Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
คุณสมบัติของผู้แสดงธรรม และอานิสงส์ของผู้แสดงธรรม
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
dd
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 24 ส.ค. 2006, 1:47 pm
คุณสมบัติของผู้แสดงธรรม
.......เราได้ทราบแล้วว่า ธรรมทานประเสริฐกว่าทานทุกอย่าง แต่ธรรมทานนั้นจะเกิดขึ้นได้เพราะมีผู้แสดงธรรม ซึ่งการแสดงธรรมให้ดี ให้เกิดประโยชน์สุขนั้น ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ เลย ดังที่พระพุทธองค์ตรัสแก่พระอานนท์ ว่า
อานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย
อานนท์ ผู้แสดง (พระธรรมกถึก) ก่อนแสดงธรรม พึงตั้งธรรม ๕ อย่างไว้ในตน แล้วจึงแสดง คือ
๑. จักแสดงธรรมตามลำดับ ไม่ตัดวรรคถ้อยความ
๒. จักแสดงโดยปริยาย อ้างเหตุผลให้ผู้ฟังเข้าใจ
๓. จักอาศัยความเอ็นดูแสดงธรรม (มีความเมตตาปรารถนาดีต่อผู้ฟัง)
๔. จักไม่เห็นแก่อามิส (หวังอยากได้ลาภผล)
๕. จักไม่กล่าวคำที่กระทบตนและผู้อื่น (ไม่ยกตนข่มท่าน หรือใช้คำเสียดสี)
ดังนั้นผู้ที่จะให้ธรรมทานพึงตั้งอยู่ในองค์คุณดังกล่าวมานี้ จะยังประโยชน์ใหญ่ อานิสงส์ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นกับผู้แสดงธรรมได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้แสดงธรรมได้บุญกุศลมหาศาล ดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญว่า "บุคคลให้ธรรมเป็นทาน โดยไม่ปรารถนาลาภสักการะ ย่อมมีอานิสงส์ประมาณมิได้"
อานิสงส์ของผู้แสดงธรรม
.......เมื่อใดก็ตามที่มีการแสดงธรรมและฟังธรรมเกิดขึ้น ย่อมเป็นมงคลอย่างยิ่งกับสังคมนั้นๆ เป็นนิมิตหมายว่าความสุข ความสงบร่มเย็นจะบังเกิดขึ้น ธรรมะจะขจัดบรรเทาปัญหาทั้งปวง เกิดเป็นกระแสแห่งความดีเข้าแทนที่ สรรค์สร้างให้สังคมนั้นเป็นสังคมที่มีคุณภาพ และเป็นฐานในการสร้างคนดี สร้างคน ให้มีหลักธรรมในการดำเนินชีวิต การแสดงธรรมจึงให้ประโยชน์ทั้งผู้แสดงธรรมเอง และผู้ฟังธรรมทั้งหลายด้วย
ในส่วนของผู้แสดงธรรมนั้น ย่อมเป็นที่ตั้งเป็นพื้นฐานของความดีทั้งหลาย จนถึงทำให้รู้แจ้งเห็นแจ้ง ในธรรมทั้งปวงได้ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
"........ภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ถ้าพระศาสดา หรือ เพื่อนพรหมจรรย์ของภิกษุนั้นไม่ได้แสดงธรรมให้ฟัง แต่ภิกษุนั้นแสดงธรรมตามที่ตนได้สดับเล่าเรียนมาให้ผู้อื่นฟัง โดยพิสดารด้วยประการใดๆ เธอย่อมเป็นผู้รู้แจ้งอรรถและรู้แจ้งธรรมด้วยประการนั้นๆ ปราโมทย์ย่อมเกิดแก่เธอผู้รู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ปีติย่อมเกิดแก่เธอผู้มีความปราโมทย์ กายของผู้มีความปีติย่อมสงบ ผู้มีการสงบ (ปัสสัทธิ) ย่อมเสวยสุข จิตของผู้มีความสุข ย่อมตั้งมั่น
ภิกษุทั้งหลาย วิมุตตายตนะ (เหตุแห่งความหลุดพ้น) อันเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่ (มีใจส่งไปในธรรมนั้น) ซึ่งยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น หรืออาสวะทั้งหลายยังไม่สิ้นย่อมถึงความสิ้นไป หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะอันเยี่ยมยอดที่ยังไม่บรรลุ"
........จากพุทธดำรัสนี้ ทำให้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงผลานิสงส์ของการแสดงธรรมว่า ผู้ที่แสดงธรรมย่อมได้รับคุณความดีหลายอย่าง จนกระทั่งทำให้บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะอันเยี่ยมยอดได้ ความข้อนี้ผู้แสดงธรรมย่อมประจักษ์ชัดด้วยใจตนเอง เพราะทุกครั้งที่จะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น จิตของผู้แสดงธรรมย่อมน้อมไปในธรรมนั้นด้วย จะโดยการที่ต้องทบทวน ท่องจำ ตรึกตรองทำความเข้าใจ เหล่านี้ล้วนเป็นการชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ อันเป็นทางมาแห่งปัญญา แตกฉานในอรรถและธรรม เมื่อพิจารณาเห็นจริงตามธรรมนั้นจะรู้สึกปลาบปลื้มปีติใจ เป็นผลทำให้สามารถข่มกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้ขณะนั้น จึงเกิดความสงบกาย เป็นสุขสบายใจ ใจจึงตั้งมั่นเป็นสมาธิ และผลที่ยิ่งกว่านั้น คือทำให้ผู้ที่สั่งสมบุญมามากอาจจะหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย สามารถบรรลุธรรมอันประเสริฐได้
ดังนั้น การให้ธรรมทานจึงเป็นทานที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์อย่างยิ่ง และเป็นเลิศกว่าทานทั้งปวง เพราะทำให้ผู้ที่แสดงธรรม และผู้ฟังธรรมได้รับประโยชน์สุข คือความดีตั้งแต่เบื้องต้นจนถึง
พระนิพพาน ดังกล่าวมานี้
อย่างไรก็ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "การที่ได้ฟังซึ่งพระสัทธรรม เป็นของอันบุคคล
ได้โดยยาก" ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ
๑. ยากที่จะหาผู้เทศนาให้ฟัง คือ ต้องรอให้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้วแสดงธรรมเทศนาสั่งสอน
หรือแม้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมและสั่งสอนแล้ว แต่ผู้ที่ได้ฟังหรือได้เล่าเรียนศึกษาไม่แตกฉานในธรรมวินัย เมื่อนำมาแสดงให้ผู้อื่นฟังก็ไม่เกิดความเข้าใจได้ จึงไม่เลื่อมใสศรัทธา
๒. ยากที่จะหาผู้เลื่อมใสในการฟังธรรม คือ คนมีนิสัยไม่อยากฟัง หรือแม้ได้ฟังก็ไม่ซาบซึ้งใน
รสพระธรรม มีความเกียจคร้าน ฟุ้งซ่าน ง่วงเหงาหาวนอน หรือเกิดเป็นคนมิจฉาทิฏฐิพิการบ้าใบ้ หูหนวก หรือเกิดในอบาย ก็ไม่อยู่ในวิสัยที่จะฟังธรรมได้ จึงไม่สำเร็จประโยชน์ในการฟังธรรม
........พวกเราทุกคนเป็นผู้มีโชคดีอย่างยิ่ง ที่ได้เกิดในประเทศที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง และคำสอนของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ยังมีผู้สืบทอดนำมาแสดงอยู่เสมอ แต่จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง หากผู้ที่ได้ศึกษาธรรมนั้นหมั่นศึกษาศิลปะการถ่ายทอดธรรมะ และฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้สามารถแสดงธรรมได้ ซึ่งจะช่วยดำรงพุทธศาสนาให้คงอยู่อย่างมั่นคงต่อไป เพราะผลของการแสดงธรรมนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อการดำรงอยู่ของศาสนาอีกด้วย ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่เลอะเลือน ไม่เสื่อมสูญแห่งสัทธรรม ธรรม ๕ ประการเหล่านี้คือ
๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรม (เรียนรู้พระไตรปิฎก)
๒. ภิกษุย่อมแสดงธรรมตามที่ฟังมา ตามที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิศดาร (ให้ธรรมทานแก่คนจำนวนมาก)
๓. ภิกษุย่อมบอกธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาโดยพิศดาร (การสนทนาธรรมอย่างง่ายๆ)
๔. ภิกษุย่อมสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิศดาร (อธิบายธรรมอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน)
๕. ภิกษุย่อมตรึกตรอง เพ่งด้วยใจ ซึ่งพระสัทธรรมตามที่ได้ฟังและเล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิศดาร
การให้ธรรมทานนั้นมีผลที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในส่วนของผู้ให้และในส่วนของผู้รับ โดยผู้ให้ย่อมได้รับ
อานิสงส์มากมาย ยิ่งกว่าการให้ใดๆ ดังกล่าวมาแล้ว ส่วนผู้รับนั้นย่อมได้รับความสุข ได้รับสมบัติซึ่งเป็นที่พึ่งอันเกษม ดังเรื่อง เพชฌฆาตเคราแดง และเรื่องพระเจ้าปุกกุสาติ เป็นต้น หรือแม้แต่พระอริยสาวกรูปอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ต่างได้เข้าถึงสภาวะของการหมดทุกข์โดยสิ้นเชิง ก็ด้วยอาศัยธรรมทานทั้งสิ้น
ความสำคัญอีกประการหนึ่งของธรรมทาน คือ เป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ตลอด
ระยะเวลาของการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภพชาติต่างๆ นั้น พระพุทธองค์ทรงเป็นตัวอย่างของผู้ให้มาโดยตลอด ให้ตั้งแต่สิ่งที่เป็นอามิสทั้งหลาย จนกระทั่งเลือดเนื้อและชีวิต ท้ายที่สุดพระองค์ทรงให้ธรรมทาน คือพุทธศาสนา ซึ่งชาวพุทธทั้งหลายได้น้อมนำหลักธรรมนั้นมาถือปฎิบัติสืบทอดติดต่อกันมาช้านานเกิดเป็นประโยชน์เกื้อกูลกัน และจะเป็นเช่นนี้ต่อไปตราบจนถึงที่สุดแห่งสังสารวัฏ
ที่มา :: พันทิพดอดคอม
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 24 ส.ค. 2006, 11:03 pm
อนุโมทนาบุญค่ะ...คุณ dd
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 25 ส.ค. 2006, 12:46 am
อนุโมทนาธรรมครับ
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th