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
sittirat
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 15 ก.ย. 2005, 5:33 pm
กรรมพยากรณ์ โดย ดังตฤณ (หมอเอินตอบคำถาม "คนมาจากไหน")
เลื่อนดูกระทู้ล่าสุด ชื่อของข้อกระทู้คือคำถามว่า คนมาจากไหน? เมื่อคลิกเข้าไปอ่านก็เป็นไปตามคาด สาวเจ้าของกระทู้ซึ่งใช้ชื่อว่า โบเอ้ เหมือนใครต่อใครที่เริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับความตาย คือสงสัยว่าโลกจะขนเอาคนที่ไหนมาเกิด ในเมื่อสมัยก่อนมีอยู่หยิบมือเดียว แต่ปัจจุบันซัดเข้าไปหกพันล้านอย่างนี้
ผู้ที่ตอบเป็นคนแรกใช้ชื่อว่า หมอวันทา ซึ่งจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากมาวันทานั่นเอง หล่อนตั้งนามแฝงโดยใช้คำแรกว่า หมอ เพื่อบอกเป็นนัยถึงคุณวุฒิที่ประกันความน่าเชื่อถือของข้อมูล ซึ่งหากติดตามมาระยะหนึ่งสมาชิกเว็บทุกคนคงพอทราบได้ว่าหล่อนเป็นหมอจริงๆ ส่วนชื่อ วันทา ดึงจากส่วนหนึ่งของชื่อจริง บ่งบอกว่าไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนทั้งหมด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ปิดบังมิดชิดนัก หากเพื่อนหมอหรือพยาบาลที่ไหนผ่านมาพบเว็บไซต์นี้เข้า ก็อาจสงสัยและไปถามว่าใช่หล่อนหรือเปล่าได้
ต่อไปคือข้อความที่มาวันทาตอบกระทู้
พวกเรามักถูกหลอกด้วยตัวเลขจำนวนประชากร เช่นอย่างที่ทราบกันว่าก่อนขึ้น ค.ศ. ๒๐๐๐ มีพลโลกทั้งสิ้น ๖,๐๐๐ ล้านคน เราก็จำไว้โดยอัตโนมัติว่ามีมนุษย์จำนวนเท่านั้นดำรงชีวิตอยู่ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ความเป็นจริงคือโลกนี้คือการยักย้ายถ่ายเทระหว่างคนเป็นกับคนตาย หากใครคิดประดิษฐ์กล้องส่องดูความเกิดความตายอยู่นอกโลกได้ จะเห็นมีคนเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดถึงวินาทีละสาม แต่ขณะเดียวกันวินาทีนั้นจะมีคนตายแลกเปลี่ยนกันสองด้วย
ตายวินาทีละสอง หมายความว่าวันละแสนเจ็ด ซึ่งฟังดูเหมือนมาก แต่ด้วยจำนวนพลโลกกว่าหกพันล้านคนในเวลานี้ คุณจะต้องรู้จักคนราวครึ่งตำบลถึงจะได้ข่าวการตายรายวันทีละคน
คำนวณกันไว้ว่าตั้งแต่ต้นตระกูลมนุษย์อุบัติมาจนถึงทุกวันนี้ น่ามีผู้ได้เหยียบโลกรวมแล้วไม่ต่ำกว่าแสนล้านคน เพราะฉะนั้นถ้าเชื่อว่ามนุษย์ตายแล้วจะต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็อย่าได้แปลกใจอะไรเลย หกพันล้านยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำสำหรับการเวียนว่ายอยู่ในโลกใบเก่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา
แต่ข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์อย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เพราะตามหลักความเชื่อทางศาสนาพุทธนั้น มนุษย์ไม่ได้มาจากอดีตที่เคยเป็นมนุษย์เสมอไป แต่อาจมาจากสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เทวดา และพรหม โดยโลกนี้เป็นเพียงจุดศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนระหว่างภพด้านล่างกับภพด้านบน เป็นจุดตั้งหลักตัดสินว่าวิญญาณใดจะไปครองอัตภาพแบบไหนในอนาคตเบื้องหน้า
สำหรับภพภูมิอื่นที่ลี้ลับเช่นนรกสวรรค์นั้นขอยกไว้ เอาเฉพาะที่พวกเราสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็แล้วกัน คือสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าจำนวนประชากรสัตว์มีอยู่เท่าใด เอาสัตว์ใหญ่เฉพาะวัวควาย หมู และแกะ ที่ผ่านโรงฆ่าสัตว์มาเป็นอาหารของมนุษย์นั้น หนึ่งปีรวมแล้วเกิน ๑,๖๐๐ ล้านตัว ส่วนสัตว์เล็กที่ฆ่ากันได้สะดวก ไม่ต้องผ่านโรงฆ่าสัตว์อย่างเช่นไก่นั้น ยอดต่อปีเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดตกราวปีละ ๑๘,๐๐๐ ล้านตัว สัตว์เพียง ๕ ชนิดที่เป็นอาหารประจำของมนุษย์เหล่านี้ ก็เกินจำนวนพลโลกในปัจจุบันแล้ว อย่าลืมว่าตัวเลขข้างต้นนี้ยังไม่ได้นับพวกที่มีชีวิตโดยไม่ผ่านโรงฆ่าสัตว์นะคะ
สัตว์ยิ่งเล็กลงมาเท่าไหร่ก็ยิ่งมีปริมาณมากขึ้นเท่านั้น ประมาณว่าปลาทั้งมหาสมุทรมีอยู่ไม่ต่ำกว่า ๓.๗ ล้านล้านตัว ขนาดปลายังขึ้นหลักล้านล้าน ก็ขอให้ลองคิดเล่นๆว่าสัตว์เล็กกว่านั้นอย่างเช่นหนอน มด ปลวกที่บ้านหลังเดียวมีไม่ทราบกี่แสน รวมทั้งโลกจะยิ่งเป็นจำนวนอนันต์เกินจินตนาการปานใด เพราะฉะนั้นถ้าพูดแค่ตัวเลขของสรรพชีวิตแบบดิบๆ ไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้ว่าสัตว์ใดบ้างที่มีสิทธิ์มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่น่าสงสัยเลยค่ะว่าทำไมคนถึงล้นโลกได้อย่างทุกวันนี้ หากกล่าวเฉพาะ
xxx
ส่วนจำนวนประชากร เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เปรียบเสมือนชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งในโลกใบมหึมานี้เท่านั้น
หากเชื่อว่าสัตว์มีแดนเกิดอันเหมาะสมกับกรรม ความหลากหลายของกรรมมีแค่ไหน ขอให้ลองดูจากความจริงที่โลกใบนี้ใบเดียวรองรับสิ่งมีชีวิตไว้ถึงประมาณ ๑๐ ล้านสายพันธุ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือโลกนี้ยินดีต้อนรับจำพวกกรรมหลักๆ ๑๐ ล้านประเภท และแต่ละสายพันธุ์ก็ไม่ได้ถูกกำหนดให้อยู่คู่โลกไปจนชั่วฟ้าดินดับ คือต่างก็กำลังทยอยสูญพันธุ์ไปเรื่อยๆทั้งสิ้น
ถ้ามองจากภาพใหญ่ ก็จะเห็นว่าการแปรพันธุ์เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง แต่หากมองตามนัยของกรรม ก็อาจกล่าวว่าหมดวิญญาณที่ต้องเสวยวิบากกรรมในจำพวกนั้นๆแล้ว และต้องเร่ร่อนไปใช้กรรมรูปแบบอื่น ซึ่งอาจตกต่ำลงหรือสูงส่งขึ้น ถ้าคำนวณแค่อย่างหยาบที่สุดก็จะเห็นว่าขอเพียงสัตว์มีใจสูงขึ้นพอจะแปรพันธุ์เป็นมนุษย์ได้สักหนึ่งในล้านจากพวกของมันเอง รวมหนึ่งในล้านจากทุกเผ่าพันธุ์ทั้งห
xxx
็ต้องเกินจำนวนพลโลกขณะนี้ไปมากแล้ว
อีกอย่างขอให้สังเกตด้วยนะคะ โลกนี้ยินดีต้อนรับมนุษย์ในจำนวนจำกัด การบริโภคทรัพยากรของพวกเราบ่งบอกได้ดี คือเมื่อไหร่พลโลกขึ้นหลักหมื่นล้าน เมื่อนั้นทรัพยากรธรรมชาติจะไม่เพียงพอทันที ซึ่งก็คำนวณกันว่าอีกแค่ไม่กี่สิบปีข้างหน้านี่แหละ สิทธิ์ของการเกิดเป็นมนุษย์อาจลดลงฮวบฮาบ ขณะที่การด่วนตายจากอาจเพิ่มขึ้นพรวดพราดน่าตกใจ!
ยายโบเอ้คงติดใจคำตอบของมาวันทา เมื่ออมฤตเลื่อนลงมาดูข้างล่างจึงเห็นโบเอ้ถามต่ออีก
แล้วทำอย่างไรสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตในภพภูมิอื่นถึงมีสิทธิ์มาเกิดเป็นมนุษย์คะ?
หลังคำถามของโบเอ้ มีคนมาตอบแบบไร้สาระสองสามข้อ เช่น คงเป็นพวกสุนัขที่เริ่มล้างก้นตัวเองเป็น หรือ น่าจะเป็นพวกลิงที่เริ่มมักใหญ่ใฝ่สูงมากกว่า ก่อนจะถึงคำตอบอันสุขุมของมาวันทา
สิทธิ์การเกิดในภพภูมิไหนๆอยู่ที่ระดับของจิต จิตคิดก่อกรรมใดเป็นประจำ ก็จะมีภพภูมิมารองรับอย่างเหมาะสมเสมอ เป็นมนุษย์ต้องมีบุญสั่งสมไว้พอควร อย่างน้อยพื้นจิตพื้นใจต้องมีความละอายต่อบาปบ้าง นี่คือคำตอบว่าทำไมมนุษย์ทุกคนจึงมีมโนธรรมติดตัวมาแต่กำเนิด แม้กระทำเรื่องที่ดูชั่วช้าสามานย์สักปานใด วันหนึ่งเขาก็มีสิทธิ์สำนึกและกลับตัวกลับใจได้
สำหรับสัตว์ที่มีสิทธิ์เลื่อนชั้นมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น อาจจะเป็นหมาแมวตามบ้านคนใจบุญหรือตามวัดวาอารามที่มีพระผู้ทรงศีลพำนัก หากใกล้ชิดกับกระแสของคนมีเมตตา เลี้ยงดูไม่ให้พวกมันต้องฆ่าสัตว์กินเอง พอรับกระแสความดีของมนุษย์มากเข้าก็เกิดสำนึกในทางละอายบาปประการต่างๆได้เหมือนกัน ตอนตายมีสิทธิ์เกิดมโนภาพอันเป็นกุศล จุดชนวนให้เลื่อนสู่ภพที่สูงขึ้น
นอกจากนั้นสัตว์กินหญ้าพวกวัวควาย บางทีเขาแค่พักอยู่ในอัตภาพที่ต้องใช้เวรใช้กรรม เช่นอาจเคยเป็นพระที่เอาแต่นั่งๆนอนๆฉันข้าวชาวบ้านโดยไม่ทำกิจอันควร ก็ต้องมาเกิดเพื่อให้ชาวบ้านฆ่าเอาเนื้อหนังไปกินบ้าง พอพ้นจากภาวะจองจำของสัตว์เดรัจฉาน ก็อาจกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งด้วยบุญเก่าเมื่อครั้งบวชเรียนนั่นเอง
สาวน้อยโบเอ้เจ้าของกระทู้มาถามต่ออีก
น่ากลัวจัง อย่างนี้เป็นพระก็ไม่ดีสิคะ แค่ขี้เกียจก็มีสิทธิ์ไปเป็นวัวแล้ว คนทั่วไปมีนิสัยขี้เกียจ ไม่ค่อยรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองกันเป็นส่วนใหญ่นี่หน่า
มาวันทากลับมาตอบในเวลาไม่ช้านานนัก
ขอให้เข้าใจว่าที่กล่าวข้างต้นเป็นแค่การยกตัวอย่าง ไม่ใช่พระขี้เกียจจะต้องเกิดเป็นวัวเสมอไป บุญกรรมเป็นเรื่องซับซ้อนและมีความหลากหลายพอๆกับจินตนาการของมนุษย์เรา มนุษย์เรามีภาพแห่งความรู้สึกทางใจชนิดใดเกิดขึ้นได้ ตายแล้วก็อาจพุ่งเข้าไปสู่ภพแห่งภาพความเป็นเช่นนั้นได้หมด เพราะกรรมจากการคิด การพูด การทำนั่นเอง ที่ปรุงแต่งให้เกิดจินตนาการต่างๆขึ้น คล้ายกับที่เกิดสภาพปรุงแต่งให้เกิดภพชาติทั้งหลายขณะขาดใจตาย
การเป็นพระนั้น เพียงปลงผมบวชอย่างไม่รู้อะไรเลย ก็ได้ชื่อว่าสืบทอดพระพุทธศาสนา ถือเป็นบุญใหญ่มหาศาลแล้ว ยิ่งหากเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับหน้าที่ของการบวชอย่างแท้จริง เขาจะเป็นคนโชคดีที่สุดในโลก เพราะมีสิทธิ์ไปอยู่ในสภาพเหนือการเวียนว่ายตายเกิด เป็นสุขสงบ พ้นทุกข์พ้นร้อนทั้งปวง
อันที่จริงถึงแม้ไม่เป็นพระนิสัยขี้เกียจ มวลมนุษย์ส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มจะไหลลงต่ำอยู่แล้ว ขอให้สังเกตว่าในหมู่คนเรานั้น เวลาทำอะไรด้วยความเห็นแก่ได้ของตัวเอง มักจะอ้างว่าใครๆก็ทำกันฉันเลยต้องทำมั่ง ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะทั้งโลกเสพติดและหลงเมากิเลสกันงอมแงม ก่อกรรมรับใช้กิเลสกันอย่างมักง่ายไม่ละอายบาป เป็นเหตุผลอันสมควรว่าทำไมตายแล้วจึงไหลไปสู่ความเป็นสัตว์ปะปนกันมากมายเกินจะนับขนาดนั้น
โบเอ้กลับมาต่อคำถามแบบเด็กๆ
หู น่ากัวจังเยย อย่างโบเอ้เคยเกิดเป็นสัตว์หรือเปล่าคะ? แต่เจ้าหล่อนก็ตอบคำถามของตัวเองเสร็จสรรพ เคยหรือไม่เคยช่างมันเถอะเนอะ ทำยังไงจะไม่เป็นอีกดีกว่า
ถัดจากนั้นมีใครอีกคนที่ใช้ชื่อ เรืองเดช มาถามบ้าง
ถ้าโลกนี้เป็นแค่แหล่งเวียนเกิดเวียนตายของสิ่งมีชีวิตต่างๆ สลับสับเปลี่ยนจากความเป็นอย่างหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่นนั้นแล้วสาระการปรากฏและดำรงอยู่ของสรรพชีวิตคืออะไร แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าทำอะไรถึงคุ้มค่าที่สุด ดีที่สุดในชาตินี้?
มาวันทามาตอบว่า
คำตอบเกี่ยวกับชีวิตมีอยู่หลากหลาย แต่คำตอบใดจะ เข้าถึงใจ ของเราได้ก็ขึ้นอยู่กับพื้นเพความรู้สึกนึกคิดและความเชื่อของเราเองด้วย สำหรับดิฉัน ศักยภาพที่ดีที่สุดของความเป็นมนุษย์คือเราตั้งคำถามได้ เราหาคำตอบได้ และถ้าเรามีโจทย์ที่เข้าเป้าที่สุดแล้วล่ะก็ การเกิดมาครั้งนี้อาจนับว่ามีความหมายอย่างที่สุดในบรรดาภพชาติทั้งหมดของเราเช่นกัน
บุคคลที่ดิฉันเคารพนับถือและเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ได้แก่บุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว คือพระพุทธเจ้า ท่านตั้งมุมมองไว้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์ การประสบสิ่งไม่ชอบใจเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากคนรักเป็นทุกข์ เราหมุนเวียนเปลี่ยนรูปแบบการเผชิญทุกข์ไปต่างๆนานาอย่างไร้สาระแก่นสาร หากโจทย์ของเราเหมือนกับโจทย์ของพระพุทธองค์ คือทำอย่างไรจะพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด ไม่หวนกลับคืนมาสู่วังวนทุกข์อีก ก็อาจเป็นการตั้งคำถามที่ยิ่งใหญ่ และให้ผลสะเทือนอันประเสริฐสูงสุด
เว็บมาสเตอร์
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 19 มี.ค. 2005
ตอบ: 993
ตอบเมื่อ: 19 ก.ย. 2005, 9:06 am
บุคคลที่ดิฉันเคารพนับถือและเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ได้แก่บุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว คือพระพุทธเจ้า ท่านตั้งมุมมองไว้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์ การประสบสิ่งไม่ชอบใจเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากคนรักเป็นทุกข์ เราหมุนเวียนเปลี่ยนรูปแบบการเผชิญทุกข์ไปต่างๆนานาอย่างไร้สาระแก่นสาร หากโจทย์ของเราเหมือนกับโจทย์ของพระพุทธองค์ คือทำอย่างไรจะพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด ไม่หวนกลับคืนมาสู่วังวนทุกข์อีก ก็อาจเป็นการตั้งคำถามที่ยิ่งใหญ่ และให้ผลสะเทือนอันประเสริฐสูงสุด
......
โจทย์ของมนุษย์เหมือนกันหมดทุกคน ทุกคนรู้คำตอบด้วยเหตุจากพระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้แล้วอย่างชัดเจน แต่จะมีมนุษย์จำนวนสักกี่คน ที่ลงมือและหาคำตอบให้กับตนเองจนสิ้นสงสัย สาธุคุณsittirat ค่ะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th