ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
amai
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435
|
ตอบเมื่อ:
10 พ.ย.2004, 5:26 pm |
  |
หมูเจ้าสำราญ
นิทานธรรม ฉบับพิเศษ
จัดพิมพ์โดย ธรรมสภา
กาลครั้งหนึ่ง สมัยก่อนพุทธกาล ณ เมืองพาราณสีแคว้นกาสี ตรงกับรัชกาลของพระเจ้าพรหมทัต ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายเศรษฐีคนหนึ่ง เลี้ยงวัวไว้ใช้งานสองตัว กับหมูเจ้าสำราญตัวหนึ่งชื่อ “มุณิกะ” ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นวัวชื่อ “มหาโลหิตะ” พระอานนท์เกิดเป็นวัวชื่อ “จูฬโลหิต”
วัวมหาโลหิตะกับวัวจูฬโลหิต ต่างก็เป็นพี่น้องกัน วัวมหาโลหิตะเป็นพี่ วัวจูฬโลหิตะเป็นน้อง วัวทั้งสองมีเจ้าของเป็นคนเดียวกันกับหมูมุณิกะ
วัวกับหมูแม้จะอยู่กับเจ้าของคนเดียวกัน แต่ความเป็นอยู่นั้นแตกต่างกันมาก วัวมหาโลหิตะกับวัวจูฬโลหิตะถูกใช้ให้ทำงานหนักกลางแดดฝนเกือบทั้งวัน เวลาถึงคราวกินก็ได้กินแต่ข้าวลีบ ส่วน หมูมุณิกะ ไม่ต้องทำงานหนักนอนพลิกไปพลิกมาอยู่ตามใต้ถุนบ้าน หรือไม่ก็ออกไปหากินนอกบ้านตามสบาย ถึงเวลากินอาหารที่บ้านก็ได้กินอาหารดีๆ
ในวันหนึ่ง ขณะวัวทั้งสองกำลังพักอยู่ วัวจูฬโลหิตะผู้เป็นน้อง พูดขึ้นว่า
“พี่มหาโลหิตะ น่าอิจฉาเพื่อนมุณิกะนะ ขณะที่เราทั้งสองต้องทำงานหนัก แต่เขากลับสบาย”
“อย่าอิจฉาเขาเลยน้องจูฬโลหิตะ เรากับเขาเกิดต่างเผ่าพันธุ์กัน เราเกิดมาเพื่อทำงานหนัก แต่เขาเกิดมาเพื่อกินแล้วก็นอน อย่าคิดอะไรเลย ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดดีกว่า”
วัวสองพี่น้องมักคุยกันอย่างนี้อยู่เสมอ ซึ่งฝ่ายที่เริ่มต้นคุยก่อนมักเป็นวัวจูฬโลหิตะ ทั้งนี้เป็นเพราะเห็นหมูมุณิกะแล้วอดนำมาคิดเปรียบเทียบไม่ได้ วัวมหาโลหิตเข้าใจความรู้สึกของวัวน้องชายได้ดีจึงคอยปลอบอยู่ตลอดเวลา
เจ้าของวัวกับหมูมีฐานะความเป็นอยู่ถึงขั้นเศรษฐี ส่วนภรรยาของเขาได้คอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี
สองสามีภรรยามีลูกสาวอยู่คนหนึ่งรูปร่างสวยงามอายุเพิ่งรุ่นสาว ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ขยันขันแข็งช่วยทำงานบ้านงานเรือนมิได้ขาด เป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่มาก แม้แต่คนในหมู่บ้านที่ได้รู้เห็น ยังกล่าวสรรเสริญถึงความดีงามของลูกสาวเศรษฐีอยู่เสมอๆ
อยู่มาวันหนึ่งมีเศรษฐีอีกตระกูลหนึ่ง ได้ยินข่าวร่ำลือของนาง ต้องการอยากได้นางมาเป็นลูกสะใภ้ จึงเดินทางมาสู่ขอนางให้กับลูกชายของตน
“เพื่อน ตระกูลของเราก็ทัดเทียมกัน ท่านเป็นเศรษฐี ข้าพเจ้าก็เป็นเศรษฐี ท่านมีลูกสาว ข้าพเจ้ามีลูกชาย หากตระกูลของเราทั้งสองได้เกี่ยวดองกันเราจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครนะ” เศรษฐีจากต่างตระกูลเปิดฉากเจรจา
“เราสองคนเป็นผู้ใหญ่อาจจะมองว่าดีแต่ในแง่ของเรา แต่ไม่รู้ว่าเด็กๆ เขาจะคิดกันยังไง” เศรษฐีลูกสาวสวยแบ่งรับแบ่งสู่
“ลูกสาวท่านคิดยังไงไม่รู้ แต่ลูกชายข้าพเจ้าแอบรักลูกสาวท่านมานานแล้ว ที่มาวันนี้ก็จะมาขอลูกสาวท่านให้ลูกชายข้าพเจ้า”
“ข้าพเจ้าคิดว่าควรจะให้เด็กได้รู้จักกันให้มากไปกว่านี้ไม่ดีหรือ”
(มีต่อ) |
|
|
|
    |
 |
amai
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435
|
ตอบเมื่อ:
10 พ.ย.2004, 5:32 pm |
  |
“โฮ่ย...เขารู้จักกันมามากพอแล้ว เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก เราเองก็ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน ถึงจะได้มาดูใจกันอีก”
เศรษฐีลูกสาวสวย เมื่อเห็นเศรษฐีจากต่างตระกูลรุกหนัก และไม่ทราบว่าจะตัดสินใจอย่างไร จึงบอกให้คนรับใช้เรียกลูกสาวมาหา
“ลูกพ่อ ลุงเศรษฐีมาขอลูกให้แต่งงานกับลูกชายเขา ลูกจะว่ายังไง” เศรษฐีบอกลูกสาวพลางมองดูหน้าหล่อน
“คุณพ่อ” ลูกสาวเศรษฐีพูดกับบิดา “หนูเป็นสมบัติของคุณพ่อ แล้วแต่คุณพ่อจะตัดสินใจ หนูทำตามคุณพ่อได้ทุกอย่าง”
เศรษฐีลูกสาวสวยยิ้มที่มุมปาก หลังจากได้ยินลูกสาวให้โอกาสตนเช่นนั้น เขามองหน้าลูกสาวแล้วหันมาทางเศรษฐีจากต่างตระกูลพร้อมกับพูดว่า
“ท่านเศรษฐี เมื่อลูกสาวให้ข้าพเจ้าตัดสินใจ ข้าพเจ้าก็ยินดียกเธอให้แก่ลูกชายท่าน ตามที่ท่านขอ”
เศรษฐีจากต่างตระกูลดีใจมาก ที่ขอลูกสาวเศรษฐีให้ลูกชายได้สำเร็จ เขาจับมือเศรษฐีนั้นไว้แน่นพลางกล่าวขอบคุณ และให้สัญญาว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง
จากนั้น เศรษฐีทั้งสองก็ตกลงหมั้นหมายกัน และกำหนดวันแต่งงานไว้เสร็จสรรพ ครั้นแล้วเศรษฐีจากต่างตระกูลก็ลากลับไป
ฝ่ายเศรษฐีลูกสาวสวย ครั้นเศรษฐีจากต่างตระกูลกลับไปแล้ว ก็เรียกภรรยามาปรึกษาหารือกันถึงเรื่องการจัดงานแต่งงานให้สมกับฐานะของตน
“วันแต่งงานของลูกสาวเรา ซึ่งจะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าจะมีคนมาเยอะ ควรที่จะต้องจัดหาอาหารอย่างดีมาเลี้ยงรับรองแขกเหรื่อที่มาในงาน”
เศรษฐีผู้สามีกล่าวกับภรรยา
“ดังนั้นพี่ขอมอบงานทางด้านการจัดทำอาหารในน้องดูแล”
“แล้วเราจะทำอาหารอะไรเลี้ยงเขาดีล่ะ”
“น้องว่าทำแกงมัสมั่นหมูเลี้ยงคงจะดี” ภรรยาเสนอแนะ
“พี่ว่าเข้าท่าดีเหมือนกัน” เศรษฐีเห็นด้วย
เมื่อตกลงกันเช่นนั้นแล้ว สองสามีภรรยาก็ช่วยกันเลี้ยงหมูให้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยให้กินอาหารชนิดซึ่งเมื่อกินแล้วจะทำให้ได้เนื้อขึ้น หมูมุณิกะเองก็นึกกระหยิ่มอยู่ในใจที่ได้กินอาหารชนิดดี โดยที่ตัวเองหารู้ไม่ว่าจะถูกฆ่าเอาเนื้ออยู่อีกไม่นานแล้ว
“พี่มหาโลหิตะ เวลานี้สังเกตเห็นหมูมุณิกะไหม เดี๋ยวนี้อ้วนพีขึ้นเรื่อยๆ แต่ละมื้อเห็นกินอาหารดีๆ” วัวจูฬโลหิตะฟ้องวัวมหาโลหิตะ
“จูฬโลหิตะน้องรัก...” วัวมหาโลหิตะปลอบวัวจูฬโลหิตะ
“น้องอย่าริษยาหมูมุณิกะเลย เพราะขณะนี้เขากำลังกินอาหารที่เป็นเหตุให้ตัวเขาเองต้องตาย พี่อยากให้น้องพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้เถิด เราได้กินข้าวลีบกันเป็นประจำมันก็ดีแล้ว เพราะมันจะทำให้น้องอายุยืน”
วัวจูฬโลหิตไม่เข้าใจความหมายที่วัวมหาโลหิตะบอกนัก แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามเพราะเคารพในพี่ชายนั่นเอง แต่หลังจากนั้นมาใกล้ถึงวันงาน วัวจูฬโลหิตะก็เข้าใจ เพราะได้เห็นคนฆ่าหมูมาจับหมูมุณิกะไปฆ่า แล้วชำแหละเอาเนื้อไปปรุงอาหารเลี้ยงแขกที่มางานวันแต่งงานของลูกสาวเศรษฐี
“พี่มหาโลหิตะ น่าสงสารหมูมุณิกะจังเลยนะ อยู่ดีๆ ก็ถูกเขาจับฆ่ากิน” หมูจูฬโลหิตะปรารภกับวัวมหาโลหิตะ
“น้องรัก...” วัวมหาโลหิตะเอ่ยขึ้น
“น้องเข้าใจตามที่พี่บอกแล้วใช่ไหม เศรษฐีเลี้ยงหมูมุณิกะจนอ้วนก็เพราะต้องการเนื้อ ดังนั้นอาหารที่หมูมุณิกะกินเข้าไปเท่ากับไปช่วยเร่งให้ตัวเองอายุสั้น”
“เข้าใจแล้ว พี่มหาโลหิตะ” วัวจูฬโลหิตะรับคำ ก่อนที่จะก้มหน้ากินข้าวลีบ หญ้าแห้ง และฟางแห้งอย่างที่เคยกินมาต่อไป
นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าหลงระเริงอยู่กับความสุขสบายที่ได้รับจนเกินไป เพราะความสุขสบายนั้นอาจนำภัยพิบัติมาให้ได้ เหมือนอย่างอาหารชนิดดีนำความตายมาให้หมูมุณิกะฉะนั้น
........................ เอวัง ........................ |
|
|
|
    |
 |
^^^
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 ต.ค.2006, 7:32 am |
  |
|
|
 |
suvitjak
บัวบาน

เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen
|
ตอบเมื่อ:
12 มิ.ย.2008, 2:34 pm |
  |
ขอบคุณครับ  |
|
_________________ ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน |
|
  |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 9:25 pm |
  |
สาธุ วัวฉลาด  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|