Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
จิตยิ้ม
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
...
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 7:49 am
จิตยิ้มคืออะไร
เนื้อความ : อ่านเรื่องทางนฤพานแล้วมีข้อสงสัยอยากเรียนถามคุณดังตกฤณดังนี้ค่ะ
1. (ในตอนที่ 26) การบรรลุโสดาบันนี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เรามั่นใจได้ว่าจะไม่หลุดพ้นจากทางนิพพานหรือค่ะ ไม่ว่าเราจะเกิดมาในชาติใหม่ที่ไม่รู้จักศาสนาพุทธ หรือเกิดเป็นอื่น ๆ ก็ตาม ?
2. จิตยิ้มคืออะไรค่ะ ?
3. ตัวผู้ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งบรรลุโสดาบันแล้วจะรู้ไหมค่ะว่าตนเองได้ถึงขั้นนั้นแล้ว ?
4. การปฏิบัติธรรมที่จะสามารถให้เรามีความเจริญขึ้นนี้ ใช้ความพยายามสามารถไปถึงจุดได้ไหมค่ะ หรือว่าต้องมีบุญบารมีด้วย
5. สมมุตินะคะ ว่ามีเจ้าของร้านค้าแห่งหนึ่งค้าขายอยู่ วันหนึ่งมีโจรเข้ามาปล้น ... และเกิดการต่อสู้กันขึ้น จนกระทั่งเจ้าของร้านเสียชีวิต อย่างนี้เจ้าของร้านมีจิตอกุศลก่อนตายใช่ไหมค่ะ ต้องไปสู่ทุคติ (ดูแล้วไม่ยุติธรรมเลยค่ะ)
จากคุณ : ปลาทองค่ะ - [10 เม.ย. 2542 16:47:39]
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
1) นิพพานเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ แต่ไม่ใช่วิสัยของสังสารสัตว์ที่จะเห็นได้ ตามตำรา นิพพานถูกเห็นได้เมื่อ- เกิดมรรคจิต (ไม่ใช่อยู่ในมรรคแปด)- เกิดผลจิต- พระอริยบุคคลเข้านิโรธสมาบัติ- พระอริยบุคคลเจริญวิปัสสนาถึงขั้นว่างแม้จิตผู้รู้- พระอรหันต์ดับขันธ์เพราะฉะนั้นเมื่อได้โสดาปัตติผล ก็คือเห็นนิพพานเป็นครั้งแรกนับแต่ท่องสังสารวัฏมาเป็นอนันตชาติเรื่องของความมั่นใจว่าจะไปได้ถึงนิพพานนั้น ผู้ที่ได้ทิฏฐิวิสุทธิ์ในระดับของวิปัสสนาญาณก่อนถึงมรรคผลก็รู้สึกอยู่แล้วครับ เมื่อจิตไม่เห็นอะไรนอกจากความเกิดดับ อุปาทานบางลงเรื่อยๆ จะรู้สึกอยู่ลึกๆ หรือเป็น "ความรู้" ในธรรมชาติอันแหลมคมประกอบจิตว่าอย่างนี้ได้ "สิ้นกิเลส" แน่ๆ (ไม่สนใจด้วยซ้ำว่านิพพานหน้าตาเป็นอย่างไร เพ่งเฉพาะความสิ้นกิเลส สิ้นอุปาทานในตัวตน) สำหรับผู้ถึงมรรคผลจะยิ่งกว่านั้น เพราะเห็นธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งแล้ว รู้ทางเข้าถึงแน่แล้ว ใครมาชวนอย่างไรให้เขวไปทางอื่นก็ไม่มีทางสำเร็จ หรือแม้ใครมาอ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด กล่าวว่านิพพานไม่มี หรือไปนิพพานต้องทำบุญกับท่าน ก็จะไม่มีวันเชื่อเลยสาระอย่างหนึ่งของการถึงมรรคผลนิพพานขั้นต้นคือเมื่อพินิจขันธ์ 5 จนกระทั่งจิตล็อคตัวนิ่งในสภาวะรู้ พอความคิดผุดขึ้นจับแยกได้ทันทีว่าสัญญาณนำมโนภาพเข้ากระทบจิตให้เกิดความกำหนดหมายนั้นเรียกว่า "สัญญา" ส่วนความปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว เป็นภาษานึก ภาษาคิดนั้น เรียกว่า "สังขาร" และความพอใจหรือขัดใจอันเป็นผลจากสัญญา-สังขารนั้น เรียกว่า "เวทนา" ที่ความเห็นเช่นนั้นอุปาทานในตัวตนจะไม่เกิด เพราะเวทนา สัญญา สังขาร สักแต่ว่าผุดขึ้น ลอยวนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสลายตัวไปเอง ไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครควบคุมให้ทรงอยู่ได้ ถ้าทำได้เดี๋ยวนี้ก็ประจักษ์ได้เดี๋ยวนี้ สิ่งที่เหลือคือตัวรู้ ตัวเฝ้าดูอยู่เฉยๆ (ถ้าหากรู้ไม่ได้นิ่งนานเป็นกลางต่อเนื่อง ก็ไม่เรียกว่าตัวรู้)สำหรับผู้ยังไม่ถึงมรรคผล จะยึดเอาจิตรู้ จิตที่รู้สึกว่างจากอุปาทานนั้นเป็นความสงบเย็นใจ เป็นภาวะที่สมควรรักษาไม่ให้เสียดุล แต่ผู้เคยเห็นนิพพานอย่างแท้จริง จะตระหนักว่าแม้จิตผู้รู้ที่ทรงนิ่งเป็นกลางอยู่ ก็ยังไม่ใช่ที่สุด มีธรรมชาติที่เป็นคนละแบบกับจิตอยู่เหนือขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นพระอริยบุคคลจะไม่หลงยึด หลงเขวไปว่า "จิตว่าง" นั้นคือนิพพานคงตอบคำถามข้อแรกของคุณปลาทองได้ครบนะครับ เรื่องของความมั่นใจนั้น เป็นของที่ไม่ใช่สาระแล้ว ธรรมชาติวิสัยของจิตที่เข้าถึงกระแส จะแน่นอนว่ามีแต่มุ่งไปให้ถึงที่หมายปลายทางครับ ทราบทาง เดินอยู่ในทาง ไม่มีวันหลงเขวออกนอกทางเลย
2) จิตยิ้มมีกล่าวไว้ในอภิธรรมปิฎก ผมจำศัพท์เฉพาะไม่ได้ ทราบแต่ว่าในกระบวนการบรรลุมรรคผล จะต้องมีจิตที่ "ทำให้เกิดอาการยิ้ม" เสมอ ก็คล้ายกับคุณปลาทองอดยิ้มไม่ได้เมื่อประสพความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ แต่กระบวนการของจิตที่เข้าถึงมรรคผล จะมีอะไรที่แน่นอนกว่านั้น กลั้นยิ้มกันไม่ได้ และโดยตัวสภาพจิตเอง พระร่วมสมัยท่านก็นิยมเรียกอย่างนี้ วัดจาก "แสงเปิด" ที่เป็นเรื่องภายในละเอียดอ่อนครับ
3) เอาเป็นอย่างนี้ดีกว่า ดึงมาจากคำตอบข้อแรก เอาเป็นว่าพวกท่านเห็นนิพพาน เกิดภาวะเปลี่ยนแปลงฉับพลันทางจิตที่ไม่ธรรมดา ขณะเกิดผลญาณเองจิตก็อยู่ในภาวะเหนือรู้ในระนาบเดียวกับนิพพาน ว่างยิ่งกว่าอนันตภาพของความว่าง เป็นความไร้แสงที่เหนือกว่าความสว่างของแสงทุกชนิด และเมื่อจบกระบวนการอันวิเศษนั้นแล้ว ก็เกิด "จิตบอก" ซึ่งเหมือนๆ กันทุกรายนับแต่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ กระทั่งถึงสมัยที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องนิพพาน เห็นนิพพานเป็นเรื่องหลอก เรื่องหากินทุกวันนี้ภาวะของ "จิตบอก" นั้น เป็นที่คนทั้งหลายสงสัยกันมาแต่ไหนแต่ไร เอ๊ะคนถึงแล้วเขารู้กันได้อย่างไร มันเกิดภาวะยังไงถึงเรียกว่ารู้แน่ รู้จริง เป็นของจริง ไม่ใช่อุปาทานโมเมเอา?ตรงนี้แหละครับเรื่องยากที่สุด คนถึงแล้ว ต่อให้อธิบายเก่งแค่ไหน ก็ให้ความมั่นใจกับคนยังไม่ถึงไม่ได้หรอก ยิ่งจะให้แสดงว่า "ตอนนั้น" จิตบอกอย่างไรถึงเชื่อจิตเพราะฉะนั้นขอเน้นซ้ำตรงจุดที่ควรจะเน้น นั่นคือภาวะของมรรคผลนั้น "เปิด" ให้เห็นระนาบธรรมชาติชนิดที่เป็นนิพพานเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นมหาสมุทรสุญญตานั้นแล้ว จะไม่สงสัยอีกเลยว่านิพพานมีจริงหรือเปล่าอีกประการหนึ่งเมื่อเกิดมรรคผลนิพพาน ภาวะจิตใจของผู้ถึงจะเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เช่นรักความสะอาดของจิต จิตห้ามเจตนาเดิมๆที่จะล้ำกรอบศีลห้า ฯลฯ ตรงตามบัญญัติว่าด้วยการตัดสังโยชน์ทุกประการ ไม่ใช่เรื่องกุ เรื่องเหลวไหลเลยส่วนที่ว่า "จิตบอก" อย่างไรนั้น ขอให้เป็นเรื่องของปัจจัตตังครับ ถึงเองรู้เองว่าเป็นอย่างไร
4) ใครอยากดูว่าตัวเองมีบารมีในการบรรลุมรรคผลนิพพานหรือเปล่า ก็สำรวจจากจิตในขณะปัจจุบันครับ- มีความผ่องใสหรือเปล่า- มีความตั้งมั่น เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงทางกายนี้ จิตนี้ ความคิดนี้ของตัวเองหรือเปล่า (ไม่ต้องสร้างนิมิตเสริมอุปาทานอะไรขึ้นมาทั้งนั้น เอาของจริงที่ปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้) ขอแค่คร่าวๆ สองข้อนี้ ถ้ามีอยู่ในตัว และกำลังอ่านบรรทัดนี้ (ซึ่งแปลว่ารู้จักพุทธศาสนา มีศักยภาพในการศึกษาพระไตรปิฎกของแท้แน่ๆ) ก็แปลว่าเรามีบารมีพอจะบรรลุมรรคผลแน่นอนครับ ด้วยศักยภาพของมนุษย์นี้แหละ ส่วนเรื่องต้องสั่งสมบุญจากชาติปางก่อนแต่ไรมา ทิ้งไว้เสีย อย่าไปสนใจเลย พิสูจน์ไม่ได้ง่ายๆ ขอแค่กำลังอ่านบรรทัดนี้ มีใจมุ่งมั่นปรารถนาไปให้ถึงความดับสนิทของกิเลส เป็นอันใช้ได้แล้ว
5) เรื่องที่ (ดูเหมือน) ไม่ยุติธรรมนั้น มีอะไรมากกว่านั้นเยอะครับ พี่สันตินันท์เคยเล่าให้ผมฟังว่าพระธุดงค์องค์หนึ่ง ปฏิบัติดี รักษาศีลมาตลอด แต่ตอนใกล้ตายในป่าเกิดอุปฆาตกรรมแทรก คือตายเพราะขาดอาหาร ตายในขณะหิวจัด ซึ่งจิตแบบนั้นทำให้ต้องไปเกิดเป็นเปรต (แต่ยังโชคดีหน่อย ถึงเกิดในภูมิต่ำ แต่บารมีธรรมสูงพอจะให้มีความสุข มีแสงโอภาสคล้ายเทวดา) สังสารวัฏน่ากลัวและไม่มีใบหน้ายิ้มปรานียื่นมาให้เราหรอกครับ จับพลัดจับผลูกันเอาเอง เคราะห์ดีใกล้ตายใจกำลังเป็นกุศลก็โชคดีไป ส่วนโชคร้ายใจเป็นอกุศล จะด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม ก็ไม่มีใครร่วมแสดงความเสียใจกับปรภพของเราเลยนอกจากเราเองผู้เสวยวิบากมีคนเคยคิดกันมากว่าถ้าอย่างนี้ไม่ต้องทำบุญหรอก ทั้งชาติน่ะ ไปทำใจเอาตอนใกล้ตายก็พอ คิดอย่างนี้เสร็จเลยครับ เสร็จตั้งแต่ตอนคิดนั่นแหละ จัดเป็นกรรมหนักฝ่ายอกุศลชนิดหนึ่ง เพราะพอเชื่อเช่นนั้นก็ทอดหุ่ย อยากทำอะไรก็ทำ เตรียมๆแค่จะนึกถึงพระอรหันต์ก่อนตาย ข้าพเจ้าคงเกาะชายผ้าเหลืองในจินตนาการเหาะขึ้นสวรรค์เป็นแน่ความจริงกระบวนการตอนจิตใกล้ดับนั้น ไม่ราบรื่น เป็นไปตามอำเภอใจเหมือนตอนกำลังคิดได้ พูดได้ปกติอย่างวินาทีนี้ถ้าจะถามหาความยุติธรรมในสังสารวัฏ ต้องถามหาจากตัวเองครับ ที่กำลังเป็นภพนี้ ภูมินี้ ร่างมนุษย์นี้ ทำจิตให้เป็นกุศลอย่างต่อเนื่อง ให้ทาน ทั้งทรัพยทาน อภัยทาน วิทยาทาน และธรรมทาน เหตุการณ์ดีร้ายในโลกล้วนปรุงแต่งเหมือนมีเจตนาลากคนลงนรกเกือบทั้งสิ้น สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่าคนไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานนั้นมากเหมือนขนโค ส่วนที่ไปเกิดบนสวรรค์หรือกลับมาเป็นมนุษย์อีกนั้น น้อยเหมือนเขาโค ไม่ใช่เรื่องหลอกอีกเหมือนกัน เท่าที่ผมฟังพระป่าที่ท่านปฏิบัติและระลึกชาติได้จริงๆ ท่านจะไม่ค่อยเล่าเรื่องดีๆ นะครับ บางองค์ (อย่าขอให้เอ่ยชื่อท่านเลย) กล่าวว่าท่านเป็นสุนัขมานับหมื่นชาติติดต่อกัน บางองค์บอกว่าเมื่อชาติใกล้ท่านเพิ่งเป็นไก่ ฯลฯ ผมเคยคิดอย่างคุณปลาทอง ไม่รู้แล้วจะมาว่าผิดได้ไง ทำบาปไปไม่มีใครบอกนี่ว่าต้องลงนรก เสร็จแล้วจะคิดยังไง เชื่อยังไง ถ้านรกสวรรค์มีก็ต้องไปตามยถากรรมแน่ๆ สิ่งที่เหวี่ยงไป ลากทึ้งไปก็ไม่ใช่ยมบาลที่ไหนหรอกครับ จิตที่ปรุงแต่งเป็นโลภ โกรธ หลงจนหน้ามืด ตัวมืด ใจมืดอย่างที่ชินๆกันนี่แหละนอกกระทู้หน่อย เตรียมใจตาย เตรียมกายลำบากไว้ก็ดีนะครับ ในโลกที่กำลังมีแต่ความไม่แน่นอนนี้ จะเชื่อศาสนาไหน ลัทธิใด ก็สุดแล้วแต่ใจใครจะไขว่คว้าเถิด ขออย่างเดียวไปให้ถึงสุดทางความเชื่อของตัวเองด้วยใจที่สะอาด สว่างเป็นกุศลเถิด
โดยคุณ : ดังตฤณ - [10 เม.ย. 2542 18:28:35]
.....
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 7:52 am
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
ขอเสริมข้อเขียนของคุณดังตฤณสักเล็กน้อยครับในเรื่องจิตยิ้มนั้น ก่อนจะกล่าวถึงจิตยิ้ม เราน่าจะกล่าวถึงการยิ้มปกติเสียก่อน คนเรานั้นที่ยิ้มออกมาได้ (ไม่นับเรื่องแกล้งยิ้มนะครับ) ก็เพราะจิตเคลื่อนเข้าไปติดอารมณ์ที่เป็นโสมนัสเวทนา แล้วปรุงแต่งความลิงโลดใจขึ้นมา แล้วแสดงอาการออกมาทางกายคือการยิ้มยังมีภาวะการยิ้มอีกชนิดหนึ่งที่จิตไม่ได้ถูกโสมนัสเวทนาครอบงำบังคับ มันเป็นอาการที่จิตของพระอริยบุคคล แสดงความเบิกบานขึ้นมา เพราะจิตนั้นมันเป็นอนัตตา มันแสดงของมันได้นอกเหนือการบังคับ เวลาที่มันเห็นสัตว์ในอบายภูมิบ้าง เห็นนิพพานบ้าง มันทักทายตัณหาบ้าง มันก็แสดงความเบิกบานออกมาเอง จัดเป็นอเหตุกจิตอย่างหนึ่ง เรียกว่าหสิตุปปาทะ หรือความอุบัติแห่งความร่าเริงนักปฏิบัติที่เข้าถึงอริยธรรมแล้ว บางท่านจะจับได้ว่าจิตจะมีความร่าเริงโดยไม่ยึดติดอารมณ์ แล้วอุทานทักทายตัณหาว่า ต่อไปเจ้าหลอกจิตนี้ไม่ได้แล้วบ้าง จิตนี้พ้นเด็ดขาดแล้วจากอบายภูมิบ้าง อันนี้ท่านสมมุติเรียกว่าจิตยิ้ม คือเราไม่ได้ยิ้ม แต่จิตยิ้มของมันเองโดยไม่ติดอารมณ์ ส่วนใบหน้าของเราจะยิ้มหรือไม่ ไม่สำคัญ อาจจะแสดงออกบ้างก็แค่ยิ้มนิดๆ ด้วยมุมปากบ้างเท่านั้นก็ได้ อีกเรื่องหนึ่งที่คุณดังตฤณเล่าเรื่องเปรตพระ หรือภิกษุเปรตนั้น ที่จริงผมเจตนาเล่าให้คุณดังตฤณฟังคนเดียว ไม่คิดว่าจะนำมาเล่าต่อ เพราะสิ่งเหล่านี้เรารู้เห็นเฉพาะตัว ไม่มีพยานรู้เห็นด้วย ถึงนำมาเล่าก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นเรื่องที่มีคุณเจอด้วยโทษ แต่ไหนๆ ก็นำมาเล่าแล้ว ก็อยากเพิ่มเติมให้พวกเราทราบว่า กระทั่งพระธุดงค์ที่รักษาศีลอันดี แต่ท่านหลงป่า เกิดความหิวกระหายอย่างยิ่ง แล้วดับลงในขณะที่จิตเกิดโลภะอย่างแรงในอาหาร กรรมชั่วเพียงขณะนั้น ส่งให้ท่านไปเกิดเป็นเปรต เดินท่อมๆ อยู่ในป่าก่อนจะถึงเชียงราย ท่านมีรูปกายที่ผ่องใสงดงามมากด้วยอำนาจศีลของท่าน แต่จิตที่ติดข้องนั้น บันดาลให้ท่านยังเดินท่อมๆ ด้วยกายที่สูงเทียมภูเขา แต่ท่านรู้สึกเหมือนกายท่านเท่าคนธรรมดานี้ และยังเดินเที่ยวหาทางออกจากป่าอยู่กลไกการทำงานของจิตนั้นละเอียดอ่อน ลึกซึ้งและเที่ยงธรรมมากครับ ไม่มีข้อยกเว้นเพราะเห็นแก่หน้าใครๆ ทั้งสิ้น สำหรับเรื่องที่เล่ามานี้ ขอให้ฟังเล่นๆ ก็พอครับ อย่าจริงจังกับเรื่องราว แต่พยายามทำความเข้าใจกับเนื้อหา จะเกิดประโยชน์มากกว่าครับ
โดยคุณ : สันตินันท์ - [10 เม.ย. 2542 22:24:22]
.....
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 7:55 am
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
มาทำ link ให้ครับผม
http://www.geocities.com/Athens/Aegean/1847/
โดยคุณ : Acura - [11 เม.ย. 2542 03:38:00]
.....
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 7:58 am
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
ขอบคุณคุณปลาทองครับ ทำลิงค์ให้อีกทีจะได้คลิกง่ายๆ
http://www.geocities.com/Athens/Aegean/1847
(เพิ่งเห็น Acura ทำไว้แล้ว ขอบใจมาก :-) )
เอาเข้าเมลลิ่งลิสต์แล้วครับคุณฐิติมา มีข่าวคราวหรือความคืบหน้าอะไรจะแจ้งให้ทราบ (ไม่ได้แจ้งเฉพาะเรื่องทางนฤพานนะครับ) ขอบคุณคุณพลวัฒน์และเอิงเอยครับ ไม่ได้หายไปไหน แค่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรใหม่ๆ อยากเร่งตัวเองให้พัฒนาขึ้น แต่ก็อ่านเอาความรู้จากห้องสมุดเสมอ รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่คุณพลวัฒน์เขียนด้วยฟังพี่สันตินันท์พูดเกี่ยวกับกลไกและความเที่ยงตรงของจิตแล้ว นึกถึงช่วงที่ตัวเองเจ็บใจกับชะตาชีวิต ตอนนั้นคิดเพ่งโทษ หาใครสักคนเป็นผู้ผิด ผู้ทำให้เราทนทุกข์ ซึ่งก็บาปกรรมเหลือหลาย เหมือนหลายๆ คนนั่นแหละครับ คิดว่าพ่อแม่ทำให้เราเกิดมาตอนหลังหูตาเริ่มสว่าง โดยเฉพาะตอนเห็นตัวเองในอีกอัตภาพหนึ่ง ที่น่าสะพรึงกลัว จิตถูกห่อหุ้มด้วยความชั่วร้าย ไม่มีขณะแห่งความสุขสบายเหมือนอัตภาพมนุษย์ ได้ข้อสรุปเลยว่าความไม่รู้นั้น สำหรับมนุษย์ด้วยกันถือว่าไม่ผิด เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจ น่าเวทนา ถ้าเป็นศาลก็ลดหย่อนโทษให้กึ่งหนึ่ง หรือไม่เอาโทษเลย แต่สำหรับธรรมชาติแล้ว ความไม่รู้นั่นแหละผิดมหันต์ ต้องโทษร้ายแรงสูงสุด คือต้องเวียนว่ายตายเกิด เกิดเมื่อไหร่ไม่รู้เมื่อนั้น พอไม่รู้ก็คิดอะไรไปเรื่อย ตอนเด็กใครพูดอะไรก็เชื่อ ปลูกฝังอะไรก็รับไว้ บางคนปล่อยให้ความเชื่อเติบโตขึ้นพร้อมกับตัว บางคนโตขึ้นแล้วทำลายความเชื่อทิ้ง ใครมีความเชื่อชนิดใดแข็งแรง ก็มองว่าคนอื่นที่เชื่อต่างจากตนหลงผิด แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือถึงขั้นทำสงครามกันเพราะความเชื่อ เหตุการณ์ต่างๆในห้องสมุดทำให้ผมเห็น และได้รับประสบการณ์หลายต่อหลายอย่าง เข้าใจซึ้งว่าทุกคนมีความเชื่อส่วนตัว และหวงความเชื่อส่วนตัวนั้นไว้อย่างเหนียวแน่นเพียงใดเคยคุยหลายครั้งกับหลายคน ว่าอย่างนี้เราควรเอาอะไรเป็นบรรทัดฐาน เป็นหลักตัดสินว่าความเชื่อ หรือแนวทางทางศาสนาชนิดใด ถูกต้อง ลงตัวที่สุด ผมย้อนกลับมาคิดถึงธรรมชาติความไม่รู้ ซึ่งเป็นสมบัติติดตัว ติดจิตติดวิญญาณทุกรูปนาม คิดถึงวิถีพัฒนาการปลูกฝังความรู้สึกนึกคิดของแต่ละบุคคล แล้วก็ได้ข้อสรุปทุกครั้งว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำให้ทุกคนเชื่อเหมือนกันทั้งโลก เพราะลักษณะการสั่งสมของแต่ละคนไม่ใช่เพิ่งเริ่มในชาตินี้ ผมเห็นชาวพุทธแปลกๆมาเยอะ หลายคนรู้ๆๆ ถามอะไรตอบได้หมด แต่ขอโทษเถอะ ที่ตอบนั้นด้วยน้ำเสียงและสำบัดสำนวนที่เร่าร้อนเหลือเกิน แต่บางคนถามนั่นก็ไม่รู้ ถามนี้ก็ไม่ทราบ เหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่ดูตอนทำสมาธิ โอ้โฮ ยืนๆคุยอยู่อยากรวมจิตเงียบหายหนีเราไปเมื่อไหร่ก็ได้ เข้าใกล้เมื่อไหร่ ฟังพูดอะไร รู้สึกเย็นจับใจ น่ารับกระแสไปหมดตอนนี้ไม่ค่อยสนใจว่าใครรู้ลึก หรือกระทั่งรู้จริงแค่ไหนหรอกครับ เพราะทั้งรู้ลึก และรู้จริงนั้น ถ้าไม่รู้ให้สุดทาง คือทำจิตสะอาดเป็นกุศล จูนจิตไว้ให้พร้อมทำงานเป็นทาน ศีล ภาวนาทุกขณะ ตายลงเมื่อไหร่ก็เอาตัวรอดไม่ได้ ต่อให้ขณะมีชีวิตเหมือนยิ่งใหญ่ เป็นที่รู้จักไปทั่วครอบฟ้าเมืองไทยอย่างไร ตัวตายลงก็พุ่งลิ่วๆไปไหนไม่รู้ ผมเองเขียนๆนี่ก็เพราะทุกวันนี้ระวังตัวแจ ระวังไม่ให้อกุศลจิตเกิด ถ้าเกิดก็ไม่ยอมให้เกาะจิตเกาะใจอยู่นาน เร่งตัวเองทำจิตให้เห็นขันธ์ 5 เป็นไตรลักษณ์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อ้อ ... ลืมตอบคำถามคุณปลาทองข้อสุดท้ายสำหรับบทที่ 29 บทสุดท้ายนั้นจะพยายามเร่งครับ วันก่อนพี่สันตินันท์บอกว่าถ้าตายไปยังเขียนไม่จบบริบูรณ์ เดี๋ยวค้างคาอะไรไว้ จิตไม่ดีแต่บทที่ 29 กับความไม่ประมาท เพียรปฏิบัติเต็มกำลัง ก็มีส่วนสัมพันธ์กันอยู่ครับ พูดให้เข้าใจง่ายๆเลยก็แล้วกัน เผื่อมีผู้อ่านผ่านกระทู้นี้อีกผมต้องเอาตัวให้รอดก่อนครับ
โดยคุณ : ดังตฤณ - [11 เม.ย. 2542 07:36:25]
.....
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 8:04 am
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
คำถามที่ว่าผู้ได้โสดาบันแล้ว รู้ตัวหรือไม่ว่าได้โสดาบัน และคุณดังตฤณ กล่าวถึงเรื่อง จิตบอก นั้น ที่จริงจิตไม่ได้บอกว่า "เอ้า ตอนนี้เธอได้พระโสดาบันแล้วนะ" แต่มันเป็นภาวะที่ต่อจากผลญาณ คือหลังผลญาณ จิตจะรวมลงภวังค์นิดหนึ่งแล้วมีสัญญาเกิดขึ้น จากนั้นมันจะทวนถึงเรื่องที่เพ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ นับแต่การเกิดมรรค ซึ่งมรรคได้ประหารสิ่งห่อจิตที่บริสุทธิ์ให้แหวกออก จนธรรมชาติบริสุทธิ์ล้วนๆ ได้แสดงตัวออกมา 2 - 3 ขณะ รู้ชัดว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นล้วนดับไปทั้งสิ้น และมีเพียงธรรมชาติที่พ้นจากความปรุงแต่งอยู่จริงๆ ซึ่งไม่มีความเป็นอัตตาตัวตนใดๆ แม้แต่น้อยหนึ่ง จิตนับแต่นี้ไป ไม่มีความหลงผิดอีกแล้วว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่จิตเอง รวมทั้งนิพพาน จะเป็นตัวตนของตนขึ้นมาได้อีก และจิตรู้อีกว่า เมื่อผ่านมรรคผลไปแล้ว จิตก็กลับถูกอวิชชาตัณหาอุปาทานห่อหุ้มคลุมบังไว้อีก กิจที่ยังต้องต่อสู้ยังมีอยู่อีกที่ว่าจิตบอกนั้น มีอาการและสิ่งที่บอก ดังที่เล่ามานี้ครับ ทางปริยัติท่านเรียกว่าปัจจเวกขณญาณ สรุปแล้วจิตไม่ได้บอกว่าเธอได้โสดาบัน แต่ทวนให้รู้ถึงสภาวธรรม 5 ประการคือ มรรค ผล นิพพา กิลเสที่ละแล้ว และกิเลสที่เหลืออยู่บางท่านไม่เคยเรียนปริยัติ จิตจะรู้สภาวะเท่านั้น จึงเรียกไม่ถูกว่าอันนี้มรรค อันนี้ผล อันนี้นิพพาน อันนี้เรียกว่าโสดาบัน เพียงแต่จิตเข้าถึงความบริสุทธิ์ และรู้ เท่านั้นเอง ไม่สามารถบัญญัติชื่อออกมาได้ และตรงนี้แหละครับ ที่ทำให้บางท่านเล่าว่า มรรคเป็นอย่างนี้ ผลเป็นอย่างนี้ แล้วเหลื่อมๆ กับปริยัติ เพราะท่านเอาสภาวะจิตชุดหนึ่งมาแยกซอยออกไปเป็นช่วงๆ ว่าตรงนี้มรรค ตรงนี้ผล ตรงนี้ปัจจเวกขณะ แต่การแบ่งซอยของท่านไม่ตรงตำรานัก ทั้งที่สิ่งนั้น ก็เป็นสิ่งเดียวกันนั่นเอง อย่างไรก็ตาม บางครั้งตำราที่ดูละเอียดอย่างยิ่งนั้น ก็ยังข้ามภาวะบางอย่างไปบ้าง แล้วไปขยายความละเอียดในอีกบางจุดที่ผู้ปฏิบัติท่านนั้นผ่านข้ามไปในแว้บเดียว ก็เลยพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องระหว่างปริยัติกับปฏิบัติในบางคราวสรุปแล้ว มรรคผลนิพพานไม่ใช่ของพ้นสมัย ใครทำถูก คนนั้นก็ได้ครับ
โดยคุณ : สันตินันท์ - [11 เม.ย. 2542 07:42:11]
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
พอโพสต์เสร็จเห็นคุณดังตฤณมาเขียนถึงความไม่รู้ เห็นแล้วก็สะท้อนใจ เพราะความไม่รู้ของคนเรามันมากเสียเหลือเกิน เช่นไม่รู้อริยสัจจ์ จึงเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนาไม่เต็มเปี่ยม ไม่มีทิพยจักษุ หรือจุตูปปาตญาณ ก็ไม่รู้จริงเกี่ยวกับความน่ากลัวของสังสารวัฏแบบถึงใจ ไม่มีเจโตปริยญาณ ก็ไม่รู้ว่าครูบาอาจารย์หรือพระที่เราเคารพนับถือนั้น เนื้อในเป็นทองคำหรือเป็นเนื้อเน่าอ้อ.. มีข่าวอยากจะบอกพวกเราว่า ตอนนี้หมดนิกร ยันตระ ภาวนา ฯลฯ ก็เริ่มมีสินค้าตัวใหม่ที่กำลังปลุกปั่นขึ้นมาเป็นปรมาจารย์ใหม่อีกแล้ว เป็นพระหนุ่ม ตั้งตัวเป็นหลวงปู่ โดยชอบกล่าวให้น่าเคลือบแคลงว่าตนมีอายุมาก มากกว่าหลวงปู่แหวนขนาดหลวงปู่แหวนเรียกว่าอาจารย์ปู่ ผมเพิ่งพบท่านผู้นี้เมื่อวันที่ 8 เมษายนนี้เอง เพราะที่ทำงานเขานิมนต์มาพอมาถึงท่านก็จัดการแผ่เมตตาอย่างแรง แสดงพลังจิตที่เข้มแข็งมากทีเดียวเกิดกระแสความเย็นที่แผ่กว้างเพื่อให้คนนับร้อยมีความสุขและยอมรับท่าน ถัดจากนั้นก็ใช้พลังสะกดคนให้เชื่อฟัง แสดงพลังไป แอบชำเลืองผมไปเป็นระยะๆ เพราะของอย่างนี้มันดูกันออก ผมไม่อยากมีปัญหาก็เลยออกจากที่ประชุมนั้น ปล่อยท่านแสดงของท่านไป ซึ่งก็มีการจัดฉาก ท่านพาลูกศิษย์มาเป็นคนปุจฉา ท่านเป็นผู้วิสัชชนา ประมาณ 2 ชั่วโมงผมกลับลงไปดูใหม่ คราวนี้ลายเสือของท่านหมดไปแล้ว เพราะใช้พลังจิตมากเกินตัว จิตใจกระเพื่อมไหว กระเจิดกระเจิง ไม่กล้าสบตาอีกแล้วไม่รู้จะเตือนให้ชัดกว่านี้ได้อย่างไรครับ พูดมากเกินไปก็ไม่ดี ไม่พูดเลยก็คงมีคนตกเป็นเหยื่อของเขาต่อไป เข้ารอยเดิมที่เคยเชื่อยันตระ ฯลฯ มาแล้วนั่นเอง
โดยคุณ : สันตินันท์ - [11 เม.ย. 2542 08:46:41]
.....
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 8:06 am
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
สังสารวัฏวงรอบใหญ่ คือ ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด เป็นชาติๆ ไป อาจจะไกลตัวมองไม่เห็นความทุกข์ ความน่ากลัว สำหรับคนธรรมดาที่ไม่มีอภิญญา (จริงเท็จแค่ไหนไม่ทราบได้ แต่สมมุติว่าจริงไว้ก่อนตามที่มีผู้รู้แล้ว เห็นแล้ว บอกให้ทราบ) แต่ทุกข์ในสังสารวัฏวงรอบเล็ก คือ ปฏิจจสมุปบาท ความรู้สึก เป็นทุกข์ อึดอัด เหนื่อยหน่าย และหนักหน่วง ต่อการ เกิดดับๆ ของขันธ์ ทั้งห้า นั้นรู้สึกได้ รับรู้ได้ ที่ใจของตนเอง เป็นเรื่องใกล้ตัว ที่ควรให้ความสำคัญ หยิบยกมาพิจารณาก่อนหากปฏิบัติ จนสิ้นสุดจากสังสารวัฏวงรอบเล็ก สังสารวัฏวงรอบใหญ่ก็สิ้นสุดไปด้วยถ้ายังไม่เห็นความทุกข์ในสังสารวัฏวงรอบเล็ก ก็คงป่วยการที่จะพูดถึง ความทุกข์ในสังสารวัฏวงรอบใหญ่ จริงมั๊ยครับ ?
โดยคุณ : มะขามป้อม - [11 เม.ย. 2542 10:42:45]
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
ขอแก้ค่ะ ( ผู้ชายค่ะ )
โดยคุณ : ปลาทอง - [11 เม.ย. 2542 15:17:19]
.....
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 8:09 am
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
ผู้หญิงกับผู้ชายมีศักยภาพที่จะบรรลุมรรคผลเท่าเทียมกันโดยนัยของความเป็นมนุษย์ครับ ส่วนใครมีบารมีมากน้อยกว่ากัน เข้าใกล้ความเป็นจริงได้มากกว่ากัน ก็ขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคลแต่โดยนัยของความเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งสามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนั้น ผู้หญิงเป็นได้แค่อนิยตโพธิสัตว์ เช่นที่ชาติที่สองถัดจากการตั้งความปรารถนาในพุทธภูมิ พระโคดมของเราก็มีกำเนิดเป็นหญิง แต่เมื่อเป็นนิยตโพธิสัตว์ คือเข้าชาติที่เที่ยงจะเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้าแล้ว นับแต่นั้นจะต้องเกิดเป็นชายตลอดฉะนั้นสรุปว่าถ้าใครปรารถนาพระพุทธภูมิ แต่ยังครองอัตภาพเป็นหญิง ก็ยังไม่เที่ยงที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ในกาลข้างหน้า (ว่าตามตำรานะครับ นิยตโพธิสัตว์ต้องเป็นบุรุษเพศเท่านั้น บางคนพยายามวิเคราะห์วิจัย ถกเถียงกันไปถึงประเด็นที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอิตถีเพศได้หรือไม่ด้วยซ้ำ ซึ่งตรงนี้ออกตัวเลยว่าไม่ใช่ความคิดส่วนตัวของผม)
โดยคุณ : ดังตฤณ - [11 เม.ย. 2542 17:53:48]
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
ขอเสริมในเรื่องคำถามข้อ 5 คือเรื่องเจ้าของร้านค้าแห่งหนึ่งค้าขายอยู่ วันหนึ่งมีโจรเข้ามาปล้นและเกิดการต่อสู้กันขึ้น จนกระทั่งเจ้าของร้านเสียชีวิต เจ้าของร้านมีจิตอกุศลก่อนตายใช่ไหม ต้องไปสู่ทุคติ ก็ขอเสริมนิดหนึ่งว่า คนเราก่อนจะตาย ก็จะมีกรรมชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "อาสันนกรรม" เกิดขึ้น ซึ่ง อาสันนกรรมนี้ ว่าโดยตามคัมภีร์แล้ว ก็จะให้ผลเป็นลำดับสอง ลำดับแรกคือครุกรรม คือกรรมหนัก เช่นอนันตริยกรรมทั้งหลาย (กรรมทางชั่ว) หรือ มหัคกุศล 9 ประการ ได้แก่รูปฌาน 5 อรูปฌาน 4 (กรรมทางดี) ต่อจากนั้น อาสันนกรรมจึงจะส่งผล ถ้าไม่ทำครุกรรม อาสันนกรรม ก้จะให้ผลต่อมา อาสันนกรรมก็คือจิตที่ดี หรือที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นในขณะจิตสุดท้ายก่อนจะตาย ถ้าคนที่ทำดีไว้มาก ๆ จิตในขณะก่อนที่จะตายคิดแต่เรื่องบุญเรื่องกุศลที่เคยทำมา อาสันนกรรมที่เกิดตอนนั้นก็จะส่งผลไปในทางที่ดี ดังนั้นการการอบรมสั่งสอนให้จิตมีสมาธิ มีสติอยู่ทุกขณะจึงสำคัญอย่างยิ่ง
โดยคุณ : กรัณฑ์ - [12 เม.ย. 2542 00:45:35]
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
คุณมะขามป้อม กล่าวได้ดีครับ ถ้าผู้ปฏิบัติรู้เห็นปฏิจจสมุปบาท ก็สามารถเห็นทุกข์ของสังสารวัฏได้ และความจริง การเห็นการเวียนว่ายตายเกิดในชาติต่างๆ นั้น เห็นได้เพียงทุกข์ และเข้าใจกฏแห่งกรรมระดับหนึ่งเท่านั้น ส่วนทางออกจากทุกข์จะเห็นได้เมื่อรู้เห็นกลไกการทำงานของจิตในขั้นละเอียด ดังนั้น ผู้ที่ไม่มีวิชชา 2 และอภิญญา 5 ก็สามารถเห็นทุกข์ และทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ด้วยการเจริญสติปัฏฐานในปัจจุบัน และถ้ารู้เห็นปัจจุบันได้จริงแล้ว ก็จะไม่หลงผิดเชื่อคำสอนเพี้ยนๆ แน่นอนครับส่วนเรื่องการเอามือจุ่มน้ำมันเดือดๆ นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะน้ำมันบางอย่างมีจุดเดือดต่ำครับ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นน้ำมันงา หรืออย่างการเอาเข็มเข้าไปใส่ในไข่ก็ไม่ยาก เพียงเอาไข่ไปแช่ในน้ำส้มสายชู จนเปลือกนิ่ม แล้วค่อยๆ เอาเข็มหรือตะปูเล็กๆ เสียบเข้าไป หรือจะเอาอะไรเล็กๆ แทงดันเส้นผมเข้าไปไว้ในไข่ก็ได้ จากนั้นเอาไข่มาทิ้งให้แห้ง มันจะกลับแข็งตัวตามปกติอีก ทีนี้เวลาใครมาหา เราก็ทำพิธีเรียกตะปูออกจากตัวเขาเข้าไปไว้ในไข่ เท่านี้ก็หาเงินได้ครับ วิชชาเหล่านี้ผมเคยเรียนมาเหมือนกัน เพราะเพื่อนตำรวจสันติบาลเขามาแสดงให้ดูแต่การแสดงเหล่านั้นยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ที่น่ากลัวก็คือพวกพระที่ทำตัวให้ดูเคร่งๆ พูดช้าๆ ฉันอย่างนั้น ฉันอย่างนี้ แสดงความเมตตาผิดธรรมชาติ จะสวดมนต์ให้ศีลให้พร ก็เจื้อยแจ้วให้ดูอ่อนโยน จะทำอะไรก็คอยจัดฉากให้น่านับถือ พวกนี้แหละครับที่ทำลายพระศาสนาของเรามาหลายรอบแล้ว คนหนึ่งล้มไป คนใหม่ก็เกิดขึ้นมาอีก เห็นแล้วก็น่าหนักใจครับ ทำให้คิดถึงระบบสังฆการีแบบเก่า ที่มีเจ้าหน้าที่คอยสอดส่องพฤติกรรมพระ ใครคิดจะปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ ก็ฝากให้พิจารณาเรื่องสังฆการีด้วยนะครับ
โดยคุณ : สันตินันท์ - [12 เม.ย. 2542 08:14:31]
.....
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 8:13 am
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
ย้อนไปอ่านข้อเขียนตอนต้นๆ ของคุณดังตฤณ พบว่านอกจากคำว่า จิตยิ้ม จิตบอก แล้ว ยังมีอีกคำหนึ่งคือ แสงเปิด ผมขยายความไป 2 คำแล้วคือคำว่า จิตยิ้ม กับจิตบอก ยังเหลือ แสงเปิด อีกคำหนึ่ง หากไม่อธิบายขยายความ ต่อไปก็อาจเกิดปัญหาอีกว่า ผู้ปฏิบัติชอบพูดเอาเองโดยอัตโนมัติ ไม่อิงปริยัติไว้บ้างเลย สิ่งที่มีสภาพเป็น "แสง" ที่ผู้ปฏิบัติพบเห็นนั้น มีหลายอย่าง อย่างแรกคือ นิมิต ซึ่งผู้ปฏิบัติที่เดินในภูมิของสมถะ บางครั้งจะเห็นดวงสว่างขึ้นมา เป็นดวงใสกริบบ้าง เป็นดวงที่มีรัศมีบ้าง แล้วแต่จิตจะปรุงแต่งไป สิ่งที่เรียกว่าดวงปฐมมรรคในวิชชาธรรมกาย เอาเข้าจริงก็คือดวงนิมิต ตามที่ท่านเจ้าคุณพรหมโมลีท่านอธิบายไว้ เพราะท่านเข้าใจชัดว่า วิชชาธรรมกายนั้นยังติดอยู่เพียงวิปัสสนาขั้นต้นที่เจือด้วยสมถะเท่านั้น ถ้าจะเรียกให้ถูก ก็ควรเรียกว่า ดวงปฐมนิมิต เพราะ มรรค นั้นไม่ได้มีแสงสว่างแต่อย่างใด ส่วนนิมิตประเภทเป็นดวงสว่างนั้น เกิดขึ้นง่ายด้วยการทำเตโชกสิณ หรืออาโลกกสิณ สิ่งที่เป็นแสงสว่างอย่างที่ 2 ก็คือสิ่งที่เรียกว่า โอภาส จะเกิดในระหว่างกำหนดรู้ความเกิดดับของอารมณ์ตามหลักของวิปัสสนากรรมฐาน แต่จิตเกิดพลิกตัวกลับมาเดินในภูมิของสมถกรรมฐาน โดยเจ้าตัวไม่รู้ทัน แล้วเกิดโอภาส เป็นความสว่างที่ฉายออกไปภายนอก บางท่านอยู่ในถ้ำมืดๆ สามารถมองเห็นทุกอย่างชัดเจนเหมือนอยู่ในที่สว่าง หรือในป่าเวลากลางคืน กลับมองเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนเหมือนอยู่กลางแสงจันทร์เต็มดวง บางครั้งน้อมเอาความสว่างโอภาส ไปรู้เห็นพวกกายทิพย์ ก็สามารถทำได้ (นิมิตที่เป็นความสว่าง ก็สามารถใช้น้อมออกไปรู้สิ่งภายนอกได้เช่นกัน) คนที่หลง โอภาส บางคนจะคิดว่าตนเองบรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว จัดเป็นอาการติดวิปัสสนูปกิเลสอย่างหนึ่ง สิ่งที่เป็นแสงสว่างอีกอย่างหนึ่ง เป็นลักษณะมัวๆ เรืองแสงหน่อยๆ อันนั้นเป็นกิเลสตระกูลโมหะ ที่แทรกเข้ามาในจิตผู้ปฏิบัติ และถ้ามันค่อยๆ ผ่องใสขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นจิตประภัสสร นั่นคือหัวโจกของกิเลสตระกูลโมหะ คืออวิชชา แสงสว่างในตระกูลโมหะนั้น ไม่ได้ฉายออกไปข้างนอก แต่ห่อหุ้มคลุมบัง หรือแทรกอยู่กับจิตผู้รู้ ความสว่างอีกอย่างหนึ่งคือ ปัญญา อันนี้เป็นความรู้สึกสว่างสดใสในจิตใจ เมื่อจิตไปรู้เห็นไตรลักษณ์เข้า เช่นเมื่อผู้ปฏิบัติเห็นศพคนตาย หรือบิดามารดาตาย จิตใจจะเกิดความสว่างผ่องใส เพราะเห็นจริงในสัจธรรมว่า สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ดับไปเป็นธรรมดา ความสว่างอีกอย่างหนึ่งเป็น รัศมีของจิต คงเป็นอย่างที่ในห้องสมุดนี้มีคนเรียกว่า ออร่า น่ะครับ ที่จริงจิตของแต่ละคน (ที่ดีๆ) จะมีรัศมี จิตที่ละเอียดประณีตมาก ยิ่งมีรัศมีมาก เช่นพวกเทพชั้นล่างๆ เช่นรุกขเทวดา มีรัศมีเล็กๆ ประมาณแสงดาวเท่านั้น ส่วนเทพชั้นสูงขึ้นไป หรือพรหม จะมีรัศมีแผ่ซ่านไปไกล สำหรับผู้ทรงฌาน ก็มีรัศมีมากเช่นกัน เวลาเจอกับพวกกายทิพย์ เขาจะรู้บารมีกันตรงที่รัศมีมากน้อยกว่ากันนี่แหละครับ แต่รัศมีนี้ หมายถึงรัศมีในภาวะปกติ บางคนที่ชำนาญในฌาน สามารถเปล่งรัศมีมากกว่าปกติได้เป็นคราวๆ สำหรับบรรดาพระอริยบุคคลนั้น ถ้าท่านร่าเริงในธรรม จะมีประกายผุดผ่องมาก ถึงขนาดบางคนสามารถสังเกตความผุดผ่องของพระอริยบุคคลได้ด้วยตาเปล่า จะมีลักษณะคล้ายๆ ความใสที่แทรกอยู่ในเนื้อหนัง แต่ที่จริงแล้ว ความสว่างนั้นแผ่ซ่านออกมาตั้งแต่เยื่อในกระดูกทีเดียว พวกแสงต่างๆ ยังอาจจะมีอีกครับ แต่ตอนนี้นึกได้เท่านี้ และแสงเหล่านี้ยังเป็นแสงที่อิงอยู่กับธาตุขันธ์ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรืออัศจรรย์ เท่ากับแสงอีกอย่างหนึ่ง ที่คุณดังตฤณ สมมุติบัญญัติว่า แสงเปิด ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนที่ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะรู้ธรรมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงสภาวธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ชุดหนึ่งว่า "ดวงตาเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว และ "แสงสว่าง" เกิดขึ้นแล้ว (อาโลโก)" อาโลโก ตัวนี้ เป็นคนละเรื่องกับอาโลกกสิณ ในขณะที่จิตผ่านมรรค มรรคจะแหวกขันธ์ที่ห่อหุ้มจิตแท้ธรรมแท้ออกไป ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ล้วนๆ เป็นวิสังขารธรรม ไม่มีเยื่อ หรือใยอะไรสักนิดเดียวที่จะกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะของรูปหรือนาม ก็จะปรากฏออกมา เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ (อย่าเข้าใจว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งตรงข้ามกับขันธ์นะครับ สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นคู่ หรือเป็นสิ่งเดี่ยวๆ แต่เป็นความบริสุทธิ์ที่พ้นจากขันธ์ 5) เมื่อจิตเข้าถึงความบริสุทธิ์ล้วนๆ แล้ว 2 - 3 ขณะ จะเกิดแสงสว่างผุดขึ้นจากความไม่มีอะไรเลย แล้วจิตจะตกภวังค์นิดหนึ่ง พอถอยขึ้นมาก็จะเกิดอาการจิตยิ้มดังที่กล่าวไปแล้ว ธรรมะนั้นมีอะไรที่น่าเรียนน่ารู้อีกมากครับ อย่างขันธ์ 5 นั้นเมื่อมีปัญญาที่ประกอบด้วยกำลังหนุนของฌาน แล้วแยกขันธ์ออกไปให้ถึงที่สุด ขันธ์ทั้ง 5 จะกลายเป็นสภาวะอันหนึ่ง คือเป็นแสงเท่านั้นเอง เหมือนดังที่หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านกล่าวว่า ขันธ์ทั้ง 5 คือแสงของจิต และหลวงปู่ดูลย์ อตุโลท่านกล่าวว่า ขันธ์ทั้ง 5 คือกิริยาของจิต และในพระไตรปิฎกท่านกล่าวถึงสัตว์ตระกูลหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะมีกายหยาบ คืออาภัสสรพรหม หรือสิ่งมีชีวิตที่เป็นแสงสว่าง ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงที่อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตครับ ไม่ทราบว่าจะมาอยู่คุยกับพวกเราได้นานสักเท่าไหร่ อาจจะอีกสักปีหนึ่งหรืออย่างเร็วก็อีก 5 เดือน มีเรื่องอะไรๆ ก็เลยนำมาเล่าสู่กันฟังไว้ก่อนเพื่อประดับความรู้ แต่ก็อยากจะกล่าวว่า แม้ความรู้ในเรื่องการปฏิบัติจะซับซ้อนมากมาย แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์เท่าไหร่หรอกครับ จับหลัก "กิจของอริยสัจจ์" เอาไว้ให้แม่นๆ ที่ว่า "ทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ นิโรธทำให้แจ้ง มรรคทำให้เจริญ" หรือย่อลงไปจะเอาแค่ "รู้ทุกข์ แล้วละสมุทัยหรือความทะยานอยากของจิต" เพียงเท่านี้ก็จะเห็นความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาแล้วครับ
โดยคุณ : สันตินันท์ - [12 เม.ย. 2542 08:14:31]
From :
http://www.geocities.com/Tokyo/Gulf/4126/kebmafak00002.html
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 7:15 pm
โมทนาธรรมด้วยครับ.......สาธุ
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th