Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
สมาธิเพื่อการบำบัดรักษาโรค สมาธิตั้งอยู่
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
นานาสาระ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 27 ก.ย. 2006, 12:05 am
สมาธิตั้งอยู่
สมาธิเพื่อการบำบัดรักษาโรค
โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
หลักการ
การฝึกวิธีนี้เป็นการฝึกปล่อยวาง ซึ่งเป็นอุบายสำคัญในการศึกษาเรื่องของ จิต หรือ วิปัสสนา มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย เห็นว่าทุกข์เกิดจากขันธ์ 5 (รูป, เวทนา, สัญญา, สังขารและวิญญาณ) โดยเฉพาะทุกข์จากตัวรูป คือร่างกาย และเวทนา คือความเจ็บปวด ความทรมานร่างกายที่เกิดขึ้นจากโรคที่ตนเองกำลังเป็นอยู่ว่าแท้จริงแล้ว เป็นของไม่เที่ยง (อนิจจัง) สามารถตั้งอยู่หรือดำรงอยู่ไม่นาน (ทุกขัง) ต้องสลายไปเป็นความว่างเพราะไม่มีตัวตนที่ถาวร (อนัตตา) ดังนั้นถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วยสามารถเข้าไปสัมผัสได้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงจัง ได้รับรู้ความเจ็บปวดทรมานได้จริง เห็นอาการของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายได้ชัดเจนนับได้ว่าบุคคลผู้นั้นได้พบ วิชา หรือ ตัวยาที่ประเสริฐเลิศกว่ายาทั้งปวง
วิธีปฏิบัติ
หลังจากผู้ฝึก ผู้ป่วย ได้คลายอารมณ์ปล่อยวาง ความนึก ความคิดที่เป็นอนาคตเป็นอดีตออกไปได้พอสมควรแล้ว ความรู้สึกหรือจิตของผู้ฝึกจะถูกดึงไปยังอาการของร่างกายที่เกิดขึ้นเด่นชัดในขณะนั้น เช่นอาการปวดศีรษะ เจ็บเข่า เจ็บขา เจ็บหน้าอกด้านขวาเนื่องจากเป็นมะเร็งทรวงอด ฯลฯ ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย กำหนดความรู้สึก หรือจิตใจให้นิ่งอยู่กับจุดบกพร่องนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นศีรษะ เข่า ขา หรือหน้าอกด้านขวา ไม่แส่ส่ายหรือส่งความรู้สึกไปยังที่อื่นๆ จิตตั้งมั่นอยู่กับจุดที่มีปัญหาที่เดียวพร้อมกับกำหนดหรือจี้ลงไปว่า ตั้งอยู่ๆๆ จนกระทั่ง ความเจ็บ ความปวด (ทุกขัง) ค่อยๆ คลายลงและละลายกลายเป็นความว่าง (อนัตตา) ได้ในที่สุด
ถ้าความเจ็บ ความปวด หรือความทรมานร่างกาย (ทุกขัง) มีมากจนรู้สึกได้ว่าเป็นก้อนใหญ่ หนักมาก ผู้ฝึก ผู้ป่วยจะต้องมีความเพียรกำหนดตั้งอยู่ๆๆ จี้ลงไปที่จุดนั้นไปเรื่อยๆ อาจจะใช้เวลานานเป็น 1 วัน 2 วัน หรืออาจจะเป็นเดือน ไม่สร้างตัณหาคือความอยากหาย จิตตั้งมั่นอยู่ ณ จุดเดียวที่กำหนดอยู่ จนกระทั่งความเจ็บ ความปวด (ทุกขัง) ที่มีเป็นก้อนใหญ่ จะค่อยๆ ละลายเล็กลงๆ จนหมดไปกลายเป็นสภาพว่างเปล่า (อนัตตา)
ในกรณีที่ความเจ็บความปวด มีเพิ่มมากขึ้นจน ผู้ฝึก ผู้ป่วยไม่สามารถกำหนดตั้งอยู่ๆๆ ได้อีกต่อไปให้ ผู้ฝึกเปลี่ยนอุบายเพียงเล็กน้อย โดยการกำหนดจี้ลงไปยังจุดของความเจ็บปวดนั้นว่าตายๆๆ พร้อมทั้ง สร้างความรู้สึกว่า ยอมตาย ไม่หนี ทำไปเรื่อยๆ และไม่ใส่ตัณหา คือความอยากหายเจ็บ หายปวด กำหนดตายๆๆ จนกระทั่งผู้ฝึก มีความรู้สึกว่าลมหายใจเบาลงๆ มีอาการอึดอัด เหมือนไม่มีลมหายใจจริงๆ ผู้ฝึกไม่ต้องกลัว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น คืออาการของการดับ ไม่ใช่การตาย เป็นเพียงการดับของเวทนาที่ได้เกิดขึ้น ปล่อยให้ร่างกายดับลงไป ความเจ็บ ความปวดจะหมดสิ้นไปด้วยเช่นกัน จากนั้นผู้ฝึก ผู้ป่วย จะรู้สึกตัวคืนกลับมาเป็นปกติดังเดิม
คุณประโยชน์
1. ผู้ฝึก ผู้ป่วย จะเห็นลำดับขั้นตอนของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายของขันธ์ได้อย่างละเอียดชัดเจน และจะตระหนักได้ด้วยตนเองว่า การแก้ปัญหา หรือการหาวิธีการเพื่อเอาชนะความเจ็บ ความปวดที่เกิดขึ้นกับรูปหรือร่างกายนั้น เป็นการแก้ที่ไม่ตรงกับเหตุ สามารถแก้ไขได้เพียงชั่วคราว คือแค่ชาติเดียวเท่านั้น การแก้ไขที่ถูกต้องและได้ผลอย่างถาวรและเป็นการแก้ที่เหตุ คือทำอย่างไรกิเลสจึงจะหมด ไม่เป็นเหตุให้กลับไปเวียนว่ายตายแล้วเกิดอยู่เนืองๆ
2. เป็นการละลายอุปทานความคิด ความยึดติดต่างๆ ถ้าผู้ฝึกได้ปฏิบัติ อย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกิดปัญญาได้ดวงตาเห็นธรรมถึงความหลุดพ้นในที่สุด
ข้อแนะนำ
การฝึกสมาธิวิธีนี้ อาจจะใช้เวลานานเป็นวัน เดือน ว่าตัวทุกข์จะละลายหรือดับลงไปได้ ผู้ฝึก ผู้ป่วย ต้องมีความอดทน และความเพียรให้มาก ความเจ็บปวดของร่างกายที่มีอยู่เปรียบเสมือนปมเชือกที่ถูกผูกจนแน่นมีอยู่เต็มทั่วร่างกาย ผู้ฝึก ผู้ป่วยจะต้องมีความเพียรในการแก้หรือคลายปมเชือกเหล่านั้นทีละปมๆ จนกระทั่งสามารถคลายหรือแก้ได้หมดทุกปม
อุปสรรค
ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วย มีความเจ็บปวดมากเท่าๆ กันในหลายๆ ส่วนของร่างกาย จะทำให้ความรู้สึก (จิต) ตั้งมั่นอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งได้ยากให้พยายามกดหรือจี้ความรู้สึก (จิต) ลงยังจุที่ต้องการให้ได้
http://www.geocities.com/healthmeditation/healthmeditation/health.html
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
นานาสาระ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th