เว็บบอร์ด สนทนาธรรม สอบถามห้องแชดสนทนาธรรมสมุดเยี่ยม ฝากข้อความ ติชมรวมเว็บพระพุทธศาสนารวมรูปภาพ พุทธศิลป์ พระพุทธเจ้า พระพุทธรูป พระเจดีย์ พระสงฆ์
  ตั้งเป็นหน้าแรก   เก็บเข้า Favorites   สั่งพิมพ์   แจ้งปัญหา
   
 
 
 
สารบัญหลัก
  หน้าหลัก
  หนังสือธรรมะ
  บทสวดมนต์
  เสียงธรรม mp3
  เสียงสวดมนต์ mp3
  ห้องสวดมนต์ออนไลน์
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  วัดป่า-พระป่า
  วันสำคัญทางศาสนา
  ดาวน์โหลด e-book
  คำสอนจากครูบาอาจารย์
  บทความ..ธรรมจักร
  รูปภาพ
  กระดานสนทนา
  ห้องสนทนา
  สมุดเยี่ยม
  รวมเว็บ
  ติดต่อทีมงาน
ขึ้นบน
 
เว็บบอร์ด
  สนทนาธรรม
  ข่าวกิจกรรม
  สติปัฏฐาน
  สมาธิ
  กฎแห่งกรรม
  นิทานธรรมะ
  หนังสือธรรมะ
  บทความธรรมะ
  กวีธรรม
  นานาสาระ
  วิทยุธรรมะ
  สถานที่ปฏิบัติธรรม
  เสียงธรรมออนไลน์
  เสียงสวดมนต์ออนไลน์
  พระพุทธเจ้า
  ประวัติอสีติมหาสาวก
  ประวัติเอตทัคคะ
  ประวัติครูบาอาจารย์
 
 
^-^ มาฝึกสมาธิกันดีกว่า ^-^
 
@ อยากรู้  ประวัติศาสตร์ วงล้อมธรรมจักร ลัญลักษณ์ของพุทธศาสนา  คลิกอ่าน @
 
รวมเว็บพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ง่ายต่อการค้นคว้าหาข้อมูล
 
คำสอนของครูบาอาจารย์ เช่นหลวงปู่ดูลย์,หลวงปู่เทสก์,หลวงพ่อชา,หลวงพ่อพุธ,หลวงพ่อจรัญ,พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นต้น
 
อัลบั้มภาพพระพุทธศาสนา
 
เรือนธรรม - บ้านพักผ่อนทางจิตใจด้วยธรรมะ
 
ขอเชิญเข้ามาร่วมสนทนาธรรมด้วยกันครับ
 
ดูซิ ! ว่ามีใครอยู่ในห้องบ้าง
 
ฝากข้อความติชมของท่านได้ที่นี่ครับ
 
 
 
 
   ธรรมจักร   หนังสือธรรมะ บันทึกธรรม ฉบับดับทุกข์ ปรับขนาดตัวอักษร เพิ่มขนาด ลดขนาด ขนาดปกติ  
 

ท้อแท้ใจ

         อาการท้อแท้ใจ คือ เบื่อหน่าย รำคาญ หงุดหงิด หดหู่ เซ็งจนถึงกับอยากตาย ให้มันพ้น ๆ ไป เป็นต้น

         อาการที่ว่านี้ ไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาด แต่เป็นเรื่องธรรมดาของจิตปุถุชน ย่อมจะมีอาการขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย หรือคุ้มดีคุ้มร้าย เป็นบางวันบางเวลา เอาแน่ไม่ได้

         อาการท้อแท้ใจ จนถึงเบื่อหน่าย ถ้าเป็นไปในทำนองสัมมาทิฏฐิ คือเห็นว่าชีวิตไม่มีสาระ มีแต่ทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด และ ไม่มีอะไรดับ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี ภพชาติจะได้สั้นเข้า

         แต่ความท้อแท้ในที่ว่านี้ มิได้เป็นอย่างนั้น มันท้อแท้ใจ ไม่อยากทำความดี ยังมี "เบื่อ ๆ อยาก ๆ" อยู่ แถมยังใฝ่ชั่วเสียด้วย แต่ก็ไม่กล้าทำชั่ว ทางกายหรือวาจาที่ร้ายแรง เพราะยังกลัวผลของกรรมอยู่

         ถ้าท่านผู้อ่าน ให้ความสนใจ ในการฝึกจิตใจ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงจิตได้ง่าย มันจะเกิดเป็นระยะ ๆ บางครั้งก็เห็นต้นเหตุชัด ๆ บางทีก็หาต้นเหตุไม่ได้ อยู่ ๆ ก็เกิดท้อแท้เบื่อหน่ายขึ้นมาเฉย ๆ และส่วนมากไม่นานมันก็จะหายไปเอง โดยไม่รู้ตัว

         เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ ไม่ว่ารูปธรรม หรือนานธรรม มันเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง มันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ว่าเฉพาะรูปนั้นเกิดดับช้า ส่วนนามคือจิตใจ มันเกิดดับเร็วมาก เร็วจนจับไม่ทัน แต่ก็สามารถที่จะรู้ได้บางครั้ง

         สำหรับความเห็นของผู้อื่นจะยกไว้ จะขอเจาะพูดเฉพาะที่เกิดกับตนเอง เพราะมันพูดหรือเขียนได้ถนัด และตรงเป้าดี จะถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกันก้ได้

         ขอเว้ากันซื่อ ๆ ว่า อาการที่ว่านี้ มันเกิดกับผู้เขียนเป็นระยะ ๆ เกิดขึ้นแล้วหายเร็วและข้าไม่เท่ากัน บางครั้งหายเร็ว บางครั้งก็หายช้า บางครั้งก็ไม่รู้

         ผลเสียที่เห็นชัด ๆ คือทำให้แผนงานที่วางไว้ ต้องล่าช้าเสียเวลาหรือบางครั้งก็ต้องพาลยกเลิกเอาง่าย ๆ มันไม่อยากทำเอาดื้อ ๆ ยังงั้นแหละ ใครจะทำไม ?

         โดยเฉพาะงานเขียนหนังสือ นับว่าเป็นอุปสรรคที่ร้ายแรงมาก ความคิดอ่านมันตันไปหมด ต้องรอให้อาการที่ว่านี้ ผ่านไปเสียก่อน จึงตั้งต้นทำต่อกันใหม่ได้

         ถ้าจะถือว่าเป็นลาภ หรือเป็นโชคดีก็ว่าได้ คือผู้เขียนมีอาจารย์ดีคอยเป็นที่ปรึกษา หรือให้กำลังใจอยู่หลายท่าน คือ หลวงพ่อพุทธทาส ท่านอาจารย์พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) และอาจารย์วศิน อินทสระ เป็นต้น

         การระลึกถึงคนดี ช่วยให้เกิดกำลังใจ ในการทำความดีได้อย่างวิเศษ ด้วยการปรับความคิดว่า ก็คนขนาดท่านยังมีอุปสรรคมากมาย แล้วอย่างเราเป็นอะไร จึงจะมาท้อแท้ใจ หรือหมดกำลังใจ ?

         ยิ่งระลึกถึงพระพุทธเจ้า ที่ทรงเสียสละออกผนวช ที่ต้องเผชิญกับมาร ในรูปและแบบต่าง ๆ แทบจะเอาพระชนม์ชีพไม่รอด แล้วเราเป็นอะไร จะไปท้อแท้ใจในการทำความดี ชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ยเอาง่าย ๆ ?

         โดยเฉพาะ อยากจะขออนุญาตท่านผู้อ่าน บันทึกเรื่องส่วนตัวของท่านอาจารย์พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ไว้ในที่นี้สักเล็กน้อย เพื่อเป็นกำลังใจ ของผู้ที่มีหัวอกอันเดียวกัน คือ เกิดความท้อแท้ใจ แล้วหาทางออกไม่ได้ จะได้มีกำลังใจขึ้นบ้าง

         ในขณะที่กำลังเขียนหนังสือเล่มนี้อยู่ (ก่อนเข้าพรรษาปี ๒๕๒๘) ท่านอาจารย์พระราชวรมุนี ท่านกำลังอาพาธหนัก ด้วยโรคประจำตัวหลายโรค เป็นที่น่าสลดใจยิ่งนัก

         ที่น่าสลดใจมากก็คือ เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า ท่านอาจารย์ได้บวชมาตั้งแต่เป็นเณร ครบบวชพระก็ได้บวชต่อกันมา ประวัติชีวิตของท่าน มีแต่เรื่องความดีงามตลอด ไม่เคยมีสิ่งบกพร่องหรือมัวหมองเลย เพราะ…

         ท่านได้เสียสละ ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง งานเขียนของท่านหลายชิ้น ที่จัดว่าเป็นอมตะ เช่น พุทธธรรม พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ เป็นต้น

         ถ้าจะตีเป็นราคาก็ค่ามหาศาล ท่านต้องเสียสละเวลา แรงกายและแรงใจมากมาย เป็นเวลาหลายปี ถึงต้องตัดกิจนิมนต์ออกเกือบหมดสิ้น บุกบั่นจนเกิดล้มป่วยหนักหลายครั้ง แต่ท่านก็ไม่เคยท้อใจ ใช้ความเพียรอย่างยอดเยี่ยม จนเสร็จทุกเล่มไป แม้หมอและญาติจะขอร้อง ท่านก็ไม่ยอมพัก

         บางครั้งคิดถึงท่านแล้ว ให้ตื้นตันในหัวใจ จะพลอยให้หมดกำลังใจในการทำความดีเสียให้ได้ ว่าธรรมชาตินี้ช่างโหดร้ายกับท่านเสียจริง ๆ เพราะ…

         ท่านเกิดมาก็ทำความดีมาตลอด เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป ผลงานทุกชิ้นทุกเล่มที่ออกมา ท่านไม่ยอมรับค่าแรงเลย ใครต้องการพิมพ์ ก็เอาไปได้เปล่า ๆ ไม่มีค่าลิขสิทธิ์ใด ๆ

         ผู้เขียนขอพูดหรือเขียนอย่างตรง ๆ ว่า ได้กำลังใจการทำความดีจากท่าน เกือบ ๑๐๐% เต็ม ก็ขนาดท่านเป็นผู้ที่ ชาวพุทธเกือบทั้งประเทศ ให้ความเคารพนับถือ ท่านยังทำตัวเหมือนคนธรรมดา ๆ ธรรมดา ๆ ยังไง ?

         ผู้เขียนต้องปรึกษา งานด้านหนังสือกับท่านเป็นประจำ ไม่เคยเห็นพัดยศ ใบประกาศเกียรติคุณ หรือสัญลักษณ์แห่งความเป็นเจ้าคุณเช่น ที่นั่ง (อาสนะ) กาน้ำชา เครื่องประดับห้อง ที่นอน เป็นต้น

         ที่เห็นมีมากเต็มห้อง ก็แต่หนังสืออย่างเดียว อย่างอื่นไม่มี ไม่อะไรเลยจริง ๆ แม้แต่ของคบเคี้ยวยามว่าง ใครจะถวายอะไรท่านก็รับ รับแล้วท่านก็แจกพระเณรหมด ไม่เก็บไว้

         ท่านเป็นพระที่สันโดษ แถมยังมักน้อยอย่างน่าเคารพ น่ากราบไหว้เป็นอย่างยิ่ง เล่นเอาพระกรรมฐานที่ดัง ๆ ที่อยู่ตามป่าตามเขาอายม้วนไปเลย

         โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็ผู้เขียนนี่แหละ เป็นผู้ที่ควรจะอายท่านมากกว่าใคร ๆ หลังจากท่านได้มาเยี่ยม ที่ถ้ำสติได้ไม่นาน ผู้เขียนก็ต้องรุสต๊อค ผันของส่วนเกิน ออกแจกชาวบ้านไปเป็นค้นรถๆ เอาไว้ใช้เท่าที่เห็นว่าจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

         นี่ก็จัดว่า เป็นอานิสงส์ ที่ได้ไปมาคบหากับบัณฑิต จึงได้สำนึกถึงพระคุณของท่านอยู่ทุกวันนี้ พยายามจะเจริญรอยตามท่าน เท่าที่เห็นว่าพอจะทำได้ ถ้าไม่เดือดร้อนจนเกินไป

         หวังว่า ท่านผู้อ่านที่เกิดท้อแท้ใจ คงพอที่จะมองเห็นลายแทงบ้างแล้วกระมัง ?

ทางแก้
         ๑. ค้นหาสมุฏฐานให้พบ ว่าความท้อแท้ใจเกิดจากอะไร ? ขอให้มั่นใจว่าต้องมีแน่ ๆ เมื่อหาได้ก็ให้รีบแก้ไขเสีย

         ๒. ขอให้ทราบว่า ไม่ว่าความดีหรือความชั่ว ที่เกิดทางจิตล้วนเป็นอนิจจัง เกิดได้-ดับได้เองโดยธรรมชาติ

         ดังนั้น เมื่อเกิดมีอาการดังว่ามา ก็อย่าได้วุ่นวายไป ถ้าจัดการกับมันไม่ได้ ก็ขอให้เฉยไว้ ดูมันไป แล้วจะดีเอง

         ๓. ระลึกถึงความดี ของคนที่ทำความดีมาตลอดทุกระดับ จนถึงพระพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดบรมครูของเรา

         ๔. ถ้าจำเป็นและทำได้ อาจเปลี่ยนอิริยาบถ หรือเปลี่ยนสถานที่ อารมณ์ที่เกิดก็จะเปลี่ยนไปเร็ว

         ๕. วิธีใดก็ไม่ประเสริฐ เท่าวิธีเฝ้าดูจิตด้วยสติ และสัมปชัญญะ คือระลึกและรู้ตัวว่า ขณะนี้เรากำลังคิดอะไร ? รู้สึกอย่างไรอยู่ ? แล้วก็ระลึกและรู้ดูมันอยู่เฉย ๆ คอยดูว่าจิตมันจะเปลี่ยนไปเมื่อไร ? และจะมีอะไรเข้ามาแทรกอีก ? ถ้าดูเป็นมันก็จะสนุก และเพลินดีเหมือนกัน จนความท้อแท้ใจหายไปเมื่อไรก็ไม่รู้.

 

     
 
 
 
 
 
 
 
 
  หน้าหลัก l หนังสือธรรมะ l เสียงสวดมนต์ mp3 l เสียงธรรม mp3 l บทสวดมนต์ l สมาธิ l รูปภาพ
ดาวน์โหลด e-book l ห้องสวดมนต์ออนไลน์  l กระดานสนทนา l ห้องสนทนา chat  l สมุดเยี่ยม lรวมเว็บ
 
จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
ขึ้นบน