ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
สติสัมปันน์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 ธ.ค.2006, 12:02 pm |
  |
มีความจำเป็นเหรอที่พระต้องเรียนการบริหาร การจัดการ หรือพระต้องจบปริญญาในสาขาที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา ถ้าในแง่สังคมก็เข้าใจครับว่าช่วยให้ผู้ที่มีโอกาสทางการศึกษาน้อยได้ศึกษา แต่ท่านที่บวชอยู่เพื่อจรรโลงศาสนา มีความจำเป็นเหรอที่ต้องเรียนทางโลก |
|
|
|
|
 |
satima
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 120
|
ตอบเมื่อ:
04 ธ.ค.2006, 11:24 pm |
  |
พระสงฆ์ของเรามีสองฝ่ายคืออรัญวาสี กับคามวาสี
หรือเรียกง่ายๆ ว่าพระป่าพระบ้าน ซึ่งท่านมีภาระกิจต่างกันเล็กน้อย
ฝ่ายอรัญวาสี ท่านจะมีกิจในการเจริญภาวนาเป็นหลัก ท่านจะมี
จริยวัตรแตกต่างกันค่ะ
ส่วนคามวาสีท่านเอื้อกับงานพิธี กับชาวบ้านฆราวาสทั้งหลาย
ในการพัฒนาทางด้านวัตถุและเอื้อในธรรมในแง่ของพิธีกรรมต่างๆ
ในส่วนนี้เองที่พระสงฆ์จึงต้องมีโอกาสทางการศึกษาเช่นเดียวกัน
แต่ทั้งนี้การศึกษาของพระสงฆ์จำเป็นในแง่ที่ท่านต้องเอื้อกับฆราวาส
ในกิจการงาน หรือกิจกรรมเพื่อการสร้าง ส่งเสริม สังคม ในด้านศีลธรรม
จรรยา และการสร้างศาสนสถานต่างๆ ที่เป็นเพื่อใช้ในการประกอบพิธี
กรรมต่างๆ ด้วย
ในเรื่องเหล่านี้ทางคณะสงฆ์ท่านก็ดูแลจัดการให้พอเหมาะพอสมมาเป็น
เวลายาวนานแล้วค่ะ และปัญหาจากการที่ผู้มาบวชแต่ไม่ได้รับการศึกษา
เพียงพอในวัยอายุของท่าน เช่นบวชตั้งแต่เป็นเณรแล้ว ไม่ได้เรียนเทียบ
เท่ากับทางโลก เมื่อท่านจำต้องสึกออกมาเพราะอยู่ในเพศของสงฆ์ไม่ได้
ทำให้ชีวิตทางโลกก็เสียไปด้วย
ทั้งนี้เราไม่ได้กล่าวถึงพระที่ท่านบวชด้วยมุ่งหวังจะปฏิบัติภาวนาเพื่อ
การบรรลุมรรคผลเพียงอย่างเดียว (ทุ่มชีวิตเพื่อมรรคผล) ซึ่งที่ผ่านมานั้น
ทางฝ่ายสงฆ์ท่านทราบดี และดูแลจัดการด้วยดีมาตลอดค่ะ คือไม่ได้เข้ม
งวดกับพระที่ท่านต้องการภาวนา ไม่ได้บังคับให้ต้องเป็นคามวาสีทั้งหมด |
|
|
|
   |
 |
เจ๊เป็นตุ๊ด
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 29 พ.ย. 2006
ตอบ: 60
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยสอง
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2006, 7:18 am |
  |
การรู้รอบเป็นเรื่องดีนะครับ พระจะได้เข้าใจปัญหาของโลก ปัญหาของสังคม และปัญหาของญาติโยม มีความรู้กว้างขวางก็นำมาประยุกต์ใช้ในการเผยแพร่ศาสนาได้ดี อีกอย่างพระท่านใดที่มีความกว้างขวางในทุกด้านของวิชาการ กอรปทั้งมีความคิดที่ลึกซึ้งแยบยล สั่งสอนญาติโยมได้ ถือได้ว่าเราโชคดีที่มีปราชญ์ศึกษาธรรม นำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง ยังดีกว่าพระที่บวชเปล่าไม่ปฏิบัติศึกษาธรรมนะครับ
ท่านอื่นคิดกันยังไงบ้างครับ |
|
_________________ ปัญญาอยู่ไหน ที่ไหนมีขายบ้าง |
|
  |
 |
สติสัมปันน์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2006, 8:07 pm |
  |
ผมยินดีและเข้าใจเสมอครับว่าพระของเรามีความรู้ที่จะอบรมสั่งสอนญาติโยมได้ทุกสาขาอาชีพครับ แต่ผมอดคิดไม่ได้ครับ ผมเคยบวชเรียนมาเคยแปลบาลีมาเคยศึกษาพระพุทธศาสนามา และมีความเคารพในพระศาสนา ด้วยเห็นว่าทุกวันี้ท่านที่ศึกษาเล่าเรียนทางโลกและเรียนทางธรรมไปพร้อมกันนั้น ท่านจะไม่ค่อยเอาใจใสด้านการศึกษาของพระศาสนาครับ เคยขึ้นรถเมล์เห็นพระภิกษุสามเณรท่านดูหนังสือบนรถ แต่เป็นหนังสือทางโลก เป็นภาษาอังกฤษครับ เหมือนกับว่าท่านไม่ค่อยจะสนใจทางธรรมเท่าไรนัก ในที่ที่ผมอยู่ก็ใกล้สถานที่ศึกาของพระเณรครับ เป็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน โดยมากท่านไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาพระปริยัติธรรมซักเท่าไร ท่านโดยมากเอาเป็นการศึกษารองลงมาจากทางโลก และที่ผ่านมาเมื่อไวๆนี้ การสอบนักธรรมสนามหลวงนั้น พระเณรก็ไม่ใส่ใจดูหนังสือ และไม่ใส่ใจที่จะไปสอบ เมื่อไม่ดูหนังสือ การสอบพระปริยัติธรรมก็เกิดการทุจริตกันขึ้น จนเป็นเหตุให้ทางคณะสงฆ์ต้องประกาศสอบใหม่นะครับ สถิติการศึกษาพระปริยัติธรรมน้อยลงทุกวัน หน้าที่ที่ผู้บวชอยู่ในพระศาสนาควรทำก็น้อยลงทุกวันการศึกษาของทางพระพุทธศาสนานั้น ในประเทศไทยเราแบ่งออกเป็นสองทาง คือการศึกษาพระธรรมวินัย เรียกง่ายๆว่าการเรียนนักธรรม อีกฝ่ายนึงคือการศึกษาภาษาบาลีอันเป็นการศึกษาภาษามคธ(อ่านว่ามะคด)เรียกง่ายๆว่าเรียนบาลีส่วนกิจอีกอย่างนึงคือการศึกษาปฎิบัติในส่วนที่เรียนมาเรียกว่าการปฎิบัติเป็นการชำระจิตใจให้คลายความยึดมั่นถือมั่นตามพระพุทธเจ้าหรือถ้ารูปใดเรียนนักธรรมบาลีจบแล้ว ยังไม่พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และสูตรต่างๆให้ศึกษาอีกมากมายเรียนจนรู้แน่ชัดในส่วนของกิจพระศาสนาของตนเอง ปฎิบัติให้รู้ท่องแท้ ก็นำเอาสิ่งที่ตนรู้ตนทราบตามครรลองของพระศาสนามาบอกสอนญาติโยม นี่เป็นกิจของพระศาสนาโดยแท้จริง แต่เท่าที่เป็นทุกวันนี้การศึกษาทางโลกของพระสงฆ์เฟื้องฟูมาก มีพระจบกฎหมาย จบบริหารการจัดการ จบมนุสย์ศาสตร์ จบครุศาสน์มาก แต่หาพระที่จบเปรียญ๙ หรือพระที่แตกฉานในพระธรรมวินัยได้น้อยผมเข้าใจเสมอว่าถ้ามีความรู้นะดีครับ แต่ท่านไม่ค่อยรู้หน้าที่ของท่านนะครับ จึงมีกระทู้ขอความเห็นท่านทั้งหลายดู เพระเห็นว่าการศึกษาในหน้าที่ของตนเองของพระสงฆ์น้อยลง ไม่ก้าวหน้าเท่าที่จะเป็นการศึกษาทางโลกกลับรุดหน้าในศาสนา เห็นความแตกต่างได้ชัดครับ เมือ่แรกบวชกล่าวว่า สัพพะ ทุกขะ นิสสะระนะ นิพพานะ สัจฉิกะระนัตถายะ จักสลัดออกจากทุกข์ทั้งปวง จักกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพาน หรืออีกประเด็นนึงบางรูปท่านอาจจะตั้งใจที่จะบวชเรียนทางโลกเลย คือไม่ได้ศรัทธาซักเท่าไรนัก กลัวศึกไปไม่มีวุฒิการศึกษาหางานทำยาก ในส่วนนี้พระศาสนาก็มีส่วนในการช่วยเหลือสังคมเป็นการเบาภาระสังคม ก็น่าชื่นใจอยู่ แต่เกรงว่าคนที่ไม่ได้บวชเพราะความศรัทธาในศาสนาโดยแท้ จะเป็นคนที่ทำให้พระศาสนาเราวุ่นวายดังจะเห็นได้ทุกวันนี้คนที่บวชโดยความศรัทธาแท้ ท่านมักอยู่สงบจะทำสิ่งไรก็ห่วงพระศาสนา แต่เดี๋ยวนี้แปลก พระเดินห้าง พระใช้สิ่งฟุ่มเฟือยเกินสมณะบริโภค เป็นต้นว่าโทรศัพท์มือถือราคาแพง ที่นอนดีๆราคาหลายพัน รองเท้าดีคู่ละหลายร้อยผมไม่เข้าใจว่าเป็นด้วยว่าจำเดิมท่านบวชด้วยศรัทธาหรือเปล่า หรือท่านเรียนทางโลกมากเลยทำให้ไม่ค่อยเอื้อเฟื้อพระวินัย หรือว่าท่านจำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านั้นจริงๆ ขอบคุณสำหรับท่านที่ตอบกระทู้ ท่านมีความเป็นอย่างไรอีกก็ขอเชิญครับ ยินดีรับฟังและปรับความเข้าใจเสมอครับ |
|
|
|
|
 |
ขอคิดด้วยคน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
06 ธ.ค.2006, 11:36 am |
  |
มันก็เป็นเรื่องทางโลกทั้งนั้น
ไม่ว่าจะอยู่บ้าน อยู่วัด อยู่ป่า
เรียนนู้น เรียนนี่ หรือไม่เรียนนู้น ไม่เรียนนี่
ส่วนเรื่องธรรมะนั้น
มันเป็นเรื่องของ "จิตใจ" ล้วน ๆ
................................................................ |
|
|
|
|
 |
gradkeaw
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2005
ตอบ: 3
ที่อยู่ (จังหวัด): หนองบัวลำภู
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2006, 9:22 am |
  |
ถ้าจะบอกว่าจำเป็นไหม ก็คงไม่จำเป็นเลย ที่ท่านจะเรียนทางโลก เพราะทางโลกก็เรียนกันที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้แล้ว แต่กับโลกยุคนี้เราปฏิเสธไม่ได้ที่ทำให้พระสงฆ์มีทางเลือกมากขึ้น พูดง่ายๆคือเรียนจบก็สึกไปเป็นจำนวนมาก แล้วก็นำไปเพื่อหน้าที่การงานทางโลกนั่นแหละ จึงทำให้เห็นมากว่า ท่านเรียนรัฐศาสตร์บ้าง บริหารบ้าง การจัดการบ้าง หรือแม้แต่ธุรกิจ เช่นนั้นเอง.. สังคมก็ได้ให้โอกาสเลือก มองแง่ดีก็ดีแล้วล่ะค่ะ..แม้อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคต ในขณะที่มีจำนวนมากที่ท่านเลือกศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมจริงๆ
ในขณะที่คนทางโลกเองหลายคน ก็กลับเลือกที่จะเรียนธรรมะ ศึกษาธรรมจริงๆ จังซะงั้น.ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ได้ทำหน้าที่ที่ดีเพื่อการเผยแผ่และปกป้องพระศาสนาได้อย่างน่าอนุโมทนาด้วย |
|
_________________ ยินดีเป็น กัลยาณมิตร ของทุกท่านนะคะ
การเปิดโอกาสที่จะได้สนทนาและสร้างเครือข่ายของ
กัลยาณมิตรนั้นเป็นเรื่องสมควรกับยุคสมัย
การสัญญาว่าจะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีนั้น น่าเป็นอีกช่องทาง
ที่จะทำให้หัวใจชาวพุทธเข็มแข้งไม่เปราะบาง และมีธรรมะเป็นที่พึ่ง |
|
    |
 |
ฝัน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 ธ.ค.2006, 6:25 pm |
  |
ท่านยังอยากอยู่เลย..
อยากได้.. อยากมี.. อยากเป็น..
ก็หวังว่าเมื่อท่าน..
ได้แล้ว.. มีแล้ว.. เป็นแล้ว.. ท่านจะพ้นทุกข์
แต่ถ้าไม่เป็นดังหวัง..
ท่านก็คงจะจมอยู่กับสิ่งที่ท่านได้ ท่านมี และท่านเป็นอยู่นั่นแหละ  |
|
|
|
|
 |
|