คำว่า ปมด้อย ในที่นี้ หมายถึงความรู้สึกที่
ด้อยกว่า คนอื่น ในหลายๆ อย่าง เช่น
ฐานะ รูปร่าง ผิวพรรณ การศึกษา ตระกูล ยศศักดิ์ และอาชีพ
เป็นต้น
อันวิสัยปุถุชนนั้น มันอดที่จะนึกคิดในทางเปรียบเทียบเสียมิได้
เมื่อได้พบเห็นสิ่งที่ต่างจากตน และการเปรียบเทียบก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไรเลย
ถ้าไม่ทำให้เราเกิดความทุกข์ หรือเดือดร้อน
มองอีกแง่หนึ่ง กลับจะเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อมีการเปรียบเทียบ
ก็จะได้เห็นความแตกต่าง คือสิ่งที่ดีกว่าหรือด้อยกว่า
แล้วเราก็พยายามฝึกฝน หรือปรับปรุงตนให้ดีกว่าในสิ่งที่เราสามารถทำได้
ซึ่งบางสิ่งบางอย่างเราก็ทำได้ เช่น ฐานะ การศึกษา หรือคุณธรรมความดีต่าง
ๆ เป็นต้น บางอย่างเราทำไม่ได้ เราก็อย่าไปสนใจมัน เช่น
ตระกูล ผิวพรรณ หรือรูปร่าง เป็นต้น
ความคิดทำให้เกิดปัญญา (โยคา เว ชายเต ภูริ ธรรมบท
๒๕/๔๔) แต่อย่าคิดให้ฟุ้งซ่าน จนเกิดความวุ่นวายหรือเป็นทุกข์
มันก็ไม่เกิดโทษแก่จิตใจตนแต่ประการใด
ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่มีความคิดปัญญาก็ไม่เกิด เมื่อขาดปัญญาเพียงอย่างเดียว
คนเราก็ไม่อาจจะพัฒนาตนให้ดีขึ้นได้ ไม่ว่าในทางรูปธรรมหรือนานธรรม
ข้อสำคัญ เมื่อเกิดความคิด (ปัญญา) รู้ว่าสิ่งใดที่เรายังด้อยกว่าเขา
แล้วสามารถทำให้เสมอเขา หรือเหนือกว่าเขาได้ ก็ควรรีบทำในทันที
อย่ามัวแต่ฝันเฟื่องกลางวัน ให้กลายเป็นโรคประสาทเสียก่อนก็แล้วกัน
ในทางพระ ท่านคือว่าคนเราไม่อาจแข่งบุญหรือวาสนากันได้
เพราะเป็นเรื่องของอดีต แต่เราก็สามารถที่จะแข่งกันทำความดีได้
และจะเป็นต้นเหตุให้บุญและวาสนา ในอนาคตของเราเทียบเท่า
หรือเหนือคนอื่นได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
มองในแง่ของความจริงอีกแง่หนึ่ง คนที่มีฐานะดี รูปร่างดี
ผิวพรรณดี การศึกษาดี ตระกูลดี มียศศักดิ์ และอาชีพที่สูงส่งนั้น
มิใช่ว่าเขาจะมีความสุขไปหมดทุกคนดอกนะ บางคนมีความทุกข์มากกว่าคนจนเสียอีก
จากประสบการณ์ ปรากฏว่าคนที่มีฐานะดีนั้น จะหาความสงบและความอิสระได้ยาก
เพราะมีภาระที่จะต้องรับผิดชอบ และหน้าที่มากมาย ถ้ามองดูแต่ภายนอก
จะเห็นว่า เขามีเกียรติมีบริวาร มีทรัพย์สินมากมาย
แต่ถ้ามองให้ลึกเข้าไปถึงในบ้าน ในห้องนอนหรือในจิตใจของเขาแท้
ๆ บางคนเราจะพบนรก มากกว่าที่จะพบสวรรค์ ตามที่เราคาดคิด
หรือคนทั่วไปเข้าใจกันเสียอีก !
เรามองเห็นแต่มายาภายนอก ว่าเขามีเงินทองมาก มียศหรือตำแหน่งสูง
มีบริวารมากมาย จะไปไหนก็มีคนยกย่อง ล้อมหน้าล้อมหลัง
ถ้าเจาะมองหรือคิดให้ลึก จะเห็นสัจจะของชีวิตว่า สิ่งเหล่านี้ยิ่งมีมากเท่าไร
? จิตใจของคนเราก็ยิ่งจะห่างไกล จากความสงบสุขมากขึ้นเท่านั้น
!
นี่ไม่ใช่คำปลอบใจ ว่าเรามีไม่ได้อย่างเขา ก็เลยปล่อยใจเหมาเอาว่า
องุ่นเปรี้ยว ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ได้เห็นได้รู้มากับตากับหูตนเอง
จนนับไม่ถ้วน และในคนทุกระดับ
และนี่ก็เป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ผู้เขียนตัดสินใจบวช
ด้วยเห็นว่าเป็นวิถีทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ได้พบกันความสุขที่สงบและเย็นอย่างแท้จริง
และก็ได้พบจริง ๆ เมื่อได้มาอยู่คนเดียวอย่างอิสระที่ถ้ำสตินี้
ผู้เขียนไม่ต้องการขอร้องให้ท่านเชื่อ ตามที่ได้กล่าวมานี้
แต่มีความมั่นใจในสัจจธรรมของพระพุทธองค์ ที่ได้ตรัสไว้แล้ว
หนึ่งไม่เป็นสอง คือ ความสุขใด ๆ อันแท้จริงในโลกนี้
จะพบได้ที่จิตสงบเท่านั้น
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อจะได้ชี้ให้เห็นสัจจะของชีวิตทุกชีวิต
ว่ามีอยู่ ๒ ด้าน คือส่วนที่เป็นมายา และส่วนที่เป็นสัจจะ
จึงไม่ควรที่จะมองอะไรเพียงด้านเดียว เพราะในของสิ่งเดียวกันนั้นเอง
ย่อมมีทั้งคุณและโทษ ถ้าขาดปัญญาก็แยกไม่ออก หรือแยกออกแต่ไม่ชัดเจน
ทางแก้
๑. ควรปรับความคิด ให้จิตมีสันโดษ คือพอใจตามมีและยินดีตามที่ได้
ชีวิตจะประสบความสุข
๒. คนเราไม่อาจเลือกที่เกิดได้ก็จริง แต่เราก็สามารถเลือกทำความดีได้เท่ากัน
๓. ความสุขที่แท้จริงของคน มิใช่อยู่ที่ฐานะ ตระกูล
รูปร่าง ผิวพรรณ การศึกษา หรืออาชีพ แต่อยู่ที่จิตใจสงบเย็น
๔. ในโลกนี้ คนเขามิได้นับถือหรือบูชากันที่รูปร่างคือ
ตระกูล แต่เขานับถือกันที่คุณธรรมความดีต่าง ๆ
๔. คนเราเกิดมาอยู่ในโลกนี้ไม่นานเลย จึงไม่ควรที่จะสนใจฐานะ
รูปร่าง ผิวพรรณ การศึกษา ตระกูล ยศศักดิ์และอาชีพ ควรสนใจในคุณธรรมดีกว่า
เพราะมีสาระกว่า.