Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อยากทราบว่าวิญญาณเมื่อตายไปแล้ว จะไปอยู่ที่ใด อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
อยากรู้จริง ๆ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2006, 8:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดิฉันเพิ่งเสียคุณแม่ไป อยากทราบว่าวิญญาณท่านจะไปอยู่ที่ใด และทำไมไม่มาหาเลย มีวิธีใดที่จะรู้ว่าท่านไปสบายหรือยัง
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2006, 2:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มนุษย์เป็นภูมิเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเลือกเส้นทางเกิดได้โดยสะดวกที่สุด โดยพิจารณาจากการปฏิบัติตนขณะมีชีวิตว่า เมื่อตายแล้วจะไปไหน คือ

ทางไปเกิดเป็นสัตว์นรก ด้วยอำนาจความโกรธ ความแค้น ความหมองใจ ทรมานใจ
ทางไปเกิดเป็นเปรตอสูรกาย ด้วยอำนาจความโลภ เช่น บรรดาผู้โกงชาติบ้านเมืองทั้งหลาย
ทางไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ด้วยอำนาจโมหะ คือ ความหลง ความหลงผิด เช่น ว่าไม่มีบุญมีบาป
ทางไปเกิดเป็นมนุษย์โดยการรักษาศีล 5 และกุศลกรรมบท 10 ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักขโมย, ไม่ประพฤติผิดในกาม, ไม่พูดเท็จ, ไม่พูดส่อเสียด, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดเพ้อเจ้อ, ไม่โลภ, ไม่พยาบาลคิดร้าย และเห็นชอบตามคลองธรรม
ทางไปเกิดบนสวรรค์ คือ การให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา
ทางไปสู่พรหมโลก คือ การปฏิบัติสมถกรรมฐาน
ทางไปสู่นิพพาน คือ วิปัสสนากรรมฐาน และปฏิบัติตามมรรค 8



ในศาสนาอื่นมิได้สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด คริสต์ศาสนาและอิสลามสอนว่าตายแล้วไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ฮินดูมีการเวียนว่ายตายเกิดเช่นกัน แต่ต่างกันที่ทางพุทธเป็นอนัตตาไม่มีตัวตน แต่ฮินดูเป็นอัตตา คือ อาตมัน ซึ่งเป็นส่วนย่อยของปรมาตมันหรือวิญญาณเดิมซึ่งมาจากพรหม การไปรวมของอาตมันกับปรมาตมัน จะทำให้พ้นทุกข์ไม่เกิดอีก ซึ่งจะทำได้โดยการบำเพ็ญเพียรกริยา และประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งต่างจากคำสอนของพระพุทธองค์ ที่จิตวิญญาณของใครก็สุดแต่กรรมของตนเอง

ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั้งหลายจงเชื่อมั่นในความจริงที่ว่าตายแล้วเกิดโดยสุดแต่กรรมจะชักนำไป เพราะสิ่งนี้คือ หลักสำคัญของพุทธศาสนาคือ การเวียน ว่าย ตาย เกิด หรือการเกิดดับ เกิดดับ ไม่มีที่สิ้นสุด จนพระพุทธองค์สามารถทำพระองค์ให้หลุกพ้นจากการเกิดดับนี้ได้คือปรินิพพาน และบรรดาอรหันต์สาวกของพระองค์อีกมากมายทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ปฏิบัติตามอริยมรรคจนสามารถหลุดพ้นสู่นิพพาน คือ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

เพื่อให้เห็นภาพความยาวนานของการเกิดดับ พระพุทธองค์ได้ทรงอุปมาอุปมัยโดยเอาพระองค์เองเป็นตัวอย่างว่า “ในพื้นปฐพีนี้ไม่ว่าจะเอาเข็มแทงลงไป ณ ที่ใดก็ไม่พ้นถูกหลุมศพของตถาคต หากเอากระดูกในแต่ละชาติของตถาคตมากองรวมกันก็จะสูงกว่าเขาพระสุเมรุ และหากเอาน้ำตาที่ร้องไห้คร่ำครวญเพราะความทุกข์ความพลัดพรากรวมกัน ก็ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งหลาย” คงจะทำให้ทุกคนเข้าใจและเห็นภาพของการเกิด-ดับของชีวิตแต่ละคน และหาหนทางให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ ซึ่งมีเพียงวิธีเดียว คือ มรรค ที่พระพุทธองค์ได้แสดงธรรมชี้แนะไว้ ซึ่งมิใช่ของง่าย ไมมีวิธีลัด ไม่มีใครช่วยได้นอกจากตนเองและต้องอาศัยเวลาและความตั้งใจทุกภพทุกชาติไป ความตายทางการแพทย์ หมายถึง อวัยวะสำคัญต่างๆหยุดทำงาน ได้แก่ หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ สมองหยุดทำงาน

ซึ่งในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เราอาจให้คนหยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้นโดยไม่ตายก็ได้ เช่นในการผ่าตัดหัวใจใช้เครื่องมือทำหน้าที่แทน ดังนั้นการตีความถึงการตายทางแพทย์ คือ การที่สมองหยุดทำงาน ซึ่งรู้โดยการตรวจคลื่นสมอง ถึงแม้หัวใจอาจเต้นอยู่หายใจอยู่โดยใช้เครื่องช่วยหายใจทางแพทย์ปัจจุบันก็ถือว่าตายแล้ว ซึ่งต่างจากการตายทางพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึงการที่ขันธ์ทั้ง 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกสลายแล้ว สิ่งแตกต่างที่สำคัญก็คือจิตวิญญาณที่ละทิ้งร่างที่หมดอายุแล้ว ทำให้จุติวิญญาณออกจากร่างเดิมและจะเป็นปฏิสนธิวิญญาณไปเกิดอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นการที่หัวใจคนไข้ยังเต้นอยู่ ยังหายใจอยู่ แต่สมองไม่ทำงานทางพุทธศาสนายังไม่ถือว่าตาย

แต่เราไม่มีวิธีหรือเครื่องมือตรวจสอบว่าจิตวิญญาณทิ้งร่างไปเมื่อใด เราจึงต้องรอให้ทุกอย่างหยุดจริงๆ การที่คนเราตายแล้วจะไปไหนอยู่ที่แรงผลักดันของ ตัณหา ส่วนจะเกิดเป็นอะไรก็สุดแต่ กรรม ที่จะนำไปในขณะที่จิตจะดับ ที่เรียกว่า จุติวิญญาณ ถ้าจิตขณะนั้นดีมีกุศลก็จะนำไปเกิดในภพภูมิที่ดี และตรงกันข้าม ถ้าจิตขณะดับเป็นอกุศลก็จะนำไปสู่ภพภูมิที่ต่ำ จะมีการต่อเนื่องของจุติวิญญาณไปเป็น ปฏิสนธิวิญญาณ นอกจากนี้จิตขณะจะดับอาจจะถูกชักนำด้วยกรรมนิมิตดีหรือชั่วที่ได้ทำมาก่อนในชาตินั้น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าในศาสนาใดก็ตาม มักจะแนะนำให้ผู้ใกล้ตายคิดถึงสิ่งดีๆ เช่น คิดถึงพระ คิดถึงพระเจ้า พระอัลเลาะห์ เป็นต้น สำหรับเราที่ยังมีชีวิตอยู่ควรนึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ไว้เสมอว่า

เรามีความแก่เป็นธรรมดา เราจะพ้นความแก่ไปไม่ได้
เรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา เราจะพ้นความเจ็บป่วยไปไม่ได้
เรามีความตายเป็นธรรมดา เราจะพ้นความตายไปไม่ได้



ซึ่งจะทำให้เราเป็นคนไม่ประมาท ทำทุกอย่างที่ควรทำในโอกาสแรกที่สุด เพราะไม่แน่ว่าเราจะหมดโอกาสเมื่อไร ผู้ที่เจ็บป่วยควรนึกถึงสัจธรรมข้อนี้ไว้เสมอ โดยเฉพาะข้อ มรณานุสติ เพราะจะช่วยทำให้สามารถระงับความเศร้าโศกเสียใจได้บ้าง ช่วยให้ปลงตก สำหรับคำตอบต่อคำถามว่าเราตายแล้วจะไปไหน พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับเจ้าผู้ครองนครสาวัตถีว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้แบ่งได้เป็น 4 ประเภทคือ

1.คนที่มืดมาแล้ว มืดไป
2.คนที่มืดมาแล้ว สว่างไป
3.คนที่สว่างมาแล้ว มืดไป
4.คนที่สว่างมาแล้ว สว่างไป


คนที่มืดมาแล้ว มืดไป หมายถึง คนที่เกิดมาในตระกูลต่ำ ยากจน หรือพิการ เมื่อมีชีวิตยังประพฤติผิดทุจริตต่างๆเมื่อตายแล้วจะไปนรก คนที่มืดมาแล้วสว่างไป หมายถึง ผู้ที่เกิดมาอย่างเดียวกันแต่ขณะยังมีชีวิตประกอบกรรมดี ชาติภพหน้าย่อมไปในทางที่ดี ตรงกันข้ามถ้าคนที่มาดีทุกประการเกิดในชาติตระกูลดี รูปร่างหน้าตาดี สติปัญญาดีเรียกว่าสว่างมา แต่การดำรงชีวิตไม่ถูกต้อง ประพฤติแต่สิ่งที่ผิด เมื่อตายไปย่อมเกิดในภพภูมิที่ต่ำ มีส่วนน้อยเท่านั้นที่เกิดมาดีและดำรงชีวิตด้วยดีทำให้ตายไปในภพภูมิที่ดีกว่าเดิม

ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจงเชื่อมั่นในความจริงที่ว่าตายแล้วเกิดสุดแต่กรรมจะชักนำไป เพราะสิ่งนี้คือหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาคือ การเวียน ว่าย ตาย เกิด หรือ การเกิดดับ เกิดดับ ไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากจะปฏิบัติตามพระพุทธองค์ที่สามารถทำพระองค์ให้หลุดพ้นจากการเกิดดับนี้ได้คือปรินิพพาน รวมทั้งบรรดาอรหันต์สาวกของพระองค์อีกมากมายทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ปฏิบัติตามอริยมรรคจนสามารถหลุดพ้นสู่นิพพาน คือไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป อย่างน้อยเราควรตั้งใจและปฏิบัติให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีได้สร้างสมบารมีจนกว่าจะถึงเวลาที่ได้หลุดพ้นในกาลข้างหน้า
ผีเสื้อ


http://www.salatham.com/gists/life.html
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
อิคิว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ค.2006, 1:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิญญาณ ไม่ใช่ ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
ไม่ได้ล่องลอยไปอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง แต่เกิดขึ้นแล้วดับไป ตามเหตุ ปัจจัย
ถ้ายังมี อวิชชา ก็ มีสังขาร ถ้ามีสังขาร ก็มี วิญญาณ
ขอให้ทำความเห็นนี้ให้ถูก อย่าได้ อยู่อย่าง ผู้มีความหลง
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา นี้คือพระธรรมที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ แล้วนำมาสอนสัตว์โลกทั้งหลายให้รู้ตามความเป็นจริง
พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง
สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว
และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง
ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น
ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึง
เจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด
พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง
เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย
พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียร
ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่ง
เจริญ ฯ
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ค.2006, 1:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ภพภูมี มีทั้งหมด ๓๑ ภพ จำแนกได้ อบายภูมิ ๔ มนุษย์ภูมิ ๑ เทวโลก ๖และพรหมโลก ๒๐
เมื่อสัตว์ทั้งหลายตายแล้วย่อมเกิดทันที ไม่มีระหว่างขั้น และการที่จะเกิดที่ไหนนั้น
ก็แล้วแต่กรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำไว้ กรรมโยนี สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นแดนเกิด
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายไปสุคติภูมิ มีน้อยดุจเขาโคโดยมากไปทุคติมากกว่า
ดุจขนโค พระพุทธองค์ทรงตรัสทางไปสู่สุคติไว้แล้ว คือการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา

การที่คนที่เขาตายแล้วเขาไม่สามารถมาหาเราได้ เพราะบางทีเขาอยู่ในภพภูมิอื่นที่ไม่สามรถจะติดต่อเราได้

คนที่เกิดเป็นเทวดาฃั้นดาวดึง มีอายุต่างกับมนุษย์มาก ๑วันของที่นั้นเท่ากับ๑๐๐ ปีของมนุษย์
ถ้าหากเขาคิดว่าเราจะพักหาความสุขที่นี่ ๑วันก่อนแล้วค่อยไปหาญาติเรา เมื่อ ครบ วัน ญาติเราก็เสียแล้ว บางคนเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน จึงไม่สามารถติดต่อพูดคุยกับมนุษย์ได้อีก

ถ้าหาก คุณ อยากรู้จริงๆ อยากทราบภพภูมิของคุณแม่ ก็ลองไปถามคนที่เขาฝึกฌาณ จนได้ ตาทิพย์ดูสิครับ
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
เพื่อน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 พ.ค.2006, 11:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็เข้าใจความรู้สึกนะ ตอนพ่อเสียก็เป็นห่วงแบบเดียวกัน แม้ทุกวันนี้ก็ยังอาลัยคิดถึงอยู่เสมอ
จริงๆแล้วระดับอย่างเราไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าท่านไปไหนแล้ว
( อย่าไปทรงเจ้าเข้าผีถูกหลอกเสียชื่อชาวพุทธเชียวนา )

ขอแนะนำว่า ไปทำบุญกับพระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ คุณแม่ท่านจะได้รับผลหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
( คือว่ากันว่าภพภูมิที่จะสามารถได้รับส่วนบุญจากญาติก็คือภพภูมิของเปรตประเภทหนึ่ง )

อย่างงัยก็ตาม ที่แน่ๆนั่นเป็นกุศลแก่เราผู้ทำ และยังพอบรรเทาความไม่สบายใจไปได้บ้างน่ะ
 
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 พ.ค.2006, 1:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอเสริมคุณปุ๋ย ถึงสิ่งที่ควรพิจารณาอยู่เสมอนอกจาก 3 ข้ออันได้แก่ความแก่ ความเจ็บ และความตายอันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพบอย่างแน่นอนแล้ว ยังมีอีก 2 ข้อคือ
--คนเราต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบด้วยกันหมดทุกคน และ- เราทุกคนมีกรรมเป็นของตน ทำกรรมใดไว้จักได้รับผลของกรรมนั้นไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือชั่วก็ตาม
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง