Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ขอความรู้เกี่ยวกับการเวียนเทียนหน่อยค่ะ
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
- กล้าก้าว -
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 05 ก.ค.2006, 10:08 am
พอดี จะวันอาสาฬหบูชาแล้ว ต้องไปเวียนเทียนกับเด็กนะค่ะ เลยอยากได้ ข้อมูล ความรู้หรือนิทานเกี่ยวกับการเวียนเทียนหน่อยนะคะ ว่าทำไมถึงต้องมีการเวียนเทียน ทำไมต้องเวียนขวา 3 รอบ ถ้าได้เป็นนิทานด้วยจะขอบคุณมากๆ เลยค่ะ รบกวนผู้รู้ด้วยนะคะ
นิน
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 05 ก.ค.2006, 10:34 am
วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรกแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม
เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้นชมพูทวีปในสมัยโบราณ กำลังย่างเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองเฟื่องฟูทุกด้านและมีคนหลายประเภททั้งชนผู้มั่งคั่งร่ำรวย นักบวชที่พัฒนาความเชื่อและ ข้อปฏิบัติทางศาสนา เพื่อให้ผู้ร่ำรวยได้ประกอบพิธกรรมแก่ตนเต็มที่ ผู้เบื่อหน่ายชีวิตที่วนเวียน ในอำนาจและโภคสมบัติที่ออกบวช หรือบางพวกก็แสวงหาคำตอบที่เป็นทางรอกพ้นด้วยการคิดปรัชญาต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เหลือวิสัยและไม่อาจพิสูจน์ได้บ้าง พระพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติในสภาพเช่นนี้ และดำเนินชีพเช่นนี้ด้วยแต่เมื่อทรงพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นขาดแก่นสาน ไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ตนเองและผู้อื่น จึงทรงคิดหาวิธีแก้ไขด้วยการทดลองต่าง ๆ โดยละทิ้งราชสมบัติ และอิสริยศแล้วออกผนวช บำเพ็ญตนนานถึง ๖ ปี ก็ไม่อาจพบทางแก้ได้ ต่อมาจึงได้ทางค้นพบ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เมื่อทรงปฏิบัติตามมรรคานี้ก็ได้ค้นพบสัจธรรมที่นำคุณค่า แท้จริงมาสู่ชีวิต อันเรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๔ ปี ที่เรียกว่า การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นทรงงานประกาศศาสนาโดยทรงดำริหาทางที่ได้ผลดีและรวดเร็ว คือ เริ่มสอนแก่ผู้มีพื้นฐานภูมิปัญญาดีที่รู้แจ้งคำสอนได้อย่างรวดเร็วและสามารถนำไปชี้แจงอธิบาย ให้ผู้อื่นเข้ามาได้อย่างกว้างขวาง จึงมุ่งไปพบนักบวช ๕ รูป หรือเบญจวัคคีย์ และได้แสดงธรรม เทศนาเป็นครั้งแรกในวันเพ็ญ เดือน ๘
--------------------------------------------------------------------------------
ใ จ ค ว า ม ส ำ คั ญ ข อ ง ป ฐ ม เ ท ศ น า
ในการแสดงแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการคือ
ก. มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด ๒ อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ
๑. การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกามสุข หรือ กามสุขัลลิกานุโยค
๒. การสร้างความลำบากแก่ตนดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น การดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค
ดังนั้นเพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ๘ ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต
๔. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต
๕. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต
๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน
ข. อริยสัจ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่
๑. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด
๒. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ
๓. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา
๔. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ประการดังกล่าวข้างต้น
--------------------------------------------------------------------------------
ผ ล จ า ก ก า ร แ ส ด ง ป ฐ ม เท ศ น า
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ปรากฏว่าโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้าใจธรรม เรียกว่า เกิดดวงตาแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดาบัน จึงทูลขอบรรพชาและถือเป็นพระภิกษุสาวก รูปแรกในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ
--------------------------------------------------------------------------------
ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง อ า ส า ฬ ห บู ช า
อาสาฬหบูชา (อา-สาน-หะ-บู-ชา/อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา) ประกอบด้วยคำ ๒ คำ คือ อาสาฬห (เดือน ๘ ทางจันทรคติ) กับบูชา (การบูชา) เมื่อรวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน ๘ หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน ๘ หรือเรียกให้เต็มว่า อาสาฬหบูรณมีบูชา
โดยสรุป วันอาสาฬหบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญ เดือน ๘ หรือ การบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในวันเพ็ญ เดือน ๘ คือ
๑. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา
๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเริ่มประกาศพระศาสนา
๓. เป็นวันที่เกิดอริยสงฆ์ครั้งแรกคือการที่ท่านโกณฑัญญะรู้แจ้งเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน จัดเป็นอริยบุคคลท่านแรกในอริยสงฆ์
๔. เป็นวันที่เกิดพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือ การที่ท่านโกณฑัญญะขอบรรพชาและ ได้บวชเป็นพระภิกษุ หลังจากฟังปฐมเทศนาและบรรลุธรรมแล้ว
๕. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงได้ปฐมสาวกคือ การที่ท่านโกณฑัญญะนั้น ได้บรรลุธรรม และบวชเป็นพระภิกษุ จึงเป็นสาวกรูปแรกของพระพุทธเจ้า
เมื่อเปรียบกับวันสำคัญอื่นๆ ในพระพุทธศาสนา บางทีเรียกวันอาสาฬหบูชา นี้ว่า วันพระสงฆ์ (คือวันที่เริ่มเกิดมีพระสงฆ์)
พิธีกรรมที่กระทำในวันนี้ โดยทั่วไป คือ ทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) และสวดมนต์ ดังนั้นในวันนี้จึงถือว่า พุทธศาสนิกชนควรได้รับประโยชน์ ที่เป็นสาระสำคัญจากอาสาฬหบูชา กล่าวคือ ควรทบทวนระลึกเตือนใจสำรวจตนว่า ชีวิตเราได้เจริญงอกงามขึ้นด้วยความเป็นอยู่อย่างผู้รู้เท่าทันโลกและชีวิตนี้บ้างแล้วเพียงใด เรายังดำเนินชีวิตอยู่อย่างลุ่มหลงมัวเมา หรือมีจิตใจอิสระปลอดโปร่งผ่องใสบ้างแล้วเพียงใด
ที่ต้องเวียนสามรอบ เพราะ
รอบที่หนึ่งระลึกถึงพระพุทธคุณ
รอบที่สองระลึกถึงพระธรรมคุณ
รอบที่สามระลึกถึงพระสังฆคุณ
นิน
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 05 ก.ค.2006, 10:45 am
พิธีเวียนเทียนในวันสำคัญ มีระเบียบปฏิบัติเหมือนกัน ต่างกันแต่คำบูชาก่อนเวียนเทียนเมื่อถึงเวลากำหนด ทางวัดจะตีระฆังสัญญาณให้พุทธบริษัท ทั้งภิกษุสามเณร อุบาสก และอุบาสิกา ประชุมพร้อมกันที่หน้าพระอุโบสถหรือลานพระเจดีย์ อันเป็นหลักของวัดนั้น ๆ พระภิกษุอยู่แถวหน้า ถัดไปเป็นสามเณร ท้ายสุดเป็นอุบาสก อุบาสิกา เมื่อพร้อมแล้วทุกคนจุดเทียนและธูป จากนั้นถือดอกไม้ธูปเทียนประนมมือ หันหน้าเข้าหาปูชนียสถานที่จะเวียนนั้น ว่านะโมตัสสะ... พร้อมกันสามจบ ต่อจากนั้นว่าคำถวายดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จากนั้นเดินด้วยอาการประนม มือดอกไม้ธูปเทียน นั้นไปทางขวาของสถานที่ที่เวียน ระหว่างเดินเวียนพึงตั้งใจระลึกถึง พระพุทธคุณ โดยนัยบท อิติปิโส ภควา ในรอบแรก ระลึกถึงพระธรรมคุณ โดยนัยบท สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ฯลฯ ในรอบที่สอง และระลึกถึงพระสังฆคุณ โดยนัยบท สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ในรอบที่สาม
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
ตอบเมื่อ: 05 ก.ค.2006, 10:57 am
พระราชสุธี (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร กรุงเทพมหานคร บอกว่า จุดมุ่งหมายของการเวียนเทียน
การบูชาพิเศษในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาคือการเวียนเทียน นอกเหนือไปจากการประชุมทำวัตรสวดมนต์และฟังเทศน์กันตามปกติในวันนั้น การเวียนเทียนนี้คือการที่พุทธบริษัทถือดอกไม้จุดธูปเทียนประนมมือเดินเวียนขวา ที่เรียกว่าประทักษิณรอบปูชนียวัตถุในวัด หรือในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ๓ รอบ ใจน้อมระลึกถึงพระคุณพระรัตนตรัยในขณะเดินเวียน เสร็จแล้วนำดอกไม้ธูปเทียนนั้นปักบูชาปูชนียวัตถุที่เวียนนั้น เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงด้วยเครื่องสักการบูชา
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หมายถึง วันที่มีเหตุการณ์พิเศษบางอย่างเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา โดยมากจะเป็นวันที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ซึ่งจะกำหนดเอาวันที่มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นในชีวิตของพระองค์เป็นหลัก การศึกษาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนานอกจากจะได้ความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องแล้ว ก็ยังจะช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความซาบซึ้งและเกิดแนวคิดที่จัดเป็นทิฏฐานุคติในการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันต่อไป
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่นิยมปฏิบัติกิจกรรมเพื่อระลึกคุณของพระรัตนตรัยมี ๔ วัน คือ
๑. วันวิสาขบูชา คือ การบูชาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
๒. วันมาฆบูชา คือ การบูชาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่พระอรหันตขีณาสพที่มาประชุมพร้อมกัน
๓. วันอาสาฬบูชา คือ การบูชาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก เรียกว่า ปฐมเทศนา
๔. วันอัฏฐมีบูชา คือ การบูชาในวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันที่ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า
บุญในวันสำคัญทางศาสนา
๑. ทำบุญตักบาตร สมาทานศีล ปล่อยนกปล่อยปลา งดเว้นจากอบายมุข
๒. จัดเตรียมเครื่องสักการะ เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน มาพร้อมกันที่วัดตามเวลานัดหมายเพื่อฟังโอวาทหรือพระธรรมเทศนา สวดมนต์ และเวียนเทียน
๓. ก่อนออกจากบ้าน ควรอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสและแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย
๔. เมื่อถึงวัดแล้ว ควรอยู่ในการสำรวม มีจิตใจยึดมั่นในพระรัตนตรัย ไม่พูดคุยหยอกล้อ หรือกระทำภารกิจอื่นอันไม่สมควร
วิธีปฏิบัติตามความนิยมในการเวียนเทียน
๑. พิธีเวียนเทียนในวันสำคัญทั้ง ๔ วัน นั้น ทางวัดจะประกาศให้ทราบทั่วกัน และบอกกำหนดเวลาประกอบพิธีด้วยว่าจะประกอบเวลาไหน จะเป็นตอนบ่ายหรือค่ำก็ได้
๒. ถึงเวลากำหนดทางวัดตีระฆังสัญญาณให้ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา และประชาชนพร้อมกันที่หน้าอุโบสถหรือลานพระเจดีย์ ทุกคนเตรียมถือดอกไม้ธูปเทียนตามแต่จะหาได้และศรัทธาของตน
๓. เมื่อพร้อมกันแล้ว ประธานสงฆ์จุดธูปเทียน ทุกคนจุดธูปเทียนแล้วประนมมือหันหน้าเข้าหาปูชนียสถานที่จะเวียนนั้น ประธานสงฆ์นำว่า นโม...พร้อมกัน ๓ จบ ต่อจากนั้นกล่าวนำคำถวายดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยตามแบบที่กำหนดไว้
๔. ต่อจากนั้นประธานสงฆ์เดินนำแถวด้วยอาการประนมมือ พร้อมดอกไม้ธูปเทียนนั้น ไปทางขวามือของสถานที่นั้น เว้นระยะห่างกันพอสมควร ระหว่างเดินเวียนรอบที่ ๑ พึงตั้งใจระลึกถึงพระพุทธคุณโดยนัยบท อิติปิ โส ภควา ฯลฯ รอบที่ ๒ ระลึกถึงพระธรรมคุณ โดยนัยบท สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ฯลฯ และรอบที่ ๓ ระลึกถึงพระสังฆคุณ โดยนัยบท สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ฯลฯ ครบ ๓ รอบ แล้วนำดอกไม้ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ที่เตรียมไว้ เริ่มทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วมีเทศน์พิเศษแสดงเรื่องพระพุทธประวัติและเรื่องที่เกี่ยวกับวันสำคัญนั้นๆ ๑ กัณฑ์ เป็นอันเสร็จพิธี
ที่มา :
http://www.komchadluek.net/column/pra/2005/05/21/02.php
.....................................................................................
ประโยชน์ในการเวียนเทียน
การเวียนเทียน 3 รอบ การเวียนเราจะเวียนขวา ก็คือการเอาสิ่งที่เราเคารพไว้ด้านขวา เรียกว่าความเคารพต่อพระธาตุเจ้า การประทักษิณเราจะต้องตั้งปณิธาน การที่เขาให้เวียน 3 รอบนั้น เพื่อให้รู้สังสารวัฏเรานี้ มันมีเวียนว่ายตายเกิด เหมือนวงล้อมันหมุนไป แล้วมันกลับมาที่เดิมหาเบื้องต้น และเบื้องปลายไม่ได้ สังสารวัฏของเรานี้ไม่มีเบื้องต้น และเบื้องปลาย ถ้าตัวเราไม่ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว วิญญาณของคนเรานี้ จะไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงให้มีการเวียนประทักษิณ การเวียนประทักษิณไม่ใช่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น แม้แต่เทวดา พระอินทร์ก็ยังประทักษิณที่ พระเกษแก้วจุฬามณีทุกวันศีล ไม่ใช่พระอินทร์เท่านั้น หน่อโพธิสัตว์ชื่อศรีอริยเมตตรัยก็มาวันศีล หมู่มนุษย์หมู่ศรัทธา
เราบางคนไม่รู้จักคุณค่าของพระธาตุมาเวียนเฉพาะ วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันศีลไม่ยอมมาเวียนกัน ดูอย่างพระอินทร์ พระโพธิสัตว์พระศรีอริยเมตตรัยไปทุกวันศีล ที่ไปนี้เพราะท่านเห็นคุณค่าของสิ่งที่ประเสริฐ มนุษย์บางคนนี้ ไม่รู้จักสิ่งที่มีคุณค่า ฉะนั้นก็ไม่รู้จักพูดยังไง เพราะเขาไม่มีเจตนาไปประทักษิณ แต่หมู่ศรัทธานี้ ให้เอาพระอินทร์ พระโพธิสัตว์เป็นตัวอย่าง ให้ไปประทักษิณทุกวันศีล 1. เพื่อการเคารพบูชา 2. เมื่อวนสามรอบจะได้นึกถึงสังสารวัฏนี้เพื่อจะได้มีใจปฏิบัติ เพื่อจะได้หลุดพ้นจากสังสารวัฏนี้
สังสารวัฏนี้ประกอบด้วย กรรมวัฏฏ์ วิบากวัฏฏ์ กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ คือ อะไรทำให้วนเวียนคือกรรมวัฏฏ์ วิบากวัฏฏ์ คือ ผลของกรรมที่ทำให้วนเวียน กิเลสวัฏฏ์ คือ กิเลสทำให้เรามาวนเวียน
ที่นี้เราจะออกจากสังสารวัฏนี้ เราจะออกทางไหน คือ ออกทางกิเลสให้กำหนดทางกิเลส เห็นหนอ ได้ยินหนอ ได้กลิ่น ได้รสหนอ ถูกหนอ อันนี้คือตัดเลย เมื่อมีความโกธรเกิดขึ้นมีสติกำหนด เมื่อมีความโลภเกิดขึ้นมีสติกำหนด เมื่อมีความหลงเกิดขึ้นให้มีสติกำหนด ให้ตัดอย่างนี้ เพื่อที่จะเข้าถึงความพ้นทุกข์
ที่มา :
http://irrigation.rid.go.th/rid15/ppn/Dhamma/Dhamma1/4.htm
.....................................................................................
เหตุที่ต้องเวียนเทียนไปทางขวา
ก็ด้วยความเชื่อของคนไทยแต่โบราณนั่นเอง ว่าขวาเป็นมงคล ซ้ายเป็นอวมงคล ซึ่งเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องทิศ โดยสมัยโบราณได้แบ่งทิศเป็นเพศ และจำแนกเป็นซ้ายขวา ก็คือว่า ทิศตะวันออกกับทิศใต้เป็นทิศฝ่ายขวา ให้เป็นเพศชาย ส่วนทางทิศเหนือและทิศตะวันตกก็เป็นฝ่ายซ้าย ให้เป็นเพศหญิง
คนโบราณยังนิยมนอนหันศีรษะไปทางทิศเหนือ โดยถือว่าเป็นมงคล เมื่อตายจึงต้องหันหัวไปทางตรงข้าม คือทิศใต้ เป็นอวมงคล เพราะฉะนั้นคงมีคนเถียงว่า ไม่ใช่เพราะทิศใต้เป็นผู้ชาย จะอวมงคลได้ยังไง แต่ที่จริงแล้ว ยังมีความเชื่ออีกประเภทหนึ่ง ที่เชื่อกันว่าเวลานอนต้องหันหัวไปทางทิศตะวันออก หรือไม่ก็ทิศเหนือและทิศใต้ เพื่อความเจริญในชีวิต แต่เมื่อตายก็ให้หันหัวศพไปทางทิศตะวันตก บางตำราก็บอกให้หันหัวนอนไปทางทิศใต้ เมื่อตายก็หันทิศเหนือ และกลุ่มสุดท้ายนี่เอง เป็นที่มาของการเวียนเทียนทางขวา เพราะถือว่าเป็นมงคลหรือสมโภชน์
http://www.mthai.com/mag/knowledge/nana018.htm
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th