Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 รูปเดินเป็นอย่างไร อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ธรรม์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2006, 6:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อมีผู้เดินโดยก้าวขาไปก้าวหนึ่ง ว่ากันว่าเกิด"รูปเดิน"ขึ้นหลายรูปติดต่อกันไป คล้ายๆภาพซ้อนกัน ตัวอย่างนี้อาจอุปมากับภาพฟิล์หนังที่แต่ละภาพมีรูปต่างกัน แต่รูปเดินที่เกิดอาจมีความละเอียดกว่าภาพฟิล์มหนังมาก เช่นการก้าวขาครึ่งก้าวของรูปที่กล่าวถึงในตอนต้น อาจเกิดรูปหลายรูปแล้ว แม้จะเดินเพียงครึ่งก้าวก็ตาม

จำนวนรูปเดินในข้างต้นของการก้าวเดิน 1 ก้าว ได้เกิดรูปเดินจำนวนมากกว่ารูปเดินที่ก้าวเดินเพียงครึ่งก้าวใช่หรือไม่ ถ้าใช่

ดังนั้นสรุปว่ารูปเดินที่เกิดจำนวนมากกว่ารูปเดินที่เกิดจำนวนมาก เพราะว่าระยะทางการเคลื่อนไหวยาวหรือไกล ส่วนรูปเดินที่เกิดจำนวนน้อยเพราะระยะทางการเคลื่อนไหวสั้นหรือใกล้ หรืออาจกล่าวว่าอาจใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์เข้าไปจับวัด เช่นวัดรูปเดินที่เดินได้ระยะทาง 10 เมตร ว่ามีรูปเดินมากกว่า รูปที่เดินในระยะทาง 1 เมตร

ความเข้าใจแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?
 
ไร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2006, 9:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถูกครับ แต่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ผู้ปฏิบัติต้องมีเหตุผลในการปฏิบัติเช่นเดินทำไม ที่สำคัญก่อนจะเดินต้องมีเหตุผล ในการเปลี่ยนอิริยาบทจากนั่งมาเป็นยืน เป็นเดิน เป็นต้น เพราะการเดิน ยืน นั่ง นอน เป็นทุกข์ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ต้องมีความเข้าใจ และเหตุผลในใจ ไม่มีไม่ได้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเท่านั้น จะช่วยผู้ปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
 
1
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2006, 10:46 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เวลากิเลสมันเข้ามานั้น มันเข้ามาทันที การจะค่อยๆเข้ามาเหมือนภาพช้าๆๆนั้นไม่มีทาง เดินหนอ ย่างหนอ ยินหนอ.....ล้วนได้เดิน ได้ย่าง ได้ยินแล้วทั้งสิ้น

จำไว้ว่าสติอยู่ที่ใจ จะเดิน นั่ง ยืน นอน มีสติอยู่ที่ใจตลอด ไม่ใช่สติอยู่ที่เดิน อยู่ที่นั่ง อยู่ที่ยืน อยู่ที่นอน


สติ..........อยู่ที่ใจ ตีความหมายนี้ให้แตกแล้วจะเข้าใจ
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2006, 1:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สติอยู่ที่ใจไม่มีนะครับ
ใน มหาสติปัฏฐานสูตร กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน อิริยาปถบรรพ

[๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน
เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่าเรายืน เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน หรือ
เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้นๆ ดังพรรณนามาฉะนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิด
ขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ
ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่น
อยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อัน
ตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
จบอิริยาปถบรรพ

[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุย่อมทำความรู้สึกตัวในการ
ก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก
ในการทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ใน
การถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการเดิน การยืน การนั่ง
การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็น
กายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกาย
ในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้ง
ความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมี
อยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิ
ไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
จบสัมปชัญญบรรพ
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2006, 1:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ส่วนสติ กำหนดลมหายใจหรือ อานาปานสติ อยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
อานาปานบรรพ

[๒๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์
ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อ
หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เรา
หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้า
สั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอด
กองลมหายใจทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกอง
ลมหายใจทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายช่าง
กลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักยาว
เมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักสั้น แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า
เราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจ
เข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น ย่อมสำเนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลม
ทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดกองลมทั้งปวงหายใจเข้า
ย่อมสำเนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เรา
จักระงับกายสังขารหายใจเข้า ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายใน
กายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายทั้ง
ภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็น
ธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อม
ในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียง
สักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัย
อยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า
พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
จบอานาปานบรรพ
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
ฉุยฉาย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2006, 1:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ถูกต้องครับ เป็นการเข้าใจผิดมากเลย การเกิดรูปจากการเดิน แม้จะเป็นกายวิญญัติรูป คือรูปที่เกิดจากการไหวกายก็จริง แต่จำนวนรูปที่เกิดมากหรือน้อยไม่ได้วัดที่ระยะทางการเดินที่เป็นกายวิญญัติรูปว่าเกิดจากการเดินมากหรือเดินน้อย

แม้ว่ารูปที่มาจากกายวิญญัติรูปนั้นจะเป็นสันตติรูปก็ตาม แต่สันตติเป็นเรื่องของกาลเวลามิใช่ระยะทาง และรูปที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนั้นอาศัยเวลา มิได้อาศัยระยะทาง เวลาที่รูปเกิดตั้งอยู่นั้นมีเพียง 17 ขณะจิตเท่านั้น ดังนั้นถ้ารูปเดินระยะใกล้ใช้เวลามากกว่าการเดินระยะไกล รูปที่เดินระยะใกล้ก็มีจำนวนรูปเกิดขึ้นมากกว่ารูปที่เกิดจากการเดินระยะไกล
 
ไร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2006, 1:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในการปฏิบัติวิปัสสนานั้น จะต้องมีสติและสัมปชัญญะรวมกัน

สติ คือความระลึกรู้ไม่ให้จิตไหลไปในอกุศล เช่น ระลึกรู้ว่ากำหนดดูรูปดูนามอยู่ แต่ถ้ามุ่งเอาแต่สติแล้ว ปัญญาจะไม่เกิด ถ้าวางใจไม่ดี สัมปชัญญะเข้าไม่ได้ ปัญญาจะเข้าไม่ได้ วางใจในขณะดูรูปดูนาม ถ้าวางใจไม่ดี มีแต่สติอย่างเดียววิปัสสนาไม่เกิด สัมปชัญญะจึงสำคัญมาก

สัมปชัญญะ คือ ปัญญาความรู้ที่ประกอบด้วยเหตุผลในการวางใจ
 
1
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2006, 2:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถามคุณจักรพันธ์ครับ

ผมอ่านข้อความที่คุณยกมาในพระไตรปิฎกนั้นแล้ว คุณตอบได้ไหมว่าสติอยู่ที่ไหน

ถ้าตอบไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งสรุปหรือตีความเองว่า สติไม่ได้อยู่ที่ใจ

อ่านที่คุณยกมา มีแต่สติตั้งมั่นอยู่ เดินก็รู้ คุดคู้กายก็รู้ มีสติตั้งอยู่....ไม่เห็นบอกว่าตั้งอยู่ที่ไหน

ผมถามคุณอีกว่า 1. ใจในความหมายของคุณคืออะไร
2. จิตในความหมายคุณคืออะไร
3.สติอยู่ที่ไหน

ด้วยความเคารพตอบให้กระจ่างนะครับ อย่ายกมาแบบไม่ตีความนะครับ
 
ฉุยฉาย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2006, 3:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การเกิดรูปจากการเดินนั้น มิใช่เพราะเจริญสติปัฏฐานหรือวิปัสสนาเป็นเหตุ เพราะรูปนั้นเกิดอยู่ตามปรกติอยู่แล้ว เพียงแต่กำหนดรู้ได้หรือไม่เท่านั้นเอง
 
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 7:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

1. ใจในความหมายของคุณคืออะไร
2. จิตในความหมายคุณคืออะไร
3.สติอยู่ที่ไหน


ชีวิตทุกชีวิตย่อมประกอบด้วย กาย จิต ( ใจ ) และเจตสิก กายก็คือร่างกายอันเป็นที่ตั้งของทวารต่าง ๆ จิตก็ได้แก่จิตใจซึ่งมีหน้าที่สั่งให้ร่างกายทำงาน เจตสิกก็ได้แก่ตัวปรุงแต่งจิตให้สามารถรับรู้อารมณ์ทางทวารต่าง ๆ ให้มีความรู้สึกนึกคิดเข้าใจในเรื่องราวต่าง ๆ ได้ เจตสิกมีทั้งฝ่ายดี ฝ่ายชั่ว และฝ่ายกลาง ๆ เจตสิกฝ่ายดี เรียกว่า กุศลเจตสิก ซึ่งได้แก่ สติ ปัญญา ศรัทธา เป็นต้น เจตสิกฝ่ายชั่วเรียกว่า อกุศลเจตสิก ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ ๆ คือ โลภะ โทสะ และโมหะ ส่วนเจตสิกฝ่ายกลาง ๆ ก็ได้แก่ เวทนา สัญญา เป็นต้น
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 11:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถึงคุณ 1ครับ
ในอานาปานบรรพ ซึ่งอยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๒๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์
ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อ
หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว

คือ ให้สติอยู่ที่ลมหายใจ ซึ่งลมหายใจเป็นกายสังขาร
ไม่ได้ให้เอาสติไว้ที่ใจ
พระพุทธองค์ก็ทรงอยู่ด้วยวิหารธรรม คืออานาปานสติ โดยมาก
ไม่มีพุทธพจน์ให้เอาสติไว้ที่ใจครับ

จิตมีอยู่ความหมายเดียวครับคือธรรมชาติที่รู้อารมณ์
จิตไม่ใช่ใจครับ ชีวิต นี้ประกอบด้วยกาย กับ ใจ กายคือ รูป ใจ คือจิตกับเจตสิก

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
1
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 12:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรียนคุณจักรพันธ์ที่เคารพครับ

อย่างไรผมก็ยังอยากให้คุณพิจารณาดีๆครับ ในคำกล่าวนั้นไม่มีคำไหนเลยที่บอกว่าให้สติตั้งอยู่ที่ไหน......มีแต่ให้สติรู้ตามอารมณ์นั้นครับ.....อย่าเพิ่งสรุปครับว่าการตามระลึกรู้นั้นคือที่อยู่ของสติ

ในสติปัฎฐาน 4 อันได้แก่ กาย เวทนา จิต และธรรมนั้น.....อันเป็นที่กำหนดรู้อารมณ์ของสติที่พระพุทธเจ้าของเราแนะนำทำให้เจริญ อันเป็นทางเอกสู่นิพพานนั้น ให้กำหนดสติรู้อารมณ์ลงที่ฐานทั้ง 4 ครับ......ไม่ได้บอกว่าสติตั้งอยู่ที่ไหน

สรรพสิ่งในโลกอันประกอบด้วยรูป-นาม

มนุษย์เราประกอบด้วยรูปคือ กาย และ นามคือ จิต อันได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
หรือประกอบด้วยกาย-ใจ[จิตเดิมหรือจิตประภัสสร]

จิตอันเศร้าหมองเพราะกิเลส....อันไม่ใช่จิตเดิม[ใจ].......เราเรียกว่า...จิต

จิตเป็นตัวรู้และรับอารมณ์ อาการที่จิตปรุงแต่งอารมณ์แล้ว.....คือเจตสิก

ซึ่งเจตสิกเกิดพร้อมจิต เมื่อจิตดับ เจตสิกดับ

ดังที่คุณยุทธกล่าวไว้ว่า สติ คือกุศลเจตสิกอย่างหนึ่งถูกต้องแล้วครับ

ดังนั้นสติ จึงเกิด จากใจ[จิตเดิม]รับรู้อารมณ์แล้ว.....เป็นกุศลเจตสิก

สติ อยู่ที่ ใจ
รู้ ดู อยู่ที่ใจ
นั่ง ยืน เดิน นอน ก็รู้อยู่ที่ใจ


ธรรมะมีอยู่ในตัวเรา คือ กาย-ใจ เวลาทำวิปัสสนาจึงกำหนดสติรู้ลงที่กาย-ใจ นั่นเอง
ภาษาอภิธรรม ใช้ว่า กำหนดรู้ รูป-นาม หรือนามรูปปริเฉท

คุณจักรพันธ์เคยได้ยินไหมว่า ใจเป็นนาย-กายเป็นบ่าว
ทุกอย่างสำเร็จลงที่ใจ......แล้วแสดงออกทางกาย

ดังนั้นใจจึงสำคัญสุดๆๆ........สติจึงต้องคอยกำหนด หรือ ตามดู ตามรู้ อยู่ที่ใจ....

นั่นคือให้สติมัน..................อยู่ที่ใจ
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 12:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พึ่งเข้าใจว่าคุณ1 พูดถึงที่ตั้งของสติหรือที่อาศัยของ สติ ตอนแรกเข้าใจว่าให้กำหนดรู้อยู่ที่ใจ
ในอานาปานสติ คือ สติกำหนดลมหายใจ คือ ตามรู้ลม แต่ลมหายใจไม่ใช่ที่อาศัยของสติ
สติ เป็นเจตสิกเกิดดับ กับจิต จิตกับเจตสิก คนละตัวกัน
จิต คือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ หรือธรรมชาติที่ทำหน้าที่ เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สึกต่อการสัมผัสถูกต้องทางกาย และรู้สึกนึกคิดทางใจ จิตนี้ไม่ว่าจะเกิดแก ่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา หรือพรหมก็ตาม ย่อมมีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะ เหมือนกันทั้งสิ้น
จิต เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มองไม่เห็น สัมผัสด้วยกายไม่ได้ ไม่มีรูปร่างสัณฐาน สีสัน วรรณะใด ๆ แต่เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีอยู่จริงๆ เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติฝ่ายนามธรรม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับ ไปอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยเหตุอาศัยปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามกฎของธรรมชาติ

เจตสิก เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในจิตใจของคนเรา ที่ช่วยตัดสินใจ หรือปรุงแต่งจิตใจ ในการทำบุญและทำบาป ซึ่งธรรมชาตินี้ เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์เดียวกันกับจิต อาศัยวัตถุ เดียวกันกับจิต เหมือนกระแสไฟและแสงสว่าง ที่ต้องอาศัยหลอดไฟเกิดขึ้น

มนุษย์เราประกอบด้วยรูปคือ กาย และ นามคือ จิต และเจตสิกครับ
คุณ 1ลองศึกษา ลองศึกษาให้ละเอียดนะครับ ศึกษาเพิ่มได้ที่
http://www.buddhism-online.org/Section02A_03.htm


รูปคือรูปขันธ์ เจตสิกคือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ส่วนจิตคือ วิญญาณขันธ์
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 1:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอกล่าวถึงที่อยู่ อาศัยจิตและเจตสิกครับ
จิตและเจตสิก ตั้งอยู่ใน หทัยรูป
หทยรูป ก็คือหัวใจของคนเรานั่นเอง ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะเป็นรูปที่เกิดครั้งแรก เป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึก คือจิตและเจตสิกของคนและสัตว์ทั้งหลาย
หทยรูปนี้มี ๒ อย่าง คือ
๑. มังสหทยรูป ได้แก่ เนื้อที่เป็นรูปหัวใจ มีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม
๒. วัตถุหทยรูป เป็นรูปพิเศษที่อยู่ในมังสหทยรูปอีกทีหนึ่ง
หทยรูป นี้ เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน ตั้งอยู่ในช่องเนื้อหัวใจ มีลักษณะเป็นบ่อ มีโลหิตเป็นน้ำเลี้ยงหัวใจอยู่ประมาณ ๑ ซองมือ โตเท่าเมล็ดบุนนาค เป็นแหล่งที่อาศัยเกิดของมโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุ ความดีความชั่วที่ผลักดันให้ต้องทำบุญทำบาปเกิดขึ้นที่หทยรูปนี้เอง


สาธุ สาธุ สาธุ ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
1
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 2:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณอย่างสูงครับคุณจักรพันธ์.....ที่ทำลิงค์ไว้ให้อ่านครับ สาธุ

เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
 
ธรรม์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 5:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ใจเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลาย แล้วสตินั้นเป็นลูกน้องของใจ จะไปเอาสติไว้ที่ใจทำไม ใจนั้นควบคุมบัญชาการสติให้ระลึกไปที่ใดสติก็ระลึกไปที่นั้น ใจให้สัมปชัญญะรู้ที่สติระลึกเมื่อใด สัมปชัญญะก็รู้เมื่อนั้น
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง