Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ผู้ที่ถอดจิตแยกกายได้ออกไปได้มากมายปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
คัดลอกมาครับ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ค.2005, 2:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้ที่ถอดจิตแยกกายได้ออกไปได้มากมายปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่





บวชเนกขัมมะ



เคยบวชพราหมณ์เนกขัมมะมา 4 ปี.. บวชระยะช่วง ปีเก่าต่อปีใหม่ ปีนี้มีคนมาบวชน้อย มีจำนวน ชี 3 คน พราหมณ์หญิง 6 คน ชาย 1 คน รวม 10 คน พระ 2 องค์ มาเพิ่มอีก สร้างพระ 5 องค์ (หล่อพระพุทธรูปและพระอริยสงฆ์)



วันแรก ทำวัตรเย็น สดมนต์แปล เวลา 17.00 น. ถึง 19.00 น. พัก ต่อด้วยปฏิบัติพระกรรมฐาน นั่งสมาธิ เปิดเทปหลวงพ่อให้ฟัง



วันที่ 2 เช้า 4.00 น. ปฏิบัติทำวัตรเช้า สวดมนต์ ได้เคารพพระพุทธรูปอย่างจริงจัง พระพุทธ-เจ้ามีคุณอันประเสริฐ ได้พระเมตตากรุณาธิคุณต่อพวกเรา เคารพต่อพระธรรม คำสั่งสอน พระธรรมทำให้เราไม่ตกไปสู่โลกที่ชั่ว พระธรรมเป็นเครื่องทรงไว้ซึ่งประโยชน์สูงสุดอันเกษม แก่พวกข้าพเจ้า พระธรรมเป็นที่ระลึกองค์ที่สองด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้ แด่พระธรรม ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระธรรม สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี กรรมอันหน้าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วในพระธรรม ขอพระธรรม จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อการสำรวมระวังในพระธรรมในการต่อไป พระสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใดปฏิบัติตรงแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว สงฆ์สาวกหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้วได้แก่บุคคล 4 เหล่า 8 จำพวก คือ



พระโสดาบัน สถิทาคาทามี อนาคามี และอรหันต์ พระสงฆ์มีความประเสริฐ มี กายและ จิต อันอาศัยศีลเป็นต้นเป็นธรรมอันบวร พระสงฆ์นำคำสั่งสอนมาสู่ข้าพเจ้าพระสงฆ์เป็นเครื่องขจัดทุกข์ แลทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า พระสงฆ์เป็นที่ระลึกองค์ที่สามด้วยเศียรเกล้าสรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้ากรรมอันน่าติเตียนอันที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วในพระสงฆ์ขอพระสงฆ์จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น



อาหาร



อาหารอันใดที่ข้าพเจ้าไม่ได้พิจารณาในวันนี้ข้าพเจ้าไม่ได้บรีโภคให้เกิดกำลังทางกายไม่ได้บริโภคเพื่อตกแต่งสวยงามแต่บริโภคเพื่อระงับทุกขเวทเก่าและไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้นกับเพื่อความตั้งทรงอยู่ได้ซึ่งกายนี้เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติธรรมด้วย



จีวร เสื่อผ้าที่เราสวมใส่โดยที่เราไม่ทันพิจารณาในวันนี้เราสวมใส่เพื่อปิดบังอวัยวะเพื่อป้องกัน ยุง ลม แดดและสัตว์และเพื่อปิดบังความอาย



เสนา สนะ ใดที่เราอยู่โดยไม่ได้พิจารณาในวันนี้ เราอยู่เพื่อป้องกัน ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานและดินฟ้าอากาศและพื่อเป็นที่หลีกเร้นสำหรับภาวนา



ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์



ชราปิ ทุกขา ความแก่ป็นทุกข์



มรณัง ปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์



ความโศก ความคร่ำครวญ ความไม่สบายใจความคับแค้นใจเป็นทุกข์ พวกเราเป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้วเป็นผู้มีความทุกข์หยั่งเอาแล้วทำไฉนจะทำที่สุดแห่งความทุกข์นี้ได้ พวกข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามอยู่ซึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าตามสติ กำลังขอให้การปฏิบัติของพวกข้าพเจ้าจงถึงที่สุดแห่งกองทุกข์นี้เถิด



สาวกทั้งหมดพึงกำหนดรู้ว่าขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือ



รูปัง อนิจจัง รูปไม่เที่ยง



เวทนา อนิจจา เวทนาไม่เที่ยง



สัญญา อนิจจา สัญญาไม่เที่ยง



สังขารา อนิจจา สังขารไม่เที่ยง



วิญญาณัง อนิจจัง วิญญาณไม่เที่ยง



รูปัง อนัตตา รูปไม่ใช่ตัวตน



เวทนา อนัตตา เวทนาไม่ใช่ตัวตน



สัญญา อนัตตา สัญญาไม่ใช่ตัวตน



สังขารา อนัตตา สังขารไม่ใช่ตัวตน



วิญญาณัง อนัตตา วิญญาณไม่ใช่ตัวตน



สัพเพสังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง



สัพเพธรรมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน



พอวันที่ 2 ตอนเย็น ปฏิบัติพระกรรมฐาน ตรงกับวันอาทิตย์ ที่ 28 ธค. 46



1. จิตเป็นสมาธิ สามารถพิจารณาธรรมได้ชัดเจน แจ่มใส สามารถทำให้พระวิปัสสนาญาณ เกิด ทั้งอนุโลม ปฏิโลม เดินหน้า ถอยหลัง ได้อย่างรู้แจ้ง*ตลอด เกิดญาณ ความเกิดขึ้น และความดับไปของสังขาร



2. ความดับไป ของสังขาร ทุกอย่างดับไปหมด (ภัง คา นุ ปัสสนาญาณ) ทุกอย่างเคลื่อนไปหาความดับ



3. พิจารณา เจ็บ โทษของสังขาร การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป ต้องเวียนว่ายตายเกิด ในสังขาร



4. เห็นภัยของสังขาร สังขารเปรียบเหมือนมีถ่านหลุมเพลิงแดงใหญ่ หรือเปรียบเหมือนหอกที่ร้อยสังขารให้ด่าวดิ้น ต้องทนทุกข์ อย่างทรมาน หรือเหมือนมีดคมที่ แถ แล่ เนื้อ ต้องเจ็บปวดรวดร้าว มีแต่ภัย มีแต่โทษ



5. ปฏิจสมุปบาทปัจจัย การเกิดของสังขาร เพราะ อวิชชาเป็นปัจจัยทำให้เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิด วิญญาณ



เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย นามรูปจึงเกิด



เพราะนามรูป เป็นปัจจัยสฬายตนะจึงเกิด



เพราะสพายะตะนะ ผัสสะ จึงเกิด



เพราะผัสสะ เวทนา จึงเกิด



เพราะเวทนา ตัณหาจึงเกิด



เพราะตัณหา อุปาทานจึงเกิด



เพราะอุปาทาน ภพจึงเกิด



เพราะภพ ชาติจึงเกิด



เพราะชาติ ชรา มรณะ จึงเกิด



เพราะชรา มรณะ เป็นปัจจัย ความโคก ความคร่ำครวญ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ จึงเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้



6. พิจารณาถึงความ ดับไป



เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ



เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ



เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ



เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ



เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ



เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ



เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ



เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ



เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ



เพราะภพดับ ชาติจึงดับ



เพราะชาติดับ ชรามรณะจึงดับ



เพราะชรามรณะดับ ความโศกความคร่ำครวญ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจจึงดับไปด้วยประการ ฉะนี้



อวิชชา คือ ความไม่รู้ มี 2 อย่าง คือ ฉันทะ กับ ราคะ



ฉันทะ คือ ความพอใจในการเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือ เป็นพรหม



ราคะ คือ ความคิดว่าโลกมนุษย์สวย น่าอยู่ เทวโลกน่าอยู่ พรหมโลกน่าอยู่



ตราบใดมีสังขารอวิชชาก็ยังคงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏ สงสาร ทางเดียวที่จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ไม่ต้องทุกข์อีก ทางนั้น คือ จิต ปรารถนาว่า จะไปนิพพาน ตั้งใจอย่างแน่วแน่ ว่าจะไปนิพพานเป็นสัจจะปรมัตถบารมีอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า ข้าพเจ้าจะขอไปพระนิพพานเป็นอธิษฐานปรมัตถบารมี



7. นิพพิทาญาน คือ เบื่อหน่ายในสังขาร ไม่อยากมีสังขาร การเกิด มีขันธ์ 5 ขอให้มีในชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย ตายไปแล้ว จะไม่ขอมี ขันธ์5 จึงจะขอไปนิพานอย่างเดียว เพราะขันธ์ 5 มันเป็นปัจจัยของความทุกข์



8. สังขารุเปกขาญาณวางเฉยในสังขารมันจะแก่ มันจะป่วย มันจะไข้ เราก็วางเฉยรู้ว่าธรรมดามันเป็นของมัน ตระหนักรู้อยู่ว่ามันจะต้องแก่ มันจะต้องป่วยไข้ มันจะต้องตาย เมื่อสภาวะจากนั้นมันมาถึงจริงๆ เราก็ไม่ตกใจ คิดว่า รู้อยู่แล้ว ในที่สุดมันก็ถึงเวลาแล้ว ทรงอารมณ์ คิดไว้อย่างนี้ ไม่มีเศร้าโศก เสียใจ ไม่มีตกใจ มันอยากแก่ ก็เชิญแก่ มันอยากป่วย ก็เชิญป่วย มันอยากตาย ก็เชิญตาย ตายเมื่อไรก็ไปนิพพานเมื่อนั้น กายกับเราแยกจากันมันไม่ใช่เรา เราไม่ใช่มัน ถึง เวลาก็แยกจากกันเป็นอารมณ์ เราผู้ฝึกจิตมาดีแล้ว



8. พิจารณา อนุโลม ปฏิโลม ใน ญาน ทั้ง 8 พิจารณา,ถอยหลังพิจารณาไปหน้าเมื่อถึงจุดจะเข้าใจ จะรู้แจ้งในกองสังขารเป็นการตระหนักรู้ในทุกข์ ละเหตุแห่งทุกข์ ปรารถนาไปถึงความดับทุกข์ และดำเนินตามรอยพระพุทธองค์ คือ ทุกขนิโรธคามินิปฏีปทา



วันที่ 3 ตรงกับวันจัทร์ ตอนเช้า ทำวัตรเช้าตามปกติได้ฟังเทป ขณะทำกรรมฐาน ลองทำ อรูปณาน 4 วิธีการปฎิบัติถึงณาน 4 หลวงพ่อก็ได้บรรยายว่าได้ ค้นอ่านการบันทึกในสมุดบันทึกของพระสปฏิขันในท่านหนึ่ง เป็นตอนที่สำคัญมาก กล่าวคือ ท่านบันทึกไว้ว่า ท่านเข้าสมาธิ นิมิตเห็นพระพุทธองค์ พระองค์ทรงห่มจีวรเป็นสีเหลือง แล้วเห็นมองดูพระองค์ จนเห็นเป็นแก้วประกายพฤกษ์ พระองค์ท่านบอกว่านั่นแหล่ะ คือ ณาน 4 เรามาคิดได้ว่าเราก็เคยนิมิตเห็นพระองค์เช่นเดียวกัน เห็นเหมือนๆกัน ถ้าเป็นณาน 4 เราก็จะยึดเอาพระรูปของพระพุทธองค์ อย่างที่เรานิมิตเห็นอย่างนี้ ขั้นแรก เรียก อุคคหนิมิต พอกายของพระองค์เปลี่ยนไปเป็นแก้วประกรรมพฤกษ์ นั่นแหละ คือ ปฏิภาคนิมิต พอเป็นญาน 4 ก็สามารถเดินต่ออรูปณานได้สบาย



ทีนี้พอตอนเย็น ทำวัตรเย็นหลังจากนั้น คิดว่าจะลองเดิน เขาเรียกว่า ญานทิพย์ดู กล่าวคือ เจโตปริยญาน ยถากัมมุตาญาน อาสวักขยญาน บุพเพนิวาสานุสสติญาน จุตูปปาตญาน ฯลฯ ดังนั้น เริ่มเลย



เริ่มแรก สมทานพระกรรมฐาน เริ่มอานาปานสติ ฐานที่ 1 ปลายจมูก ฐานที่ 2 ในอก ฐานที่ 3 ศูนย์กลางกายเหนือสะดือ ตอนแรก กลั้นลมหายใจยาว พอคล่องดีแล้ว เป็นลมหายใจสั้น พอคล่องดีแล้ว กำหนดจุด จุดเดียวที่ปลายจมูก แล้วกำหนดจุดที่หว่างคิ้ว ระลึกถึง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นภาพของพระอค์ เสด็จมา เราก้มลงกราบที่พระบาทของพระองค์ 3 ครั้ง แล้วเพ่งจีวรของพระองค์ จากสีเหลืองจนเปลี่ยนเป็นประกายเป็นสายสีขาวหนาทึบ ดูภาพนั้นจะสบาย จิตเกิดปิติ สุข และเป็น เอกัคคตาแล้วถอนจิต จากณาน 4 มาหยุดที่ อุปจารสมาธิ แล้วกำหนดที่จุดกลางหว่างคิ้ว ว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะเห็นภาพอะไร ก็อธิฐานในใจ ขอภาพนั้นจงปรากฏ รอไประยะหนึ่ง ภาพจะปรากฏ ขอให้เชื่อ อย่าสงสัยอยากจะเห็นญานอะไรก็อธิฐานเอา ด้วยขั้นตอนที่ทำมานี้ใช้ได้กับทุกญาน



ตอนเย็น ลองกำหนดจิต ดูจิตของแมีชีมี่ปฏิบัติด้วยกัน เห็นจิตเป็นสีขาว แสดงว่าเป็นคนมีจิตใจเมตตา ลองพูดคุยกับแม่ชีดู ก็พบว่าใกล้เคียงกับความจริง เช่น เจโตปริยญาน ลองดู ยกากัมมุตาฐาน ลองดูภาพของพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว 28 ปี ดูว่า อยู่ที่ไหน ก็พบว่าเป็นภาพของสายน้ำและภูเขาแห่งหนึ่งเป็นธรรมชาติสวยงาม ภาพวิ่งไปเรื่อยๆ เหมือนบินไป ก็รู้ด้วยญานว่า พ่อยังไม่ได้ไปเกิด ยังเป็นสัมภเวสีล่องลอยไปเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ ตามป่าเขา ลำเนาไพร ก็จึงแผ่อุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อ โดยจนพลังจิต



วันที่ 4 ตรงกับ วันที่ 30 ธค. 46



เช้า ปฏิบัติ ทำวัตรเช้าเหมือนปกติ สวดมนต์คล่องขึ้น เข้าใจ ธรรมมะในบทสวดมนต์เพิ่มขึ้น ปฏิบัติตนได้คล่อง เป็นธรรมชาติมากขึ้น อยากจะรู้อะไรก็รู้ได้โดยวิปัสสนาญาน รู้แจ้งเห็นจริงในสังขาร รู้ว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ประเสริฐ มีเมตตาคุณ มีพระกรุณาคุณ มีความเคารพในพระธรรมอย่างจริงจัง มีความเคารพในพระสงฆ์อย่างที่สุด ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดเวลา พระบารมีของพระพุทธองค์ เราจะกราบไหว้ จะเทิดทูน จะขออยู่ใต้พระบารมีของพระพุทธองค์ตลอดไป ตลอดจน พุทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ ตอนเย็น ได้ปฏิบัติ ทำวัตรเย็น



แล้วดูวีดีทัศน์ การแสดงธรรมของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อนั่งถามตอบ ปัญหา แก่สาธุชน หลวงพ่อมีอัธยาศัย ยิ้มแย้ม แจ่มใส มีอารมณ์ขัน มีความเมตตา มีความจริงใจต่อสาธุชน มีความสุจริตใจน่าคบหา น่าอยู่ใกล้ บารมีของท่านมีมาก รู้เรื่องพระธรรมปิฎก ทั้ง คันถะธุระ และวิปัสสนาธุระ จึงรู้แจ้งพระธรรมตลอด ทั้งภพ ภูมิต่างๆ ทั้งเทวดา มาร พรหม เป็นบุญของเราที่ได้มีโอกาสมารู้จักหลวงพ่อ ได้อ่าน ได้ดู ได้พูดคุยกับผู้ที่เคยสัมผัสใกล้ชิดหลวงพ่อ เราจะศึกษาธรรม จะปฏิบัติตนตาม ธรรมะของพระบรมศาสดา และของที่หลวงพ่อนำมาแสดง



วันที่ 5 ของการบวช ตรงกับวันที่ 31 ธันวาคม 2546 เป็นวันสิ้นปีเก่า เช้าทำวัตรเช้ามีความรู้สึกว่าความเจริญในธรรม รุดหน้าไปเป็นอันมาก มีความปีติและสุขอย่างยิ่ง รู้สึกสุขลึกๆอยู่ข้างในคนเดียวมองอะไรก็สวยงาม แม้แต่เดินออกมาสนามหญ้ากลางแจ้งก็มีจิตทักทายกับต้นไม้ เมตตาต่อต้นไม้ทุกต้น ขอให้เจ้าจงเจริญเติบโตงอกงาม เราขอส่งจิตปรารถนาดีต่อเจ้า และทุกๆสรรพสิ่งบนพิภพ มีจิตเป็นมิตรไมตรี ต่อแม่พระธรณี เราอาศัยแม่พระธรณีอยู่ ได้แผ่กุศลให้แม่พระธรณี รู้สึกแม่พระธรณีก็รู้ก็รับทราบ ถึงมิตรไมตรีอันนี้ทำให้เรายิ่งรู้สึกผ่องใสจิตเป็นกุศล มีความสำรวมระวัง กาย วาจา ใจ เป็น จรณะ 15 คือศีลสังวร อินทรีย์สังวร ประมาณในการโภชนะ มีศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา พาหุสัจจะ หิริ โอตตัปปะ วิเวก ปฐมญาณ ทุติยณาน ตติยณาน จตุตถณาน เรายิ่งทรงอารมณ์ไว้ไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่วจะไปไหนก็มีสุข ขับรถก็สุข โอหนอเราได้พบความสุขที่แท้จริงแล้ว ความสุขมันอยู่ที่จิตใจเรานี่เอง ถึงจะแสวงหาทรัพย์ที่เป็นวัตถุมากเท่าไรก็ไม่พอก็ยังทุกข์ แต่สุขจริงๆอยู่ที่จิต มีความพอใจในสิ่งที่มีอยู่



ตอนบ่าย สนทนากับพระที่มานำปฏิบัติธรรม ท่าชื่อพระน้อย อยู่วัดป่า อ. คอนสวรรค์ จ. ชัยภูมิ ท่านสมถะ ท่านบอกว่า ถ้าเรามีอารมณ์ไม่หงุดหงิด ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระวนกระวายใจนั่นแหละเป็นกุศลธรรมยิ่งกว่าอะไรเพราะเป็นทั้งศีลเป็นทั้งพรหมวิหารเป็นทั้งสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานแ เพราะคนเราถ้าพูดนินทาออกไปก็เหมือนขี้เรื้อนมันกินปาก มันจึงคันปาก การพูดให้ร้าย กล่าวร้ายเอง ถ้าคนที่ถูกนินทาเป็นพระอริยะ คนนี่พูดก็ตกนรกเท่านั้นเอง การไม่กังวล หงุดหงิด รำคาญใจจึงเป็นธรรมเบื้องแรกที่จะเข้าสู่อริยะหรือเป็นอริยะอยู่แล้ว ก็ควรทรงอารมณ์ให้อยู่ตลอด เป็นอนุรักขนา ปฏิปทา รักษาไว้ให้ตลอด เรามาพิจารณาดูก็เห็นจริงตามด้วย เพราะถ้าไม่หงุดหงิดก็ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นการมีสติอยู่กับลมหายใจ อยู่กับใจตัวเองตลอดเวลา การหงุดหงิดฟุ้งซ่าน คือการขาดสติ ถ้ามีสติอยู่กับตัว ทำอะไรก็เป็นสุข ดังนั้น อย่าพูดร้าย อย่ากล่าวร้ายคนอื่น อย่าเบียดเบียนสัตว์อื่นจำไว้อย่าหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ มันเป็นนิวรณ์ธรรม ธรรมซึ่งเป็นเครื่องกั้นของความดี



พอตกเย็น ทำวัตรเย็นหลังจากทำวัตรเสร็จพระน้อย ท่านก็พูดอีกว่า กายเราเป็นขี้ดิน ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้นไม้ พืช พันธุ์ ธัญญาหารก็เติบโตมาจากดิน มาจากของสกปรก มันจึงเป็นของปฏิกูล สกปรก ไม่สะอาด กายเราก็ไม่สะอาด กายคนอื่นก็ไม่สะอาด เป็นกายาวิปัสสนา สติปัฏฐาน ให้พิจารณาว่ามันเป็นของสกปรก จะได้ ละ ถอนจากความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น พิจารณากายว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็น ธาตุ4 ไม่ทรงตัว ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สลายตัวไปในที่สุด ( อนัตตา) พิจารณากายตัวเดียวก็บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ได้เช่นกัน



ตอนดึก ได้ไปดูวิดีทัศน์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้เทศน์บรรยายธรรมว่ากรรมอันเกิดจากใช้วานพระอรหันต์นั้น มีกรรมถึงกับตกนรกโลกันตร์ ถึงแม้จะขอขมาแล้วก็ตาม ควรจำไว้เป็นตัวอย่าง หลังจากนั้นก็เป็นเทปถ่ายวีดีโอไว้ เนื่องในงานเททองหล่อพระพุทธเจ้าปฐม ปางนิพพาน และพระอาจารย์ ทั้ง 4 องค์



เช้าวันที่ 1 มกราคม 2547 ได้ปฏิบัติทำวัตรเช้า ได้ตระหนักรู้ว่าคุณแม่ชีปทุม ได้อุทิศกายและใจ ปฏิบัติธรรมเพื่อ บวรพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง จึงเข้าใจท่าน เคารพท่าน ทราบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นแดนพระอรหันต์ เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ ใครที่คิดไม่ดี ทำไม่ดี จะอยู่ไม่ได้ และที่เราอยู่ได้อย่างดีก็เพราะเราไม่คิดสิ่งที่ไม่เป็นกุศล เราคิดแต่สิ่งที่ดีๆ เพราะเทวดาท่านรู้ว่าเราคิดอย่างไร ดังนั้นสิ่งไม่ดีอย่าคิด ตัดทิ้งให้หมด ช่วงระหว่างที่ถวายภัตตาหารพระ ได้เห็นหนังสืองานฌาปนกิจศพ หลวงปู่กอง วัดสระมณฑล อ.เมือง จ.อยุธยา ได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่เทพ โลกอุดร หลวงปู่มีความสัมพันธ์กับหลวงปู่กองในฐานะอาจารย์กับศิษย์ ท่านมาเยี่ยมหลวงปู่กองเป็นประจำ ท่านได้มอบหมากรุกทองคำ เพื่อเป็นส่วนประกอบในการสร้าง พระพุทธรูปทองคำ (ทองดอกบวบ) ทราบว่ายังหาไม่เจอ เรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่เทพ โลกอุดร มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ท่านมักจะสอนกรรมฐาน แก่พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หรือพระที่ไปธุดงค์ ตามป่าเขา ที่วิเวก ท่านจะสอนแนะวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง รวดเร็วท่านมีเมตตา ท่านเป็นผู้ทรงธรรม เคยได้บูชาพระของท่านที่ท่านบริกรรมปลุกเสกมา 1 องค์ พอได้พระมาจิตก็นึกเห็นแต่หลวงปู่ แสดงว่าเป็นของท่านจริง และสัมผัสจิตกับท่านได้ ได้บูชา ได้ตั้งไว้ในที่อันเหมาะสม ตั้งจิตว่าจะสานต่อเจตนาของท่าน ที่จะสร้างพระพุทธรูปทองคำ ก็แล้วแต่บุญวาสนาถ้ามีโอกาสก็จะทำ



ช่วงบ่าย สนทนากับพระที่มาสร้าง มาปั้นพระพุทธรูป ประดิษฐาน หน้าสระ เพื่อชำระหนี้สงฆ์ ได้ความรู้ว่าหลวงปู่แก้ว อยู่ประเทศพม่า อดีตชาติเป็นรัชกาลที่ 4 ปรารถนา พุทธภูมิ ได้มอบพระหลวงปู่เทพโลกอุดรให้พระรูปหนึ่ง การท่องคาถาเงินล้าน ให้ท่องทั้งหมดฯ จบ



บางคนทำเป็นกรรมฐานเลยก็ได้ คุยกับยายที่ร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกัน แกเล่าให้ฟังว่า แกปลูกกล้วยต้นหนึ่ง ปลูกไปเฉยๆ กับอีกต้นหนึ่งปลูกไปด้วย ว่าคาถาเงินล้านของหลวงพ่อฤาษีไปด้วย ผลปรากฏว่า ต้นนี่ท่องคาถาออกผลดกกว่า งามกว่า ใหญ่กว่า ต้นที่ไม่ได้ว่าคาถา อย่างเห็นได้ชัด



ส่วนอีกกรณีหนึ่งแกปลูกถั่วชนิดหนึ่งมือก็ปลูกไปปากก็ว่าคาถาไป ผลปรากฏว่าผลผลิตมากมาย เหลือกิน เหลือใช้ นำไปขายได้อย่างดี



พระที่ร่วมวงสนทนาก็ว่าต่อไป เราจะปลูกพืชเราก็จ้างเขาปลูก ส่วนเราก็นั่งท่องคาถาไป ท่องไปก็ได้ผลเช่นเดียวกัน จึงคิดว่าน่าจะลองทำดู พอเวลา 16.00 น. ไปอาบน้ำ ใช้ขันอาบน้ำร่วมกับพระ นึกได้ว่าเราจะเป็นบาป พอเวลาปฏิบัติทำวัตรเย็น ถึงเวลาสวดกล่าวคำขอขมาต่อพระสงฆ์ จึงเปล่งเสียงออกมาด้วยเสียงอันดัง เพราะต้องการขอขมาลาโทษต่อพระสงฆ์ หลังทำวัตรเสร็จ ปฏิบัติพระกรรมฐานต่อ นั่งสมาธิ เข้าฌาน 4 ต่อสมาบัติ 8 โดยนึกภาพพระพุทธองค์ จนเป็นแก้วประกายพฤกษ์ แล้วถอนออกมา ขอภาพกสิณ จงหายไป ขออรูปฌานจงปรากฏ อากาสานัญจายตนะ นึกภาพอากาศเป็นอารมณ์ และ ต่อด้วย วิญญานัญจายตนะ ความรู้สึกนึกคิดเป็นอายตนะ ต่อด้วย อากิญจัญญายานะ ไม่มีอะไรเป็นอายะตะนะ เนวสัญญา นาสัญญายตนะ ต่อด้วยมีสัญญาเหมือนไม่มีสัญญา



ก็ทำถึงสมาบัติ 8 ตามคำบรรยายในเทปของหลวงพ่อฤาชี สำเร็จไปด้วยดี ได้วิปัสสนาต่อ กายคตานุสสติ พิจารณาว่า กายไม่เรา เราไม่ใช่กาย กายไม่ใช่ของเรา กายเป็นของสกปรก กายเป็นปัจจัยของความทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการตาย พิจารณา มหาสติปัฏฐาน 4 จากกายมา เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จากเวทนามาจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน แล้วต่อไปด้วยธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน จบครบถ้วน จิตเป็นสุข ปีติ อิ่มเอิบ เอกัคตา ทรงฌาน ทรงอยู่ในกุศลธรรมตลอด หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ใจเย็น ไม่เร่งรีบเร่าร้อน ทำอะไรด้วยจิตที่สบาย



วันที่ 2 มกราคม 2547 วันสุดท้ายของการบวชเนกขัมมะ เช้าทำบุญตักบาตร ได้ถวายเงินบริจาค ซื้อ หิน ปูน ทราย มาหล่อพระพุทธรูปหน้าสระน้ำ เป็นการชำระหนี้สงฆ์ ได้กราบนมัสการพระพุทธเจ้า ปางนิพพาน ที่เราเคยถอดสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง เป็นส่วนประกอบหล่อองค์พระ ระลึกถึงบุญทานที่เราเคยบริจาค เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน บริจาคทองก็คือบริจาคสิ่งสูงสุด ผู้ให้สิ่งสูงสุด ย่อมได้สิ่งสูงสุด เสร็จแล้วกราบปิดทองครูบาอาจารย์ทุกองค์ ได้บูชาพระผง ทุ่งเศรษฐี และพระสีวลี ของแม่ชีประทุม องค์ละ 1 บาท 50 องค์ ร่วมบรรจุใต้ฐานพระองค์นี้เพื่อนำไปประดิษฐานที่วิหารอรหันต์หญิง ได้ของดีจากคุณอี๊ด คือ ผ้ายันต์ ของหลวงพ่อสวัสดิ์ เป็นของดี ของวิเศษ ทำมาค้าขายดี และภาพถ่ายของหลวงปู่ ครูบาวงศ์ (พระครูพัฒนะกิจจานุรักษ์) ที่สุดยอดแห่งความดีงาม สายตรง สายนิพพาน พระโพธิญาณ แห่งล้านนา อันที่สองก็ภาพถ่ายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ พร้อมยันต์เกราะเพชรอันนี้ดีสุดยอดแห่งพระกรรมฐาน มีญาณ อันรู้แจ้งเห็นจริง มีเมตตา คาถาเงินล้าน อันเป็นจริงเห็นผลได้ บอกทางไปนิพพาน อีกภาพถ่ายของปลัดอนันต์ พุทธญาโณ เจ้าอ าวาสองค์ปัจจุบัน วัดท่าซุง ผู้ถึงซึ่งมโนมยิทธิ พูดถึงมโนมยิทธิ คืนวันที่ 31 ธันวาคม 2546 ได้ฝึกมโนมยิทธิ ตามเทปนำฝึกโดยอาจารย์พระอาจินต์ บรรณาธิการหนังสือ ธัมมะวิโมกข์ เริ่มแรกเข้าฌาน 4 ออกมา อุปจาระ สมาธิ ที่ทำลมหายใจเพียง 3 ฐาน ครูฝึกบอกให้ไปก็ไปตาม ไปไหว้พระอินทร์ ที่พระเจดีย์สถาน ได้กราบพระอินทร์ พระแม่ศรี ได้กราบหลวงพ่อพระสัมมาสัมพุทธะเจ้า ได้กราบท่าน กราบที่ตักท่าน ได้กราบสมเด็จองค์ปฐม ได้กราบที่ตักท่าน ได้นอนเล่นที่เบื้องพระบาทท่าน ได้แยกกายเป็นพันออกกราบพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือสึกกายเราแยกออกไปได้มากมาย สนุกมาก ภูมิใจมาก ตื่นเต้น รู้สึกเป็นบุญมากที่ได้กราบพระอริยะทุกๆพระองค์ ท่านบอกให้ไปที่ยอดหลังคาวิมาน ก็ไปได้ ขออนุญาตพระพุทธองค์ไปวิมาน ที่เป็นพระนิพพานของเรา ก็ไปได้ ได้กราบพ่อแม่ในอดีตชาติของเรา สำนึกในพระคุณของพ่อแม่ พ่อแม่รู้สึกดีใจ ได้ให้ศีลให้พรแก่เรา เราไปวิมานของเรา วิมานของเราเป็นแก้วผสมทอง ได้ไปกราบไหว้แก้วรัตนะ ที่ประดิษฐานที่ตรงกลางห้อง ได้อาราธนาขอแก้วจากสมเด็จองค์ปฐม ขอให้แก้วจงสถิตที่ตรงศีรษะของเราขึ้นไป 3 นิ้ว ตลอดไป เหลือบดูเตียงที่ตั้งติดผนังที่เราเคยนอนเล่น บัดนี้เตียงมีขนาดใหญ่กว่าเดิมมาก เตียงเป็นแก้วผสมทองเป็นประกาย สวยงามมาก ชื่นใจภูมิใจมาก การบำเพ็ญธรรมของเราเป็นผลก้าวหน้าไปเป็นอันมาก เสร็จแล้วขอกราบลาทุกๆ พระองค์ ขอกลับคืนสู่โลกมนุษย์รู้สึกอิ่มเอิบ อิ่มบุญ อิ่มกุศล เสียงคนที่เป็นครูฝึกฟังแล้ว ชุ่มชื่น ไพเราะ กังวาน เป็นอันว่า นั้นเราไปได้ด้วยกายทิพย์ นี้คือของจริง นี้คือทางไปนิพพาน สาธุ ขอคุณพระศรีรัตนตรัยจงคุ้มครองเรา









 
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ค.2005, 5:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน







สาธุค่ะ คัดลอกข้อธรรมต่างๆ มาเยอะเลยนะค่ะ



ดีค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง