Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
พระนางมัลลิกาเทวี (อุบาสิกา)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
ผู้ตั้ง
ข้อความ
admin
บัวทอง
เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886
ตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2006, 3:33 am
พระนางมัลลิกาเทวี
ในกรุงสาวัตถีมีธิดาช่างดอกไม้ผู้ใหญ่คนหนึ่ง เป็นผู้มีรูปร่างสวยงามยิ่ง เป็นผู้มีบุญมาก มีอายุ ๑๖ ปี อยู่มาวันหนึ่ง ธิดาของช่างดอกไม้นั้นเอาขนมถั่วใส่กระเช้าดอกไม้ ออกไปที่สวนดอกไม้ ก็ได้พบองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากับทั้งพระภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครก็ดีใจ จึงเอาขนมเหล่านั้นใส่ลงในบาตของพระศาสดา ไหว้แล้วก็เกิดปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ แล้วยืนอยู่
เมื่อสมเด็จพระบรมครูทอดพระเนตรดูแล้วทรงยิ้ม ก็ตรัสว่า
อานนท์ กุมาริกานี้จักได้เป็นอัครมเหสีของพระราชาโกศลในวันนี้ ด้วยผลที่ถวายขนมถั่ว ดังนี้แล้วก็เสด็จไป
ฝ่ายธิดาช่างดอกไม้นั้น ไปถึงสวนดอกไม้แล้ว ก็ร้องแพลงเก็บดอกไม้ไป ในวันนั้นเอง พระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ทรงสู้รบกับพระเจ้าอชาตศัตรู เวลาพ่ายแพ้ก็เสด็จหนีขึ้นทรงม้าเสด็จมา ได้ทรงสดับเสียงร้องแพลงแห่งกุมาริกานั้น ก็มีพระทัยหฤทัยปฎิพัทธ์
พระบาทท้าวเธอจึงเสด็จไปที่สวนดอกไม้ทรงทราบว่ากุมาริกานั้นยังไม่มีสามี จึงโปรดให้ขึ้นนั่งบนหลังม้า ห้อมล้อมด้วยพลนิกายเสด็จเเข้าสู่พระนคร แล้วโปรดให้ส่งกุมาริกานั้นกลับไปสู่เรือนตระกูล พอถึงเวลาเย็นก็โปรดให้รับมาด้วยสักการะใหญ่ อภิเษกบนกองแก้วแล้วตั้งให้เป็นพระอัครมเหสี
พระนางมัลลิกานั้น ได้เป็นที่โปรดปรานของพระราชา เป็นที่คุ้นเคยกระทั่งพระพุทธเจ้าเป็นต้น ปรากฎพระนามว่า
พระนางมัลลิกาเทวี
ดังนี้
.............................................................
คัดลอกมาจาก ::
http://www.larnbuddhism.com/
_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
admin
บัวทอง
เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886
ตอบเมื่อ: 02 ต.ค.2006, 4:56 pm
พระนางมัลลิกา พระนางเทวีผู้ชาญฉลาด
:: ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก
=========================
นางมัลลิกา ที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนามีอยู่
๒ ท่าน
คือ
พระนางมัลลิกา ผู้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล
กับ
มัลลิกา ผู้เป็นภริยาของพันธุละเสนาบดี พระสหายสนิทของพระเจ้าปเสนทิโกศล
จะนำมาเล่าขานสู่กันฟังทั้งสองท่าน
วันนี้ขอเริ่มด้วยพระนางมัลลิกาก่อน
เธอเป็นธิดาของนายมาลาการ (ช่างทำดอกไม้)
เธอจะออกไปสวน ไปเก็บดอกไม้มาให้พ่อทำพวงมาลัย หรือจัดดอกไม้เป็นระเบียบไว้ขายเป็นประจำ
เธอได้ถวายดอกไม้พระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่อายุยังน้อย
ช่วงที่เกิดเรื่องราวนี้ เธอมีอายุอานามประมาณ ๑๖ ปี ยังสาวรุ่น น่ารัก ขณะเก็บดอกไม้อยู่ เธอก็ฮัมเพลงไปพลางอย่างมีความสุข หารู้ไม่ว่ามีสุภาพบุรุษวัยรุ่นพ่อ ยืนม้า อยู่ใกล้ๆ ฟังเพลงเพลินอยู่ พอเธอร้องจบก็ปรับมือชื่นชม
สาวน้อยตกใจสีหน้าขุ่นเคืองที่มีคนมาแอบฟังเพลง เธอจึงเอ่ยขึ้นว่า ไม่มีมารยาท
สุภาพบุรุษหนุ่มใหญ่ (ไม่โสด) ขออภัยเธออย่างสุภาพ ทำให้นางหายเคือง เห็นเขาท่าทางอิดโรย จึงเข้าไปจูงอาชาพาเขาเข้าไปยังร่มไม้ใกล้ๆ
เขาเป็นใครไม่ทราบ แต่เห็นเขากิริยาท่าทางไว้ใจได้ จึงนั่งลงสนทนากับเขา รู้สึกมีความอบอุ่นอย่างประหลาดเมื่ออยู่ใกล้ๆ เขา
ฤๅว่า กามเทพได้ซุกซนแผลงศรเข้าเสียบหัวใจน้อยๆ ของเธอแล้วก็ไม่รู้
แล้วเขาก็รวบรัดว่า แล้วจะมาเยี่ยมใหม่ ว่าแล้วเขาก็ขึ้นอาชาควบหายไป
สองสามวันผ่านไป ได้มีเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง เชิญนางมัลลิกาธิดานายมาลาการเข้าวัง นั่นแหละเธอจึงได้รู้ว่า สุภาพบุรุษหนุ่มใหญ่ที่พบกับเธอวันนั้นมิใช่สามัญชน หากแต่เป็นเจ้าชีวิตของประชากรทั่วประเทศ
พระเจ้าปเสนทิโกศล
ได้รับนางมาไว้ในพระราชวัง ทรงอภิเษกสมรสกับเธอ นัยว่าทรงสถาปนาเธอเป็นพระมเหสีด้วย จะเป็นมเหสีเบอร์ไหนไม่ทราบชัด
ในอรรถกถาธรรมบทก็ว่าเป็นถึงอัครมเหสี แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลมาถึงวัยปูนนี้ก็ไม่น่าจะว่างตำแหน่งอัครมเหสีไว้ก่อนถึงนางมัลลิกา เพราะช่วงที่ได้พบนางมัลลิกา ก็เป็นระยะเวลาที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงแพ้ศึกสงครามกับพระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นหลานมาหยกๆ
พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้นเป็นพระสหายกับพระเจ้าพิมพิสาร พระราชบิดาของพระเจ้าอชาตศัตรู
ได้ ดอง กับพระเจ้าพิมพิสาร คือ
ต่างฝ่ายก็อภิเษกกับพระกนิษฐภคินี (น้องสาว) ของกันและกัน
พระเจ้าปเสนทิโกศลกับพระเจ้าอชาตศัตรูจึงเป็น ลุง-หลาน กัน เมื่อคราวที่พระองค์ต้องพเนจรมาเดียวดายมาพบมัลลิกานี้ เพิ่งจะพ่ายสงครามกับพระเจ้าหลาน
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพิโรธที่อชาตศัตรูยึดราชบัลลังก์พระเจ้าพิมพิสาร แถมยังทำปิตุฆาต (ฆ่าพ่อ) จึงยกทัพไปรบ ตั้งใจว่าจะสั่งสอนพระเจ้าหลานให้สำนึก แต่บังเอิญแพ้พระเจ้าหลาน
ตำราว่ารบหลายครั้งและแพ้ทุกครั้งเสียด้วย
ฝีมือสู้พระเจ้าหลานไม่ได้ บางทีคงไม่ใช่ฝีมือดอก แก่แล้วพละกำลังก็ถดถอยเป็นธรรมดาครับ
มเหสีอีกองค์หนึ่งคือ วาสภขัตติยา ธิดาเกิดจากนางทาสีของพระเจ้ามหานาม แห่งศากยวงศ์
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลขอขัตติยนารีจากพวกศากยะ มหานามก็เสนอให้ส่งธิดาของตนไปให้ เพื่อตัดปัญหาการปะปนกับสายเลือดอื่น (พวกศากยะทะนงในสายเลือดของตนมาก จะไม่ยอมให้ปะปนกับเผ่าอื่น)
พระนางวาสภขัตติยานี้ อรรถกถาธรรมบทก็ว่าเป็นอัครมเหสี
เขียนคนละทีก็เลยขัดแย้งกันเองอย่างนี้แหละครับ ผมจึงไม่ใส่ว่าองค์ไหนเป็นอัครมเหสี พูดกลางๆ ว่าเป็น มเหสีองค์หนึ่ง สบายใจกว่าเยอะเลย
พระนางมัลลิกาเป็นสตรีที่มีความเฉลียวฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี เป็นที่รักและชื่นชมของพระสวามีมาก พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้นแม้ว่าในระยะหลังนี้จะหันมาสนใจในพระพุทธศาสนา ก็ยังมีความเชื่อลัทธิดั้งเดิมบางอย่างอยู่
เช่น เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีบูชายัญว่า ถ้าทำยัญพิธียิ่งใหญ่แล้วจะมีความสุขความเจริญ มีอำนาจวาสนา เป็นที่เกรงขามของพระราชามหากษัตริย์ทั่วทิศานุทิศ
ครั้งหนึ่งพระองค์รับสั่งให้ตระเตรียมพิธีบูชายัญยิ่งใหญ่ มีการฆ่าสัตว์อย่างละ ๗๐๐ ตัวเซ่นสรวงด้วย พระนางมัลลิกานี่แหละเป็นผู้ทัดทานพระองค์มิให้ทำบาปมหันต์ปานนั้น ได้แนะนำให้พระสวามีเข้าเฝ้า เพื่อขอคำแนะนำจากพระพุทธองค์ ในที่สุดพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงเลิกพิธีบูชายัญ
ความเฉลียวฉลาดของนางมัลลิกายังมีอีกมาก
เรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศลแข่งกับชาวเมืองทำบุญกัน ประชาชนเขาทำทานอันประณีตและมโหฬารมาก พระเจ้าปเสนทิโกศลจนพระทัยว่าจะทำอย่างไรจึงจะมโหฬารและแปลกใหม่กว่าประชาชน
ก็ได้พระนางมัลลิกานี่แหละแนะนำให้ทำ อสทิสทาน (ทานที่ไม่มีใครเหมือน หรือ ทานที่ไร้เทียมทาน)
รายละเอียดมีอย่างไรขอผ่านไปก่อนก็แล้วกัน
พระนางมัลลิกาไม่มีพระราชโอรส
เมื่อพระนางทรงพระครรภ์แก่จวนจะมีประสูติกาล พระสวามีทรงปรารถนาอยากได้พระราชโอรส ตั้งความหวังไว้มากทีเดียว แต่พอได้พระราชธิดา พระราชบิดาถึงกับเสียพระทัยมาก เข้าเฝ้าปรับทุกข์กับพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ตรัสปลอบพระทัยว่า ลูกสาวหรือลูกชายไม่สำคัญต่างกันดอก เพศมิใช่เป็นเครื่องแบ่งหรือบอกความแตกต่างในด้านความรู้ความสามารถ สตรีที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ประพฤติธรรม และเป็นมารดาของบุคคลสำคัญ ย่อมประเสริฐกว่าบุรุษอีกมากมาย
อีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามพระนางมัลลิกาว่า พระนางรักพระองค์ไหม รักมากเพียงไร ก็ตามประสาสามีภรรยา เมื่ออยู่ด้วยกันก็มักจะขอความมั่นใจว่า อีกฝ่ายยังคงรักตนเหมือนเมื่อครั้งยังข้าวใหม่ปลามันไหม คำตอบของพระมเหสีทำให้พระสวามีชะงักงันไปครู่หนึ่ง
พระนางตอบว่า พระนางรักตนเองมากกว่าสิ่งใด
ทรงน้อยพระทัยที่พระมเหสีไม่รักพระองค์เสมอเหมือนชีวิตของนาง เมื่อมีโอกาสเหมาะจึงกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบถึงบทสนทนาของพระองค์กับพระมเหสี ทำนอง ฟ้อง ว่าพระนางมัลลิกาของพระพุทธองค์ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เรื่องแล้วนะ อะไรทำนองนั้น
พระพุทธองค์กลับตรัสว่า มัลลิกาพูดถูกแล้ว มหาบพิตร เพราะบรรดาความรักทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีความรักใดจะเท่าความรักตนเอง มัลลิกาเธอพูดจริง พูดตรงกับใจของเธอ มหาบพิตรควรจะชื่นชมมเหสีที่ยึดมั่นในสัจจะ (ความจริง) เช่นนี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงค่อยคลายความน้อยเนื้อต่ำใจลง
พระนางมัลลิกาเป็นพุทธสาวิกาผู้มั่นคงในธรรม และช่วยคนอื่นให้เข้าถึงธรรมด้วย
ในฐานะพระมเหสีของพระราชา พระนางก็เป็นช้างเท้าหลัง ที่ช่วยประคับประคองให้ เท้าหน้า ก้าวไปอย่างมั่นคง
ในฐานะที่เป็นพระสาวิกาของพระพุทธเจ้า พระนางก็เป็นพระสาวิกาพึ่งตนเองได้ในทางธรรม และช่วยให้ผู้อื่นโดยเฉพาะพระสวามีพึ่งตัวเองได้ด้วย
จึงเป็นสตรีตัวอย่างที่ดีท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
คัดบางตอนมาจาก...หนังสือ พุทธสาวก พุทธสาวิกา
ประมวลประวัติพระเถระพระเถรี อุบาสกอุบาสิกาสมัยพุทธกาล
เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
=========================
อุบาสิกา ในสมัยพุทธกาล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46456
_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
admin
บัวทอง
เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886
ตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2015, 5:31 pm
พระนางมัลลิกาเทวี
ประพันธ์โดย sweet lemon
สมัยหนึ่งซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเข้าประทับ ณ พระวิหาร-
เชตวันนั้นนามตามตำนาน
เป็นสถานใกล้พระนครสาวัตถี
ณ กาลนั้นมีพระนางมัลลิกา
เสด็จมาทูลถามความถึงที่
หญิงบางคน..สูงศักดิ์..ทรัพย์มากมี
แต่รูปร่างไม่ดี..ผิวพรรณทราม
และเหตุใดหญิงบางคนบนโลกนี้
ผิวพรรณดี..มีทรัพย์มาก..หลากล้นหลาม
พร้อมสูงศักดิ์..ทั้งรูปร่าง..สง่างาม
พระองค์เริ่มตอบความที่ถามมา ฯ
สุภาพสตรีบางคนบนโลกนี้
เป็นผู้มี..จิตใจ..ไป่ริษยา
กระด้างกระเดื่อง..ฉุนเฉียว..เกรี้ยวโกรธา
อีกข้าวปลา..ไม่ทานแก่..สมณพราหมณ์
เมื่อเขาละจากอัตภาพนั้นไป
เกิดชาติใด..ต่ำศักดิ์..จักถูกหยาม
อีกเป็นผู้..ที่มี..ผิวพรรณทราม
รูปไม่งาม..ตามด้วยอับ..ทรัพย์ขัดสน ฯ
ดูก่อนพระนางมัลลิกาเทวี
บางสตรี..ฉุนเฉียว..เกี่ยวทุกหน
กระด้าง..กระเดื่อง..เคืองขัดคน
อีกมากล้น..โกรธขึ้ง..ซึ่งสันดาน
แต่เป็นผู้..ไม่มีจิต..ริษยา
ในลาภา..สักการะ..ทุกสถาน
เป็นผู้มัก..เอื้อเฟื้อ..เกื้อหนุนทาน
ให้อาหาร..สมณะ..พราหมณ์ประจำ
ครั้นเมื่อเขาละพรากจากโลกไป
เกิดชาติใด..ผิวพรรณทราม..มิงามขำ
อีกรูปร่าง..ไม่ดี..เพราะมีกรรม
แต่ทานทำ..ส่งสูงศักดิ์..ทรัพย์มากมี ฯ
บางคนนั้น..ไม่ฉุนเฉียว..ไม่เกรี้ยวโกรธ
อีกไม่โปรด..ขัดเคือง..เรื่องหมองศรี
ไม่กระเดื่อง..กระด้าง..วางตัวดี
จิตไม่มี..ริษยา..อิจฉาใคร
อีกชอบทำ..ทานแก่..สมณะ
อีกมิเคย..ลดละ..เรื่องบุญให้
อีกกุศล..สนช่วย..ด้วยเต็มใจ
เมื่อละจาก..โลกไป..ไร้กังวล
เกิดชาติหน้า..ฉันใด..ได้สุขี
ผิวพรรณดี..ร่างงาม..สมตามผล
ทั้งสูงศักดิ์..หลากทรัพย์..ไม่อับจน
กรรมดาลดล..ชั่วดี..ที่สร้างมา ฯ
เมื่อพระนางฯ..ได้สดับ..กับคำตอบ
ก็ชื่นชอบ..หมอบกราบ..รับทราบหนา
ทั้งกราบทูล..ถึงกรรม..เหตุนำพา
พระนางว่า..มีทั้งทุกข์..และสุขใจ
เมื่อชาติอื่น..หม่อมฉันคง..หลงโกรธเกรี้ยว
อีกฉุนเฉียว..กระด้างกระเดื่อง..ทุกเรื่องไซร้
พอชาตินี้..จึงมีเหตุ..อาเพศภัย
รูปร่างไร้..ความงาม..ทรามผิวพรรณ
เหตุชาตินี้..ที่สูงศักดิ์..แลทรัพย์มาก
คงมาจาก..ชาติอื่น..ยื่นสุขสันต์
สร้างกุศล..บุญทาน..ทุกวารวัน
กรรมดีพา..หม่อมฉัน..นั้นเจริญ
๚ะ๛
...จบบริบูรณ์...
_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th