ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
แคน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 ส.ค. 2006, 6:12 am |
  |
วันนี้ไปเห็นหนังสือขายดีเล่มหนึ่ง เขียนโดยนักธุรกิจที่ประสพความสำเร็จจากการเดินตามรอยพระพุทธเจ้า พอผมเปิดไปดูหน้าแรกเป็นรูปซึ่งผู้เขียนยืนยันว่าเป็นรูปถ่ายจริงของพระพุทธเจ้า ได้รับการยืนยันจากว่าเป็นรูปถ่ายจริงจากพระอรหันต์รูปหนึ่ง (มีรูปพระอรหันต์รูปนี้ในหน้าถัดไปด้วย) รูปนี้ที่จริงผมว่าทุกคนน่าจะเคยเห็นมาก่อน เป็นรูปพระพุทธเจ้าเกล้ามวยผม นั่งขัดสมาธิ ยกมือขวาขึ้น สมัยก่อนผมคิดว่ารูปนี้เป็นรูปวาด เพิ่งจะได้ทราบหนังสือเล่มดังกล่าวว่าเป็นรูปถ่ายจริงๆ จากการอธิษฐาน แล้วถ่ายต้นพระศรีมหาโพธิ์
ผมเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าในรูปดังกล่าว จึงมีผมยาวเกล้ามวยเหมือนพระพุทธรูปทั่วไป แทนที่จะโกนผมแบบพระภิกษุในปัจจุบัน สรุปแล้วพระพุทธเจ้าไว้ผมยาวเหมือนในรูปหรือไม่ครับ |
|
|
|
|
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
14 ส.ค. 2006, 7:03 am |
  |
นี้เป็นรูปจริงของพระพุทธเจ้า พระวินัยที่พระองค์บัญญัติ นั้นทรงบัญญัติให้สาวก กระทำตามครับ เพราะทรงมีเหตุผลอันสมควร ที่ทรงบัญญัติ เช่นนั้น
เช่นทรงบัญญัติ ห้ามภิกษุ แทรงฤทธิ์ นี่ท่านก็บัญญัติ เฉพาะ สาวกไม่ให้กระทำ
ส่วนพระองค์ ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ ได้เพราะมีเหตุผล อันสมควร คือเป็นพุทธประเพณี
ส่วนเรื่องของทรงผม ผมคิดว่าถ้าพระพุทธเจ้า ทรงปลงผม แบบ ภิกษุทั่วไปแล้ว ชาวบ้านอาจจะ
แยกไม่ออกว่า รูปไหนคือพระพุทธเจ้า ครับ
พูดง่ายๆคือท่านห้ามเฉพาะสาวกเท่านั้นครับ |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
ชาวพุทธ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 ส.ค. 2006, 2:03 pm |
  |
ผมว่ารูปนี้ไม่น่าจะใช่รูปจริงครับ การที่ใครจะพบเห็นกายของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าปริพนิพพานไปแล้ว และตัวพระพุทธเจ้าไม่น่าจะไว้ผมเพราะจากการอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าพบว่า เวลามีคนต้องการไปหาพระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถแยกระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระสาวก หรือตอนที่องคุลีมานพบพระพุทธเจ้า ก็ได้มีการแสดงลักษณะของพระพุทธเจ้าว่าเป็น ภิกษุโล้น แล้วถ้าดูจากรูปก็พบว่าลักษณะของรูปไม่เข้าลักษณะของมหาบุรุษ เช่นเท้ามีลักษณะเว้ากลางและหนักส้น แสดงว่าเป็นคนเจ้าราคะและมากโทสะ สาเหตุที่ไม่ไว้ผมน่าจะมาจากในสมัยนั้นไม่นิยมที่จะอาบน้ำในฤดูหนาวเนื่องจากความหนาวเย็น ทำให้การรักษาความสะอาดผมทำได้ยาก |
|
|
|
|
 |
กรัชกาย
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 ส.ค. 2006, 3:04 pm |
  |
ที่เขาประสบความสำเร็จเนื่องจากเค้ารู้วิธีหากินบนศรัทธาของประชาชนครับ |
|
|
|
|
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
14 ส.ค. 2006, 4:37 pm |
  |
อันนี้เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล ครับ ส่วนตัวของผม เคยถาม น้าผมที่ได้ อภิญญา (ตาทิพย์ หูทิพย์) เขายืนยันว่าเป็นรูปจริง ไม่งั้น น้าจะเห็นเทวดา มากราบไหว้บูชารูปนี้หรือ
เรื่องรูปจริงของพระพุทธเจ้า ในปฐมสมโพธิกถา ปริจเฉทที่ 28 "มารพันธปริวรรต"
พญามาร ก็เคย แปลงกายเป็นพระพุทธเจ้า ถวายให้พระอุปคุตดู
ท่านก็รู้อยู่ว่า นับแต่อาตมาอุปสมบท ภายหลังจากพระมหาปรินิพพานของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯ อาตมาได้แลเห็นพระธรรมแล้ว แต่อาตมายังไม่เคยเห็นพระรูปกายแห่งพระผู้มีพระภาคเลย ฯ ก็เมื่อท่านว่าอาตมาอนุเคราะห์แก่ท่าน ขอท่านจงตอบแทนอาตมา ด้วยการเนรมิตพระรูปกายแห่งพระสุคตเจ้าเถิด เพื่อเป็นทัศนานุตริยะแก่อาตมา ฯ"
พญามารตอบว่า "ได้สิ พระคุณเจ้า แต่ขอพระคุณเจ้า โปรดฟังข้อแม้ของข้าพเจ้าให้ดี ๆ เมื่อพระคุณเจ้ามองมาที่ข้าพเจ้า ที่ได้เนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้าอยู่นั้น ขอจงอย่าได้ถวายอภิวาทมาทางข้าพเจ้า แม้จะนึกถึงซึ่งพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้าอยู่ ฯ หากพระคุณเจ้าแสดงความเคารพ แม้เพียงเล็กน้อยมาทางข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่มีฤทธิ์พอที่จะทนต่ออำนาจจากการกราบไหว้ของพระคุณเจ้าซึ่งหมดอาสวะกิเลสแล้วได้ ฯ ข้าพเจ้านั้นดุจหน่ออ่อนของต้นไม้ จะไปทนน้ำหนักแห่งงวงคชสารอย่างไรได้ ฯ"
พระเถรเจ้า ตอบว่า "ตกลงตามนั้น"
เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว พระอุปคุตก็รอดูอยู่ เพื่อจะได้ทอดทัศนาพระรูปกายแห่งพระสัพพัญญูเจ้า ส่วน พญามาร นั้น เมื่อเข้าไปถึงในป่าแล้ว ก็เนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์ พร้อมด้วยพระอัครสาวกเดินออกมาจากป่า ดุจดังครั้งพุทธกาล
เมื่อพญามารได้เนรมิตพระรูปกายของพระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยพระรัศมีอันโชติช่วงแล้ว ก็ได้เนรมิตรูปพระสารีบุตรไว้ในเบื้องขวา พระโมคคัลลาน์ไว้เบื้องซ้าย และพระอานนท์ไว้เบื้องหลัง มือของพระอานนท์นั้นถือบาตรของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้แล้ว พญามารยังได้เนรมิตรูปของพระมหากัสสป พระอนุรุทธและพระสุภูติ พร้อมด้วยรูปพระภิกษุสงฆ์อีกจำนวนหมื่นสามพันห้าร้อยองค์ ตามเสด็จพระพุทธเจ้า
เมื่อพญามารเข้ามาหาพระอุปคุต พระอุปคุตบังเกิดปีติปราโมทย์ คิดในใจว่าพระสิริของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเช่นนี้เอง ด้วยความยินดีเป็นอย่างสูง พระคุณเจ้าจึงลุกขึ้นจากอาสนะ แล้วอุทานว่า
"โอ้ อนิจจา ความไม่เที่ยงได้ตัดพระคุณสมบัติเช่นนี้ให้สลายไปสิ้น แม้พระวรกายอันวิเศษของพระมหามุนี ยังถูกกฎของอนิจลักษณะทำให้ปลาสนาการไป จนไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ได้เห็นอีกเลย ฯ"
โดยที่จิตคิดมุ่งไปในทางพุทธานุสติ พระอุปคุตเลยนึกว่า ท่านแลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าจริง ๆ พระเถรเจ้าเข้าไปใกล้ แล้วจึงกระทำอัญชลี ด้วยการกระพุ่มมือให้เป็นดุจดังดอกบัวตูม แล้วออกอุทานว่า "พระวรกายของพระผู้มีพระภาควิเศษยิ่ง จะกล่าวอะไรยิ่งไปกว่านี้ได้อีก
พระพักตร์เป็นเลิศกว่าดอกปทุม พระเนตรงามยิ่งกว่าดอกนิลุบล พระรัศมีงามยิ่งกว่าดอกไม้ป่า ก่อให้เกิดความยินดี ยิ่งกว่าแสงแห่งพระจันทร์วันเพ็ญ ฯ พระองค์ทรงลึกซึ้งยิ่งกว่ามหาสมุทร มั่นคงยิ่งกว่าขุนเขา เจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์ พระพุทธดำเนินเป็นสง่ายิ่งกว่าพญาราชสีห์ ยามทอดทัศนาก็สงบยิ่งกว่าอุสุภราช พระสรีระทอแสงออกดั่งทองธรรมชาติ ฯ"
ดวงจิตของพระอุปคุตเปี่ยมไปด้วยปีติ จนไม่อาจกำหนดได้ ดังท่านออกอุทานว่า
"ผลแห่งกรรมดี มีรสอันหวาน เพราะเกิดจากเจตนาอันบริสุทธิ์ ฯ รูปกายนี้ เกิดมาแต่กรรม หาใช่โดยอิทธิฤทธิ์ หรือ ด้วยอุปัทวเหตุไม่ ฯ แต่ด้วยอำนาจแห่งทาน ศีล ขันติ สมาธิ และปัญญา พระพุทธเจ้าย่อมบริสุทธิ์ ทั้งทางกาย วาจา และใจ ฯ ด้วยพระบารมีทั้งหลายนี้แล เป็นเหตุให้พระวรกายอันวิสุทธิ์นี้เกิดขึ้น เป็นเหตุให้มนุษย์ได้ทอดทัศนาอย่างปีติปราโมทย์ ฯ
แม้ปุถุชนยังเกิดความยินดีเป็นที่ยิ่ง แล้วอาตมาเล่า จะเกิดความรู้สึกถึงเพียงไหน ฯ"
โดยที่ท่านพระอุปคุตมุ่งอยู่ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จนลืมข้อตกลงกับพญามาร นึกไปว่ารูปนี้เป็นองค์พระพุทธเจ้าจริง ๆ จึงก้มองค์ลงไปแทบเท้าพญามาร ดุจดังต้นไม้ค่อยๆ ล้มลง เป็นเหตุให้พญามารตกใจมาก ถึงกับกล่าวว่า "อย่า พระคุณเจ้า อย่าลืมข้อตกลง"
พระเถรเจ้าถามว่า "ข้อตกลงอะไรกัน ?"
พญามารตอบว่า "พระคุณเจ้าสัญญาไว้มิใช่หรือ ว่าจะไม่ก้มลงแสดงความคารวะต่อหน้าข้าพเจ้า"
ลำดับนั้น พญามารได้ทำให้พระรูปกายของพระพุทธเจ้าปลาสนาการไป และก้มลงถวายอภิวาทแสดงความเคารพต่อท่านพระอุปคุตมหาเถระ แล้วจากไป
คัดลอกจาก
http://www.waluka.com/main/index2.php?option=content&task=view&id=51&pop=1&page=0 |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
14 ส.ค. 2006, 6:45 pm |
  |
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
เป็นพระพุทธดำรัสที่ชัดเจนที่สุด.....
ผมเห็นรูปที่เขามาลงแล้ว ผมก็ยกมือไหว้โดยไม่ลังเล......คำว่า"ไม่ลังเล"ของผมนี้หมายถึงว่า ไม่สนใจว่ารูปนี้จะเป็นรูปถ่ายจริง หรือ รูปวาดจากจินตนาการ.... รูปนี้สื่อถึงพระพุทธเจ้าแน่ๆ รับรองว่ายกมือไหว้แล้วมีแต่ได้กับได้!!!
แต่เห็นรูปหรือแม้นแต่เห็นกายเนื้อของพระพุทธองค์นั้น พระพุทธองค์ก็ยังไม่สรรเสริญเลย..... พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญผู้ที่เห็นธรรมที่พระองค์ทรงตรัสไว้ชอบแล้วเป็นอย่างยิ่ง
เคยมีบางคนสงสัยว่า รอยพระพุทธบาทในสักการะสถานต่างๆนั้นเป็นของจริงหรือไม่.....
ผมมองว่า ถ้าเราเข้าใจธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ให้อย่างชัดเจนแล้ว.....เราจะเห็นพระพุทธองค์ทรงเสด็จผ่านไปบนทาง(มรรคแปด)เส้นนี้หมาดๆเลย..... รอยพระบาทของพระองค์ยังทรงอุ่นๆอยู่เลย!!!
 |
|
|
|
  |
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
14 ส.ค. 2006, 7:52 pm |
  |
ใช่ครับ คุณตรงประเด็น
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
ถึงจะอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า แม้จับชายจีวรของพระพุทธเจ้าอยู่ หากไม่เห็นธรรมก็ชื่อว่าไม่เห็นพระพุทธเจ้า  |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
?????????????????????????
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
16 ส.ค. 2006, 2:10 pm |
  |
ใครเป็นผู้ถ่าย ถ่ายเมื่อวันที่เท่าไร ถ่ายที่ไหน มีใครเห็นเหตุการณ์ ทำไมจึงว่าเป็นรูปพระพุทธเจ้า
????????????????????????????????????????????????????????? |
|
|
|
|
 |
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
16 ส.ค. 2006, 7:56 pm |
  |
ควรเคารพกราบไหว้พระพุทธเจ้าเพราะ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มเจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ เหล่านี้คือพุทธคุณที่แท้จริงที่ควรระลึกถึงอย่าติดในสิ่งที่เป็นอนิจจัง บุคคลในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ได้เห็นองค์จริง ๆ เป็น ๆ ถ้าไม่เห็นธรรมดังกล่าวก็เหมือนไม่ได้พบพระพุทธเจ้า บุคคลในสมัยปัจจุบันแม้นไม่ได้เห็นองค์จริง ๆ เป็น ๆ แต่ถ้าเห็นธรรมดังกล่าวก็เหมือนได้พบพระพุทธเจ้าตราบเท่าที่จิตจะพึงสัมผัสได้ |
|
|
|
|
 |
อธิชาตินันท์
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 19 พ.ค. 2006
ตอบ: 24
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
17 ส.ค. 2006, 11:59 am |
  |
ผมว่าควรยึดหลัก"กาลามสูตร"ครับ
อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ
ไตร่ตรองด้วยเหตุผลก่อน
ดีกว่าเชื่อก่อนแล้วหาเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อของตน
หรือไม่เชื่อไปก่อนแล้วหาเหตุผลมาสนับสนุนความไม่เชื่อของตน
แต่ส่วนตัวผมไม่เชื่อครับ
เรื่องภาพถ่ายสมัยนี้มีเทคนิคทำอะไรได้ตั้งมากมาย
หรือถ้าเป็นภาพคนจริงๆก็อาจไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็ได้
และเห็นด้วยกับคุณชาวพุทธที่บอกว่าลักษณะเท้าไม่เข้ากับมหาบุรุษ
เพราะเท้าของพระพุทธเจ้าจะแบบราบเหมือนรอยพระพุทธบาทที่ชาวพุทธเคารพกัน
และลองคิดดูว่าเหตุผลที่มีภาพแบบนี้
เป็นเหตุผลทางธุรกิจหรือเปล่า
ใครได้ผลประโยชน์จากภาพนี้บ้าง
และผมคิดว่าไม่ควรตื่นเต้นกับภาพนี้
ผมเห็นแล้วเฉยๆ
การเห็นภาพพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทำให้เราได้ไปสวรรค์ถ้าเราไม่ทำความดี
และภาพจะจริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญอะไรเลย
คนที่เขาไม่เชื่อไม่ศรัทธาเราจะให้เหตุผลมากแค่ไหนเขาก็ไม่ศรัทธา
ผมคิดว่ามันก็แค่ศิลปะชิ้นนึงก็เท่านั้น |
|
|
|
   |
 |
อภิญญา บุญชู
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 17 ส.ค. 2006
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
17 ส.ค. 2006, 8:45 pm |
  |
ขอกราบอภิวาทบูชาพระศาสดาด้วยชีวิต
ส่วนตัวครับ คิดว่าพระองค์ดับขันธปรินิพพานแล้ว ดับกิเลสกังวลแล้ว
ดับการเวียนว่ายในสังสารวัฏฏะแล้ว ก็ไม่น่าจะมีรูปพระองค์อยู่จริง
ดังนั้นเมื่อเราเห็นรูปนี้แล้ว แล้วทำให้เรานึกให้ถึงพระรัตนตรัยเป็นเครื่องกำกับจิตใจของเรา
เช่นเดียวกับที่เรา เห็นวัด เห็นต้นโพธิ์ ดอกบัว แล้วทำให้เราสงบ เกิดศรัทธา เกิดสติ นั่นก็น่าจะ
เพียงพอแล้ว และอาจจะเป็นแก่นสารที่แท้ของผู้ที่เผยเเพร่รูปนี้นะครับ ส่วนรูปนั้นจะจริงหรือไม่จริง เราก็ไม่ทราบ แต่ความเป็นจริงของรูปนั้นก็ยังอยู่
ผมว่าเราน่าจะน้อมเอาประโยชน์จากรูปภาพ รูปปั้น หรือรอยพระบาท มาเป็นเครื่องเตือนตน
เตือนจิตเราดีกว่านะครับ
...พบพุทธ... |
|
_________________ ...รากแก้วแห่งพระพุทธสาสนา ได้หลั่งลงแล้วอย่างแท้จริง ในจิตใจของมนุษยชาติ และตัวข้าพเจ้า... |
|
    |
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
18 ส.ค. 2006, 12:26 pm |
  |
|
|
 |
ธรรมรักษ์
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 14 ก.พ. 2006
ตอบ: 6
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 1:19 pm |
  |
[color=darkblue]รูปนี้ผมก็เห็นเขาเผยแพร่กันทั่วไปครับ เป็นรูปวาดครับไม่ใช่รูปถ่าย เข้าใจว่าเป็นรูปที่วาดเอาไว้ในพม่า โดยบอกว่าเป็นรูปวาดที่มีส่วนคล้ายพระพุทธเจ้ามากที่สุดอันนี้จริงเท็จอย่างไรไม่ขอยืนยันนะครับ แต่รับรองได้ว่าเป็นรูปที่ถ่ายจากรูปวาดในประเทศพม่าครับ ภายหลังมีผู้นำมาพิมพ์เผยแพร่แวกล่าวว่าเป็นรูปถ่ายของพระพุทธเจ้า เข้าใจว่าคงจะพูดต่อๆกันมาเลยทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนไปจากความเดิมครับ อีกอย่างพระพุทธเจ้าท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว คงไม่มีใครที่จะสามารถเห้นตัวตนของพระองค์ได้หรอกครับ แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังไม่เห็นรูปร่างที่แท้จริงของพระองค์ ยังต้องขอร้องให้พญามารซึ่งเคยเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเนรมิตรร่างตนเองให้เห็นแทนเลย ก็ลองใช้ปัญญาใตร่ตรองดูเถิดว่าสมควรเชื่อหรือไม่ โดยยึดหลักกาลามสูตรที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวสั่งสอนเอาไว้ครับ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นตถาคต" พุทธวจพจน์ |
|
_________________ อเสวนา จ พาลานํ เสวนา จ ปณฺฑิตา |
|
  |
 |
แมวขาวมณี
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 3:47 pm |
  |
ถ้ามีผู้ฝึกฝนจนสามารถเกิดพลังจิต ซึ่งเป็นพลังงานรูปหนึ่ง แล้วพลังงานนั้นจะยังคงอยู่ ณ ที่นั้น ๆได้ โดยสามารถใช้กล้องถ่ายภาพที่ไวต่อพลังงาน(พวกศึกษาพลังจิตเขาใช้กัน)บันทึกภาพได้
พุทธานุภาพมหัศจรรย์นัก พลังงานแห่งจิตพุทธะสามารถดำรงอยู่ตราบนานเท่านาน
พระบาทที่อยู่ในท่าบิดปลายเท้าขึ้นขัดสมาธิ ย่อมไม่แบนราบดูเต็มสม่ำเสมอ (ตามหลักกายวิภาคศาสตร์) คนที่วาดรูปจะต้องรู้ดีว่าพระบาทของพระพุทธองค์ต้องเต็มเรียบเสมอกันเขาคงไม่โง่วาดผิดๆ ให้จับได้ง่ายๆหรอก
พระเกศา ก็ตั้งแต่ทรงตัดพระโมฬีด้วยพระขรรค์แสงดาบแล้วพระเกศาทรงเหลือเพียง ๒ นิ้ว แต่ละเส้น เวียนเป็นวงกลมไปทางขวา มิได้ล้านเลี่ยนเหมือนบุคคลทั่วไป ซึ่งในสมัยนั้น ชนทั่วไปจะไว้ผมยาว ผู้ที่ตัดผมสั้นจะถูกเรียกว่าผู้มีศรีษะโล้น ไม่เป็นที่คบหาเลย
ภาพนี้ โดยรวมแล้วจึงดูไม่ขัดกับความรู้สึกหรือจินตนาการเท่าไหร่
จะเป็นภาพถ่าย / ภาพวาด แต่ภาพนี้หมายถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่งดงามอีกภาพหนึ่ง
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
 |
|
|
|
   |
 |
ชู
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 ส.ค. 2006, 10:32 pm |
  |
ผมคิดว่าเป็นภาพที่เกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิเนรมิตกาย เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสเห็นพระกายของพระองค์ จริงอยู่ที่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ฯ ไปแล้วแต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า เมื่อ 2500 ปีก่อน พระกายของพระองค์นั้นมีจริงอยู่ เหล่าเทพเทวา ชั้นต่างๆ ก็ต้องเคยเห็นพระกายจริงของพระองค์ การที่จะเนรมิตกาย เช่นนี้ ผมว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ครับ |
|
|
|
|
 |
แมวขาวมณี
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307
|
ตอบเมื่อ:
22 ส.ค. 2006, 11:11 pm |
  |
|
   |
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
24 ส.ค. 2006, 6:09 pm |
  |
เคยอ่านเรื่องของหลวงปู่เทพโลกอุดรไม๊คะ หากเคยอ่านจะไม่สงสัยในรูปของพระพุทธเจ้าที่เห็นนี่เลยค่ะ ทุกสิ่งเป็นสิ่งสมมุติแค่นั้นเองค่ะท่านจะมาโปรดให้เราเห็นแบบใดก็ได้ |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
เทวี
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 ส.ค. 2006, 2:25 am |
  |
ลองเข้าไปอ่านกระทู้ในเว้ป ลานธรรมเสวนานะคะ ที่กระดาน ธรรมะกับชีวิต กระทู้เรื่อง ภาพพุทธนิมิต ซึ่งจะแสดงภาพเต็ม(ใหญ่)ของภาพทั้งหมดเลยค่ะ รู้สึกว่า ดังตฤณ จะให้ข้อมูลที่ละเอียดมาก ไปดูเองนะคะ แล้วจะเข้าใจมากกว่า เพราะได้เห็นภาพใหญ่เต็ม ๆๆ เลยค่ะ เลยเชื่อได้ว่าเป้นภาพวาดที่วาดพระพุทธเจ้าได้งดงามมาก ภาพใหญ่จะมีภาพธิดาพญามาร ภาพเทวดา ไม่ใช่ภาพถ่ายหรอกค่ะ ทีแรกดิฉันก็อยากจะเชื่อ เพราะเคยเห็นตามวัดต่าง ๆ ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกต่อ ๆ กัน คิดว่าที่ท่านบอกก็เพราะเขาบอกมา และท่านก็เชื่อ แล้วก็เลยบอกโยมต่อ และโยมก็เชื่อ แล้วก็บอกต่อ ๆ กันไป แต่ถึงจะเป็นภาพวาด ภาพถ่าย ดิฉันก็กราบไหว้ด้วยความเคารพค่ะ
เคยอ่านหนังสือเล่มที่กล่าวถึงนั่นเหมือนกัน แต่อ่าน ๆไปก็ต้องระมัดระวัง ตั้งสติในการอ่าน ไม่ผลีผลามเชื่อเขาง่าย ๆ บางเรื่องมันมีข้อมูลที่ทะแม่ง ๆ เหมือนกับว่าคนเขียนเขาคิดเอาเอง หรือบางทีออกจะตู่คำสอนด้วยซ้ำ และก็สอนเน้นไปทางอิทธิฤทธิ์ซะมากกว่า ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงไม่สรรเสริญ
และอีกเรื่องคือเขาฉลาดเขียนให้ยอมรับในการที่เขาจะมีภรรยาสองคน ( แม้จะโดยความเสนอและยินยอมของภรรยาคนแรกก็ตามที) เขาว่าเขาโทรไปถามพระ แล้วพระบอกว่า ถ้าภรรยายินยอมก็ไม่ถือว่าเป็นบาป
ทางโลกเรื่องแบบนี้คนเขาก็ติฉินนินทาแล้วนะ แล้วทางธรรมเขาก็อ้างคำของพระสงฆ์ อ่าน ๆ ไปก็รู้สึกทะแม่งชอบกล (นี้เป็นการวิจารร์แค่หนังสือเล่มหนึ่งนะคะ )
เรื่องนี้เลยสอนตัวเองได้ว่า คนฉลาดพูด มีปัญญานำเสนอ แต่เราก็ต้องมีสติและปัญญาในการพิจารณายิ่งกว่าค่ะ |
|
|
|
|
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
26 ส.ค. 2006, 1:42 am |
  |
โชคดีที่เรามิติดสงสัย พระพุทธเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยในรูปลักษณ์ของท่าน เพราะคนที่เขาบูชา โดยยึดพระองค์เป็นหลัก เขาก็เจริญรุ่งเรือง เพราะเขามีความศรัทธา ขออนุโมทนาสาธุในความศรัทธาที่เขามีความเชื่อมั่นดีกว่า สาธุ สาธุ อนุโมทามิ |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
|