ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
-สายลม-
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
26 พ.ค.2004, 3:57 am |
  |
ทำบุญอย่างไรได้บุญมาก
รวบรวมโดย ธัมมโชติ
การทำบุญในที่นี้จะกล่าวถึงการให้ทาน่เท่านั้น สำหรับการทำบุญประเภทอื่น สามารถอ่านได้ในหมวดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำบุญประเภทนั้นๆ โดยตรง รวมทั้งในเรื่องเวลามสูตร ในหมวดธรรมทั่วไป ซึ่งเป็นสูตรที่สรุปเปรียบเทียบผลบุญที่ได้รับจากการทำบุญแทบจะทุกประเภท ว่าประเภทไหนให้ผลบุญมาก - น้อยกว่ากันอย่างไร
การให้ทานในที่นี้ จะป เน้นที่การสละวัตถุสิ่งของ หรือทรัพย์สมบัติให้แก่ผู้อื่นเป็นหลัก แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการให้ทานอย่างอื่นๆ เช่น ธรรมทาน (การให้ธรรมเป็นทาน) อภัยทาน (การให้อภัยแก่ผู้อื่น) ได้เช่นกัน โดยการพิจารณาเปรียบเทียบกัน
การให้ทานแต่ละครั้งนั้น จะให้ผลบุญหรืออานิสงส์มากหรือน้อยอย่างไรนั้น ขึ้นกับปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกันญ ทั้งปัจจัยจากตัวผู้ให้ วัตถุสิ่งของที่ให้ และผู้รับทานนั้นด้วย ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเอาไว้ในที่หลายๆ แห่ง ทางผู้ดำเนินการได้รวบรวมจากพระไตรปิฎกหลายๆ สูตร รวมทั้งแหล่งความรู้อื่นๆ สรุปได้ดังนี้คือ
การทำบุญให้ทานามนั้น เปรียบเสมือนการทำนาปลูกข้าว โดยที่ผู้รับเป็นเหมือนาวนาข้าวน ของที่ให้เหมือนเมล็ดพันธุ์ข้าว กิเลสุปของผู้รับและผู้ให้เหมือนเป็นวัชชพืชะในนาข้าวนั้น ความตั้งใจ้น ของผู้ให้เหมือนความตั้งใจในการหว่าน็นเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ตกลงในนา ไม่ให้กระจัดกระจายออกนอกนา ศรัทธาของผู้ให้เปรียบเหมือนงปุ๋ย ปิติที่เกิดขึ้นกับผู้ให้เปรียบเหมือนน้ำ ผลบุญที่ผู้ให้ได้รับเปรียบเสมือนผลผลิตจากการทำนานั้น ผู้รับจึงได้ชื่อว่าเป็นจาเนื้อนาบุญ
การทำนาปลูกข้าวั้น นั้น ถ้าใช้ข้าวพันธุ์ดี ปลูกในนาข้าวที่มีดินดี ในขณะหว่านก็ตั้งใจหว่านให้ข้าวตกลงในท้องนาอย่างพอดี ไม่กระจัดกระจายสูญหายไปนอกนา มีน้ำบริบูรณ์ มีปุ๋ยอุดมสมบูรณ์ ไม่มีวัชชพืชมาคอยแย่งอาหารต้นข้าว ผลผลิตที่ได้ย่อมมากมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วยฉันใดจาย
การทำบุญด้วยวัตถุอันเลิศ ให้กับบุคคลอันเลิศ ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใดๆ ทำไปด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่มั่นคง ประกอบด้วยศรัทธาอันดี ถึงพร้อมด้วยปิติเบิกบานใจ ผลบุญที่ได้ย่อมไพบูลย์ฉันนั้น
(มีต่อ 1) |
|
|
|
|
 |
-สายลม-
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
26 พ.ค.2004, 4:03 am |
  |
คุณสมบัติของผู้ให้ทานที่จะได้บุญมาก
การที่ผู้ให้ทานจะได้รับผลบุญมากนั้น ตัวผู้ให้เองต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้
- ให้ทานนั้นโดยเคารพั้น ทำความนอบน้อมให้ (มีความเคารพด้วยใจที่แท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงร่างกาย)
- ให้ทานนั้นด้วยมือตนเอง (ถ้ายิ่งต้องใช้ความพยายามมากเท่าไร จิตก็จะยิ่งมีกำลังมากขึ้นเท่านั้น การทำบุญด้วยความรู้สึกที่หนักแน่นมากเท่าไร ก็จะส่งผลให้ได้บุญที่หนักแน่นมากเท่านั้น)
- เชื่อในกรรมและผลของกรรม (ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่หนักแน่นเช่นกัน ไม่ใช่ว่าสักแต่ให้ๆ ไปเท่านั้น)
- มีความเลื่อมใส ศรัทธาในผู้รับทานนั้น (เหตุผลเช่นเดียวกับข้อก่อน)
- เมื่อให้แล้วเกิดปิติโสมนัส จิตใจผ่องใส เบิกบาน
- ให้ทานเหมาะสมกับกาลเวลา คือให้ในสิ่งที่ผู้รับต้องการในเวลานั้นๆ
- ให้ทานโดยสละวัตถุทานนั้นอย่างแท้จริง ไม่มีใจยึดเหนี่ยว ห่วงใยวัตถุนั้นอีก ไม่ว่าผู้รับจะเอาสิ่งนั้นๆ ไปใช้ทำอะไรหรือเมื่อไหร่
- เป็นผู้มีจิตอนุเคราะห์ให้ทาน คือให้โดยหวังประโยชน์แก่ผู้รับจริงๆ ไม่ใช่หวังประโยชน์แก่ตัวผู้ให้เอง
- รู้สึกยินดีห์ในการให้ทานครั้งนั้นทั้ง 3 กาล คือทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังจากให้ทานนั้นแล้วก็รู้สึกยินดี คือนึกถึงเมื่อใดก็ยินดีเมื่อนั้น ไม่ใช่ให้แล้วเสียใจในภายหลัง
- ให้ทานโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ไม่หวังแม้แต่บุญที่จะได้รับ คือให้เพื่อให้จริงๆ แล้วผลบุญก็จะตามมาเอง
(มีต่อ 2) |
|
|
|
|
 |
-สายลม-
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
26 พ.ค.2004, 4:23 am |
  |
ลักษณะของวัตถุสิ่งของที่ใช้ให้ทานแล้วได้บุญมาก
วัตถุทานที่ใช้ทำบุญให้ทาน แล้วจะส่งผลให้ผู้ให้ทานนั้นได้รับอานิสงส์ผลบุญมาก มีลักษณะดังนี้คือ
- ให้ของที่ไม่ใช่ของเหลือเดน คือไม่ใช่เป็นของที่แม้ผู้ให้เองก็ไม่ต้องการแล้ว
- ให้ของที่สะอาด จัดเตรียมอย่างประณีต
- ให้ของที่ได้มาโดยชอบธรรม และผู้ให้มีสิทธิในการเป็นเจ้าของของนั้นจริงๆ
- ให้โดยองไม่มีส่วนเหลือ คือให้ของนั้นทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้น ไม่ใช่ให้อย่างขยักขย่อน
- ถ้าของที่ให้นั้นกษณะมีความสำคัญ มีความหมาย มีคุณค่านสำหรับตัวัญ ผู้ให้เองัญ มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้บุญมากขึ้นเท่านั้น เพราะผู้ให้ต้องเสียสละมาก เช่น คนยากจนให้ทาน 10 บาท อาจได้บุญมากกว่าเศรษฐีให้ทาน 1,000 บาทก็ได้ เพราะเงิน 10 บาทนั้นมีค่ามากสำหรับคนยากจน ในขณะที่เงิน 1,000 บาทเป็นเพียงแค่เศษเงินของเศรษฐี
- การให้อวัยวะของตนเป็นทาน ได้บุญมากกว่าการให้ทรัพย์ภายนอกเป็นทาน
- การให้ชีวิตะของตนเป็นทาน ได้บุญมากกว่าการให้อวัยวะเป็นทานาย
(มีต่อ 3) |
|
|
|
|
 |
-สายลม-
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
26 พ.ค.2004, 4:25 am |
  |
คุณสมบัติของผู้รับที่จะทำให้ผู้ให้ได้บุญมาก
ผู้รับทาน หรือเนื้อนาบุญที่ดี อันจะส่งผลให้ผู้ที่ทำบุญด้วยได้บุญมากนั้น มีคุณสมบัติดังนี้
- เป็นผู้ที่มีศีลมาก และถือศีลนั้นได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เป็นคนทุศีล หรือต่อหน้าเป็นอย่างหนึ่ง แต่พอลับหลังกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง
- เป็นผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิ สงบ ผ่องใส ไม่ถูกนิวรณ์ทั้ง 5 ครอบงำ (ดูเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ประกอบ)
- เป็นผู้ที่ปราศจากกิเลส หรือมีกิเลสเบาบาง หรืออย่างน้อยก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติเพื่อให้หมดกิเลส ซึ่งจะทำให้ผู้ให้ได้บุญลดหลั่นกันไปตามขั้น
- การทำบุญกับสงฆ์ (สังฆทาน - การทำบุญโดยไม่เจาะจงผู้รับว่าต้องเป็นภิกษุรูปนั้นรูปนี้) จะทำให้ผู้ให้ได้บุญมากกว่าปุคคลิกทาน (การให้โดยเจาะจงผู้รับ) ทั้งนี้ต้องเป็นสังฆทานด้วยใจที่แท้จริง
- ลำดับขั้นของผู้รับ ที่จะทำให้ผู้ให้ได้บุญมากหรือน้อยนั้น ขอให้ดูรายละเอียดในเรื่องเวลามสูตร ในหมวดธรรมทั่วไป ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงจำแนกแจกแจงไว้อย่างชัดเจน
(มีต่อ 4) |
|
|
|
|
 |
-สายลม-
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
26 พ.ค.2004, 4:28 am |
  |
คุณสมบัติต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทั้งของผู้ให้ สิ่งของที่ให้ และผู้รับของนั้น ถ้ายิ่งมีมากและสมบูรณ์มากเท่าใด ผลบุญที่ได้รับก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าคุณสมบัติดังกล่าวลดน้อยลงไปมากเท่าใด ผลบุญที่ได้ก็จะน้อยลงตามไปด้วย
หมายเหตุ
- ในส่วนของผู้รับทานนั้น ความปราศจากกิเลส หรือมีกิเลสเบาบาง (ผลจากการเจริญวิปัสสนา) มีผลให้ผู้รับได้บุญมาก มากกว่าสมาธิ
- สมาธิมีผลให้ผู้รับได้บุญมาก มากกว่าารศีลล
ทั้งนี้เพราะบวิปัสสนาทำให้กิเลสหมดไปได้อย่างถาวรส ทั้งกิเลสขั้นละเอียด่าง (อนุสัยกิเลส - กิเลสที่นอนเนื่องในขันธสันดาน หรือกิเลสในระดับจิตใต้สำนึก) กิเลสขั้นกลาง (กิเลสในระดับจิตสำนึก) กิเลสขั้นหยาบ (กิเลสที่ทำให้เกิดการแสดงออกทางกาย วาจา)
ในขณะที่สมาธิ่นั้นสามารถำข่มนกิเลสในส่วนของนิวรณ์ 5 ได้ในระดับของงกิเลสขั้นกลาง และกิเลสขั้นหยาบเท่านั้น ส่วนกิเลสขั้นละเอียดยังคงอยู่เหมือนเดิม และเมื่อสมาธิเสื่อมไปเมื่อใด กิเลสทั้งหลายก็กลับมาได้เหมือนเดิม
ส่วนศีลนั้นเป็นแค่เพียงแต่ข่มกิเลสขั้นหยาบเอาไว้เท่านั้นเอง
...............................................................
ผู้รวบรวม
ธัมมโชติ
28 พฤศจิกายน 2543 |
|
|
|
|
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
27 พ.ค.2004, 1:44 pm |
  |
|
  |
 |
สักกะ
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 05 ก.ค. 2004
ตอบ: 15
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2004, 4:53 pm |
  |
|
  |
 |
bilimbi
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 พ.ค.2005, 6:09 pm |
  |
ว่าแต่ บุญที่แท้แล้วคืออะไรคะ.................. |
|
|
|
|
 |
Ae
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 26 เม.ย. 2005
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
24 พ.ค.2005, 12:51 pm |
  |
การให้ธรรม ชนะการให้ทั้งปวงครับ ถ้าบุญนั้นมาจากการให้ธรรมะ บุญนี้น่าจะได้บุญมาก และถ้าบุยนั้นมาจากการปฏิบัติ (ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ) แล้ว น่าจะได้บุญมากที่สุดครับ |
|
|
|
    |
 |
นะโม_เย
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2005, 12:39 pm |
  |
สาธุ.... |
|
|
|
|
 |
จันทร์งาม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2005, 3:20 pm |
  |
..... สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ ..... |
|
|
|
|
 |
surakia@thaimail
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ย.2005, 10:55 am |
  |
รู้วิธีทำบุญที่ถูกต้องแล้วต้องละบาปทั้งปวงด้วยนะครับ |
|
|
|
|
 |
ผลฌาน
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2005
ตอบ: 8
|
ตอบเมื่อ:
19 ธ.ค.2005, 10:17 am |
  |
คำว่า "บุญ" จัดว่าเป็นชื่อของความสุขชนิดหนึ่ง สุขนั้นเป็นสุขที่เกิดขึ้นทางจิตใจของผู้ให้ และผู้รับ หมายถึงผู้ที่ให้นั้น มีความปราถนาที่จะให้ผู้รับมีควาสุขกับสิ่งที่ได้มอบให้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หรือธรรมะก็ตาม เช่น เมื่อเรารู้ว่าน้ำเย็นมีรสชาติอย่างไร มีความอร่อยอย่งไรเมื่อเราได้ดื่ม แต่ถ้าเรานำน้ำนั้น ไปมอบให้บุคคลอื่นท่านได้ดื่มได้ใช้น้ำของเรา แล้วเขามีความสุข เราเองก็มีความสุขที่ได้เห็นของที่เราได้มอบให้เพื่อความปราถนาให้ผู้ที่ได้รับมีความสุขสมความตั้งใจ นั่นแหละครับ เรียกว่า "บุญ" อย่างหนึ่ง  |
|
|
|
   |
 |
ทิพ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
18 พ.ค.2006, 5:58 pm |
  |
สาธุคะ โมทนาบุญนี้ด้วยคะ
เกิดชาติใด ใด ขอให้พบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เถิด สาธุ |
|
|
|
|
 |
Retsuya
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
19 พ.ค.2006, 5:12 am |
  |
สวัสดีคุณสายลม
บุญจากการภาวนาได้มากที่สุด |
|
|
|
|
 |
อธิชาตินันท์
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 19 พ.ค. 2006
ตอบ: 24
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
19 พ.ค.2006, 3:18 pm |
  |
จากที่เคยเรียนมานะครับ
เรียงลำดับจากน้อยไปมากคือ
ทาน
ศีล
สามธิ
ปัญญา  |
|
|
|
   |
 |
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
21 พ.ค.2006, 4:58 pm |
  |
สัปปุริสทาน 5
1.ให้ทานด้วยศรัทธา (ความเชื่ออย่างมีเหตุผล) ผลแห่งทาน มีทรัพย์มาก
2.ให้ทานด้วยความเคารพ ผลแห่งทาน มีบริวารเชื่อฟัง
3.ให้ทานตามกาล ผลแห่งทานได้ตามความต้องการเกิดขึ้นตามกาลย่อมบริบูรณ์
4.ให้ทานด้วยมีจิตอนุเคราะห์ ผลแห่งทาน จิตจะน้อมไปเพื่อบริโภคกามคุณ 5 อันโอฬาร
5.ให้ทานไม่กระทบตน ไม่กระทบผู้อื่น ผลแห่งทาน จะไม่มีความล่มจมแห่งโภคะของเขา
ย่อมาจาก"พระไตรปิฏกฉบับสำหรับประชาชน หน้า 65-66" ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย22/192 |
|
|
|
|
 |
เด็กน้อย
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 พ.ค.2006, 9:36 am |
  |
ขออนุโมทนาบุญนี้ด้วย สาธุ
ขอให้จิตหลุดพ้นจากความเบื่อหน่าย เข้าถึงนิพพานโดยเร็ว |
|
|
|
|
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 พ.ค.2006, 1:14 pm |
  |
ตามที่ฟังมา
ศีล สมาธิ และ ปัญญา เกื้อกูลสนับสนุนซึ่งกัน เหมือนเชือก 3 เกลียว
เส้นหนึ่งเส้นใดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน เชือกจะแข็งแรงได้อย่างไร
ง่ายๆนะ ถ้าไม่มีปัญญา จะคิดได้หรือว่าต้องรักษาศีล
ถ้าใจไม่สงบมีสมาธิ ใจจะเติบโตมีปัญญาหรือ
วนไปวนมา เจอกันทั้งศีล สมาธิ และ ปัญญา  |
|
|
|
|
 |
ทิพ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 พ.ค.2006, 1:15 pm |
  |
ถูกต้องคราบบบบ สาธุ |
|
|
|
|
 |
|