Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ศาสนาในบรูไนและติมอร์ตะวันออก (ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
พระพุทธเจ้า
ผู้ตั้ง
ข้อความ
webmaster
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 04 มิ.ย. 2004
ตอบ: 769
ตอบเมื่อ: 13 ม.ค. 2008, 6:53 am
ศาสนาในบรูไนและติมอร์ตะวันออก
โดย ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์
ศาสนากับสังคมการเมืองในบรูไน
บรูไนเป็นรัฐอิสลามที่ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีสุลต่านฮัสสนาล โบลเคียห์ (Hassanal Bolkiah) ซึ่งเป็นองค์ที่ 29 แห่งราชวงศ์เป็นประมุข บรูไนมีประชากรประมาณ 343,000 คน โดยเกือบร้อยละ 60 อาศัยอยู่ในเมือง ประชากรประกอบด้วยเชื้อสายมาเลย์ประมาณร้อยละ 64 เชื้อสายจีนประมาณร้อยละ 20 และชนเผ่าท้องถิ่นประมาณร้อยละ 8 การค้นพบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติภายใต้แผ่นดินและผืนน้ำ ทำให้บรูไนมีรายได้ต่อหัวของประชากรประมาณ 17,500 เหรียญสหรัฐต่อปี สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บรูไนได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพุทธศาสนาจากอินเดียในสหัสวรรษแรก บันทึกของจีนได้กล่าวถึงอาณาจักรปูนี (Puni) ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะกาลิมานตัน (Kalimantan) หรือบอร์เนียว (Borneo) ที่ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการแก่พระจักรพรรดิจีนในระหว่างศตวรรษที่ 6 และ 9 ในศตวรรษที่ 14 บรูไนตกอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรมัชปาหิต (Majapahit) แห่งชวาซึ่งนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในศตวรรษที่ 15 ผู้ปกครองบรูไนทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแห่งมาลักกา จึงได้เข้ารีตนับถืออิสลาม ทำให้เกิดการแพร่ขยายศาสนาอิสลามไปตามหมู่เกาะต่างๆ จนกระทั่งถึงภาคใต้ของหมู่เกาะฟิลิปปินส์และอาณาบริเวณโดยรอบ ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ซึ่งสเปนได้นำเข้ามาเผยแพร่ภายหลังจากที่ได้ครอบครองเกาะลูซอน ทางภาคกลางของฟิลิปปินส์
บรูไนเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ แต่ถูกญี่ปุ่นยึดครองในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามบรูไนก็กลับเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง โดยสุลต่านปกครองภายใต้ที่ปรึกษาชาวอังกฤษและกองทหารกุรข่า (Gurkha) ในปี ค.ศ.1959 บรูไนได้ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเตรียมจัดให้มีการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย พรรคปาร์ไท รักยัต บรูไน (Partai Rakyat Brunei) ซึ่งต่อต้านสมบูรณาญาสิทธิราชย์และสนับสนุนประชาธิปไตย ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งแรกในปี ค.ศ.1962 แต่ข้อเรียกร้องของพรรคดังกล่าวถูกปฏิเสธ สุลต่านยังต้องการคงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไว้ พรรคปาร์ไท รักยัต บรูไน ได้ก่อการปฏิวัติขึ้น แต่ถูกกองทหารกุรข่าปราบปราม สุลต่านได้ประกาศภาวะฉุกเฉินและยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกการเลือกตั้งที่ผ่านมาและยุบพรรคปาร์ไท รักยัต บรูไน
บรูไนได้รับเอกราชในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1984
ความเป็นเอกราชมิได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของประชาชนบรูไนมากนัก พรรคการเมืองยังถูกสั่งห้าม รัฐมนตรีส่วนใหญ่ล้วนมาจากเครือพระญาติแห่งราชสำนัก และผู้ที่สุลต่านทรงวางใจ ในปี ค.ศ.1987
บรูไนได้เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)
ทำให้มีความใกล้ชิดกับชาติสมาชิกในภูมิภาคนี้ นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา มีความพยายามที่จะสร้างชาติและวัฒนธรรมภายใต้คำขวัญที่ว่า
มาเลย์-อิสลาม-กษัตริย์ (Malayu-Islam-Beraja)
แต่ปัญหามีอยู่ว่าชนชั้นกลางซึ่งนับวันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นนั้นจะยอมรับการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต่อไปอีกสักเท่าใด ในเมื่อสถานะทางการศึกษาและการเงินของชนชั้นกลางเหล่านี้มีสูงขึ้นตามลำดับอย่างต่อเนื่อง
ศาสนากับสังคมการเมืองในติมอร์ตะวันออก
โอกาสในการสร้างผลกำไรจากป่าไม้จันทร์อันอุดมสมบูรณ์ ทำให้ชาวโปรตุเกสสร้างเมืองท่าสำหรับค้าขายขึ้นบนเกาะติมอร์ในปี ค.ศ.1642 การขยายดินแดนของชาวดัตช์ในศตวรรษต่อมา ทำให้เกิดความขัดแย้งและนำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาระหว่างมหาอำนาจยุโรปทั้งสองในเวลาต่อมา โดยซีกตะวันออกของติมอร์ตกเป็นของโปรตุเกส ขณะที่ซีกตะวันตกเป็นของฮอลันดา เกาะติมอร์เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และประชาชนชาวติมอร์ประสบกับการยึดครองที่โหดร้ายในสงคราม โดยประชาชนร้อยละ 10 (ประมาณ 50,000 คน) ต้องเสียชีวิตลง โปรตุเกสซึ่งยึดครองติมอร์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1945 ได้ถอนตัวออกไปอย่างกะทันหันในปี ค.ศ.1975 สืบเนื่องจากนโยบายการคืนเอกราชแก่อาณานิคม ทำให้ติมอร์ตะวันออกขาดความพร้อมต่อการได้รับเอกราชในทันที
ปีถัดมา ค.ศ.1976 อินโดนีเซียประกาศผนวกดินแดนติมอร์ตะวันออกเป็นจังหวัดที่ 27 ของประเทศ การยึดครองต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างดุเดือดจากกองกำลังอาวุธซึ่งเรียกกันว่า เฟรทิลิน (Fretilin) ระหว่างการปกครองของอินโดนีเซียนั้น ประมาณกันว่า กว่าหนึ่งในสี่ของประชากร (ประมาณ 200,000 คน) ได้เสียชีวิตลงเนื่องจากความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บ
ระหว่างการฆ่าหมู่ที่เดลิ (Deli massacre) ในปี ค.ศ.1991 ทหารอินโดนีเซียยิงผู้ประท้วงที่ปราศจากอาวุธเสียชีวิตหลายร้อยคน โจเซ่ รามอส ฮอร์ตา (Jose Ramos Horta) ผู้นำกลุ่มเฟรทิลินที่ต่อต้านอินโดนีเซียและถูกเนรเทศไปยังต่างประเทศ กับบิชอปคาร์ลอส เบโล (Bishop Carlos Belo) ผู้นำศาสนาของติมอร์ตะวันออกซึ่งประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันในปี ค.ศ.1996
ประธานาธิบดีฮาบิบี (B. J. Habibie) แห่งอินโดนีเซียประกาศให้มีการลงประชามติ ภายใต้การดูแลของสหประชาชาติในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ.1999 เพื่อให้ติมอร์ตะวันออกเป็นเขตปกครองตนเอง โดยยืนยันว่าถ้าประชาชนติมอร์ตะวันออกไม่เห็นชอบกับข้อเสนอ ฮาบิบีก็จะให้ชาวติมอร์ตะวันออกเป็นอิสระจากอินโดนีเซีย เมื่อประชาชนร้อยละ 78 ปฏิเสธข้อเสนอของฮาบิบี หนทางสู่อิสรภาพของติมอร์ตะวันออกจึงดูสดใส
อย่างไรก็ตาม ในเดือนต่อมาหลังการลงประชามติ คลื่นแห่งความรุนแรงก็ได้เกิดขึ้น โดยนักรบติมอร์ตะวันออกที่สนับสนุนจาการ์ตาภายใต้การหนุนหลังของกองทัพอินโดนีเซีย ได้สังหารประชาชนไปกว่า 2,000 คน กองกำลังรักษาสันติภาพนานาชาติจากสหประชาชาติ จึงได้เข้าไปฟื้นฟูความสงบในปลายปี ค.ศ.1999 และเตรียมการณ์สำหรับการประกาศอิสรภาพ ในเที่ยงคืนของวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ.2002 ติมอร์ตะวันออกก็ได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ ซานานา กุสเมา (Xanana Gusmao) อดีตผู้บัญชาการกองกำลังเฟรทิลินซึ่งถูกจับจองจำในอินโดนีเซียในปี ค.ศ.1992 ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นเป็นประธานาธิบดีคนแรก ส่วน โจเซ่ รามอส ฮอร์ตา (Jose Ramos Horta) ได้เป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
ติมอร์ตะวันออกเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในภูมิภาค ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อคนเพียงปีละ 300 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น และกว่าร้อยละ 40 ของประชากรจำนวน 800,000 คน มีชีวิตอยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจน โดยมีรายได้น้อยกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน การว่างงานในเขตเมืองมีสูงถึงร้อยละ 80 ขณะที่ภาคชนบทมีเพียงชาวนาที่เพาะปลูกพอประทังชีพเท่านั้น อัตราการไม่รู้หนังสือมีถึงร้อยละ 50 และสาธารณูปโภคส่วนใหญ่ถูกทำลายเมื่อกองทหารอินโดนีเซียถอนทัพกลับไป ความหวังสูงสุดสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของติมอร์ตะวันออกในขณะนี้ ขึ้นอยู่กับสิทธิเหนือแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในทะเลติมอร์
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ หน้าต่างความจริง
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10900
_________________
ธรรมจักรดอทเน็ต
ก้อนดิน
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2004
ตอบ: 623
ตอบเมื่อ: 28 ก.พ.2008, 9:24 am
ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
พระพุทธเจ้า
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th