ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ชช.
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ค.2006, 9:52 pm |
  |
ผมรบกวนถามท่านผู้รู้ครับ หรือช่วยแนะนำให้ผมด้วยครับ
ผมได้เริ่มฝึกหัดสวดมนต์ และนั่งสมาธิ(ทำใจให้สงบ)ด้วยตนเองมาได้ไม่นานครับ
แต่จะมีความรู้สึกว่าจะมีอาการขนลุกหรือซ่าที่ผิวหนังอยู่บ่อยๆตอนเริ่มได้สักครู่นึง
บางครั้งจะมีอาการเดียวกันนี้ตอนสวดอธิฐานจิตแผ่เมตตา-กรวดน้ำด้วยครับ
อาการดังกล่างเป็นอาการปกติทั่วๆไปหรือเปล่าครับ ในบางครั้งก็จะมีอาการนี้ในเวลา
ขับรถหรือนั่งอ่านหนังสือครับ
ขอบคุณครับ |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
15 พ.ค.2006, 2:33 am |
  |
กราบสวัสดี คุณชช.
อาการที่คุณชช.กล่าวมาเป็นอาการของปิติ ซึ่งหมายถึง ความเอิบอิ่มใจ อันเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของฌาน เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความสงบของจิต ปีตินี้จะเกิดแก่คนทุกคนที่ได้ทำสมาธิ แม้เมื่อจิตเริ่มสงบ ยังไม่ได้สมาธิ ปีติบางอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว เช่น มีอาการเหมือนกับมดหรือไรมาไต่บนใบหน้า หรือตัวเบา เป็นต้น ลักษณะของอาการปีติมีมาก เกิดแก่นักปฏิบัติเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง ทั้งนี้เพราะบุญบารมีที่สั่งสมมาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน และเพราะวิธีปฏิบัติของแต่ละท่านไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน แต่เมื่อกล่าวโดยสรุป แล้วปีติมี 5 อย่าง คือ
1. ขุททกาปิติ ปิติเล็กน้อย
2. ขณิกาปิติ ปิติชั่วขณะ
3. โอกกันติกาปิติ ปิติเป็นพักๆ
4. อุพเพงคาปิติ ปิติโลดโผน
5. ผรณาปิติ ปิติซาบซ่าน
ขุททกาปิติ ปิติเล็กน้อย
เช่น เกิดขนลุกชูชันขึ้น เกิดน้ำตาไหล บางครั้งก็เกิดขนลุกซู่ทั่วร่างกาย บางทีก็เกิดผมตั้งชูชันขึ้น แต่เกิดนิดหน่อย แล้วก็ดับไป นี้คือลักษณะของขุททกาปิติ ซึ่งเกิดแก่นักปฏิบัติบ่อย แต่ไม่ใช่ทุกท่าน
ขณิกาปิติ ปิติชั่วขณะ
เช่น รู้สึกเสียวแปลบขึ้นตามร่างกายเหมือนสายฟ้าแลบ แต่พักหนึ่งก็ดับไป หรือบางครั้งเกิดคันตามใบหน้าเหมือนมีมดหรือมีไรมาไต่ หรือเหมือนกับมีใยแมงมุมมาพาดบนใบหน้า บางทีเนื้อตัวกระตุก หรือบางทีกระดูกสันหลังกระตุก บางทีเส้นกระตุก ปิติชนิดนี้มักจะบังเกิดแก่นักปฏิบัติทุกท่าน แต่อาการเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง
โอกกันติกาปิติ ปิติเป็นพักๆ
ปิติเช่นนี้จะรู้สึกซู่ซ่าแรงกว่าขณิกาปิติ คือแรงกว่าสายฟ้าแลบ มีอาการเหมือนกับคลื่นกระทบฝั่ง บางทีเหมือนกับคนนั่งเรือไปในมหาสมุทรถูกคลื่น ทำให้รู้สึกโคลงเคลงเหมือนจะล้ม ลักษณะเช่นนี้ ถ้าใครเกิดปิติเช่นนี้ขึ้น บางทีจะรู้สึกรำคาญ เพราะว่าขณะที่เดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่นั้น ตึกทั้งหลังหรือแม้แผ่นดินที่ตนเดินหรือนั่งบางครั้งอยู่จะรู้สึกตะแคง บางท่านเข้าใจว่าปิตินั้นต้องรู้สึกอิ่มใจ แต่นี้ไม่เสมอไป เช่น โอกกันติกาปิตินี้ มักจะรู้เฉยๆมากกว่า แต่ปิติข้อสุดท้าย คือ ผรณาปิติมีความอิ่มใจอย่างเห็นได้ชัด
อุพเพงคาปิติ ปิติโลดโผน
ปิตินี้มีลักษณะทำให้ใจฟู บางทีทำให้การกระทำบางอย่างเกิดขึ้นเว้นจากเจตนาก็มี เช่น เปล่งอุทาน เป็นต้น หรือบางท่านมีตัวลอยขึ้นเหนือพื้น ซึ่งยังปรากฎว่ามีอยู่ในหมู่นักปฏิบัติในปัจจุบันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
ผรณาปิติ ปิติซาบซ่าน
คือ ทำให้รู้สึกซาบซ่านเอิบอิ่มไปทั่วร่างกาย ถ้าใครเคยประสบมาแล้วจะรู้สึกพอใจมาก เพราะรู้สึกซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ปิติประเภทนี้ เป็นปิติโดยองค์ฌานโดยตรง แต่ผู้ปฏิบัติที่ยังไม่ถึงขั้นฌานบางท่าน ก็เกิดปิติชนิดนี้ได้เหมือนกัน
นี้คือลักษณะของปิติ 5 ประการที่เกิดขึ้นแก่ผู้บำเพ็ญสมาธิหรือวิปัสสนา แต่ปิติในองค์ฌานเป็นผรณาปิติ คือ ปิติซาบซ่าน ส่วนอีก 4 ชนิด ย่อมเกิดได้แก่ผู้บำเพ็ญสมาธิและวิปัสสนาทั่วไป แม้จะไม่ได้ฌานก็ได้ และไม่ใช่ปิติในองค์ฌาน
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา
http://www.buildboard.com/viewtopic.php?id=795&topic=78469&fx=2&forum=6324&10 |
|
|
|
   |
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 พ.ค.2006, 3:15 am |
  |
เป็นอาการที่เรียกว่าปิติ เหมือนกับเวลาที่เราเห็นลูกขึ้นไปรับเหรียญรางวัล เพียงแต่คนที่ฝึกสมาธิจะเกิดได้ง่าย พยายามทำต่อไปนะครับ แล้วเวลาเกิดขนลุกอีก อย่าไปสนใจ..เหมือนกับเราดูหนังแต่ไม่ได้ไปเล่นด้วย แล้วคุณจะพบสิ่งที่ลึกขึ้นในจิตเป็นขั้นเป็นตอน จนคุณรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องลึกลับหรือปาฎิหารย์ เป็นธรรมชาติของจิตที่ทุกๆคนสัมผัสได้
ขอให้เจริญในธรรม  |
|
|
|
|
 |
ชช.
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 พ.ค.2006, 7:43 pm |
  |
ขอกราบพระคุณครับ
ผมขอถามเพิ่มเติมอีกหน่อยนะครับ
แล้วอาการนี้จะหายไปเอง เหมือนอย่างอาการตัวแมลงไต่หน้า หรือคันตรงโน้นตรงนี้ไหมครับ
เนื่องจากช่วงหลังๆนี้ผมจะรู้สึกซ่าแบบนี้บ่อยๆ แต่กำหนดไม่ได้ บางครั้งขับรถอยู่แล้วคิดอะไรนิดหน่อย ที่เป็นบ่อยคือช่วงเวลที่อ่านหนังสือครับ แม้แต่เมื่อตอนเช้าที่มาเปิดกระทู้นี้อ่านคำตอบก็ยังเกิดอาการนี้เลยครับ มีครั้งหนึ่งที่มีอาการเช่นนี้จนรู้สึกรำคาญเลยก็คือ เมื่อประมาณเดือนกว่าที่ผ่านมาเพื่อนผมได้ชวนไปพบอาจารย์ท่านหนึ่ง (ทราบว่าท่านมีอภิญญาสูง) ในขณะที่ท่านใช้ญานของท่านตรวจเพื่อนของผมอยู่นั้น ผมได้นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆ และรู้สึกซ่าแบบนี้อยู่ตลอดจนรำคาญ ต้องลุกขึ้นเดินหนีไปห่างๆ แต่เมื่อกลับมานั่งที่เดิมก็จะมีอาการซ่าแบบนี้อีก และเกิดขึ้นอยู่ตลอดเลยในตอนทื่อยู่กับอาจารย์เช้านั้น ในวันนั้นหลังจากกลับมาแล้วนำหนังสือมาอ่านก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดทั้งบ่ายเลยครับ จึงทำให้ผมคิดไปเองว่าไม่น่าจะเป็นผลของการนั่งสงบจิตเป็นแน่ แต่ไม่ทาบว่ามันคืออาการของอะไร
และทำไมถึงมักเกิดอาการซ่านี้ในเวลาที่อ่านหนังสือ หรือตอนขับรถด้วยครับ
ขอแนะนำตัวผมเองนิดนึงเผื่อจะขยายความถึงอาการที่เกิดกับผมได้ชัดเจนขึ้นครับ ตัวผมเพิ่งเริ่มหัดสวดมนต์ตั้งแต่เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี่เองครับ ไม่ได้ทำเป็นประจำครับ บางครั้งหรือหลายครั้งก็หยุดหรือเว้นวรรคไปหลายๆวันครับ แรกๆนั้นนั่งสงบจิตไม่ได้เลย เหมือนกับเขื่อนแตกเลยครับ ไม่ทราบว่าเรื่องต่างๆ มันไหลมาจากไหน สมาธิไม่เกิดเลยครับ ไม่เว้นแม้แต่เวลาสวดมนต์ก็ไม่หยุดคิดครับ ตอนนี้พอจะดีขึ้นบ้างแล้วครับ ที่น่าแปลกคือเมื่อวันพระใหญ่ที่ผ่านมาผมสวดมนต์ในตอนบ่ายแล้วก็หงายหลังหลับไป น่าจะนานมาก เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมานั้น ผมตื่นมาแต่ใจหรือจิตนะครับ ตัวกายยังนอนมือวางอยู่ที่อกนิ่งอยู่เลย ผมก็เลยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่สักพักใหญ่ ในระหว่งนั้นก็รู้สึกคันหน้า คันโน่น คันนี่อยู่ด้วย แต่ก็ไม่อยากขยับกาย เพราะรู้สึกสบายดี ก็เลยได้แต่ทำใจให้สงบแล้วอาการคันก็หายไปเอง จนเวลาผ่านไปพักใหญ่จึงได้ขยับกายลุกขึ้นนั่งครับ
ตัวผมเองไม่มีความรู้เรื่องสมาธิวิปัสนาเลยครับ อ่านมาบ้างนิดหน่อยเพื่อจะฝึกหัดปฎิบัติตามจากหนังสือสวดมนต์หรือหนังสือที่พอหาได้นี่เองครับ เมื่อวานนี้ก็เลยเข้ามา search หาในอินเตอร์เนตเพื่อจะหาสถานที่ที่จะไปขอฝึกหัดได้เป็นเรื่องเป็นราวบ้างครับ ก็เลยเจอเวป ลานธรรมจักรนี่ละครับ คิดว่าคงจะได้เข้ามาอ่านอีกบอยๆ เวลาที่มีเวลาว่างละครับ
ขอขอบคุณล่วงหน้าอีกครั้งครับ |
|
|
|
|
 |
ภูเขาน้ำแข็ง
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 13 พ.ค. 2006
ตอบ: 46
|
ตอบเมื่อ:
15 พ.ค.2006, 8:42 pm |
  |
มันจะหายไปเองค่ะ ตามรู้อารม ทางกาย และใจ ให้ทัน ให้เป้น ปัจจุบัน ก็พอค่ะ
เกิดอาการอะไร ก้อ ตามรู้ แร้วปล่อย ไม่ต้องไปสงสัยมันค่ะ  |
|
_________________ อย่าดับความอยากด้วยการสนอง จงดับโดยวางเฉย |
|
  |
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
16 พ.ค.2006, 1:37 am |
  |
กราบสวัสดี คุณชช
อาการเหล่านี้จะหายไปเองค่ะ ไม่ต้องไปกังวล เป็นเพียงธรรมชาติของจิตเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งทำให้เกิดความสงบ และเกิดอาการดังกล่าว ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นผลจากการนั่งปฏิบัติเสมอไป คุณก็ผ่านอาการนี้แล้วด้วยตัวคุณเองดังที่กล่าวมาว่า.....เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมานั้น ผมตื่นมาแต่ใจหรือจิตนะครับ ตัวกายยังนอนมือวางอยู่ที่อกนิ่งอยู่เลย ผมก็เลยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่สักพักใหญ่ ในระหว่งนั้นก็รู้สึกคันหน้า คันโน่น คันนี่อยู่ด้วย แต่ก็ไม่อยากขยับกาย เพราะรู้สึกสบายดี ก็เลยได้แต่ทำใจให้สงบแล้วอาการคันก็หายไปเอง.....
การค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงานของสมองพบว่า สมองส่วนที่อยู่ตรงกลางที่เรียกว่า Limbic และ Hypothalamus ทำหน้าที่ประสานงานเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด หากเมื่อใดที่ร่างกายมีอารมณ์ดีเป็นสุข สมองส่วนนี้จะไปกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองสั่งการให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนแห่งความสุข ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายฝิ่น เรียกว่า เอนโดมอร์ฟิน หรือ เอนดอร์ฟิน รวมทั้งการสั่งการให้ระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น T-cell จากต่อม Thymus หรือเม็ดเลือดขาวในไขกระดูกให้ทำหน้าที่ควบคุมเชื้อโรคที่อาจมาทำร้ายร่างกายได้ดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความรู้สึกเป็นสุขจากปฏิกิริยาของร่างกายนี้ตรงกับคำว่า ปิติ คือความอิ่มใจ ความดื่มด่ำในใจ ในทางพระพุทธศาสนา
ปฏิบัติให้เป็นปกติ สม่ำเสมอ และต่อเนื่อง อาการต่างๆเป็นเพียงสภาวะธรรมตามลำดับตามขั้นตอนที่ผู้ปฏิบัติทั่วไปต้องพบต้องเจอทุกคน บันทึกไว้.....
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา  |
|
|
|
   |
 |
Retsuya
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
16 พ.ค.2006, 4:56 am |
  |
สวัสดีครับคุณ ชช.
1.อาการซ่าๆคือปิติ จะหายไปเองถ้าคุณคล่องในสมาธิโดยเมื่อมันเกิดขึ้นให้คุณรู้ว่า เวลานี้มันเกิดแล้ว ให้คุณคิดว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเอง มันเป็นธรรมชาติของทุกๆสิ่งในโลกที่ไม่เที่ยงมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
2.การที่คุณบอกว่าไปหาอาจารย์กับเพื่อนแล้ว รู้สึกซ่าๆอยู่ตลอดเวลาก็เพราะว่า อาจารย์ท่านนั้นมีกระแสหรือพลังที่ส่งออกมาจากในร่างของอาจารย์ เป็นกระแสเมตตา ถ้าคุณสังเกตุให้ดี เวลาคุณไปกราบครูบาอาจารย์ที่เคร่งในการปฎิบัติ คุณจะรู้สึกอบอุ่น(ตอนที่คุณยังไม่ได้หัดนั่งสมาธิ)แต่ตอนนี้คุณได้ปฎิบัติธรรมมาแล้ว คุณจะมีความรู้สึกปิติหรือซ่าๆหรือขนลุกขนพอง เพราะว่าจิตคุณมีความมั่นคงแข็งแรงกว่าก่อนมาก
3.คุณบอกว่าสวดมนต์แล้วหงายหลังหลับไปแสดงว่าตอนนั้นที่สวด จิตของคุณรวมตัวดี แต่คุณสติยังอ่อน ยังต้องฝึกสติโดยการรู้สึกตัวให้มากๆ อาจจะเดินจงกลมหรือกำหนดการเดิน ยืน นั่ง ในชีวิตประจำวันด้วยความรู้สึกตัว พยายามเผลอให้น้อยที่สุด ลืมก็ช่างมันอย่าไปโกรธตัวเองเพราะเรายังไม่คุ้นเคยในการที่จะมาสังเกตุกายและใจของเรา เราตื่นมาจนกระทั่งนอน เราเคยแต่คิดนั่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา แล้วอยู่ๆจะไปบังคับมันให้ตามใจเรานั้น มันต้องใช้เวลา อย่าใจร้อนครับ
พยายามฝึกด้วยใจสบายๆไม่เกร็ง ขออนุโมทนาในการปฎิบัติของคณชช. ขอให้เจริญในธรมครับ |
|
|
|
|
 |
ชช.
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ค.2006, 8:58 pm |
  |
พอจะเข้าใจและทราบถึงเหตุ และทางระงับแล้วครับ เมื่อสักครู่ตอนสวดมนต์เสร็จก็ซ่าอีกเหมือนเดิมครับ แต่ไม่ใส่ใจด้วยแล้วครับ ช่างเขา...
กราบขอบพระคุณอีกครั้งครับ
และถ้าผมพอจะมีเวลาว่างตอนกลางคืนกลางสัปดาห์หลังเลิกงาน ผมจะหาสถานที่ที่จะไปฝึกหัดได้จากที่ไหนได้บ้างครับ ในเวปนี้มีแนะนำบ้างไหมครับ พอดีวันหยุดนั้นผมมีภาระเรื่องเรียนต้องรับผิดชอบอยู่ครับ ขอบคุณครับ |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
18 พ.ค.2006, 2:45 am |
  |
|
   |
 |
ภูเขาน้ำแข็ง
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 13 พ.ค. 2006
ตอบ: 46
|
ตอบเมื่อ:
18 พ.ค.2006, 11:12 am |
  |
อนุโมทนา |
|
_________________ อย่าดับความอยากด้วยการสนอง จงดับโดยวางเฉย |
|
  |
 |
ทิพ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
18 พ.ค.2006, 12:47 pm |
  |
โมทนา สาธุ คะ
เรานั่งได้ น้อยมาก กิเลส ยังมาก อยู่ แต่พยายามสวด มนต์ ทุกวันได้ ปะคะ
โมทนา กับคนที่ ปฎิบัติ ได้ไหมคะ
ทิพ |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
18 พ.ค.2006, 2:01 pm |
  |
|
   |
 |
|