Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อายตนะ 6 ที่ควรรู้คืออาไร ทำไมถึงควรให้ความสำคัญ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
jo_swu
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 เม.ย.2006, 11:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
 
วายร้ายในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 เม.ย.2006, 11:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ประตู นี้ ใครรู้ ว่าจะปิดอย่างไร
แล้ว ใจ ละควรจะ ปิดอย่างไร
 
ขาแจมในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 เม.ย.2006, 11:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปิด แบบวางทิ้ง ปัดทำเป็นไม่รู้
ปิด แบบนี้ ก็จะมีแรงกระทบ
 
อ.ปู่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 12:00 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"อยู่กับผู้รู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้"

(คำตอบ)
 
ขามั่วในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 12:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความพอใจ

หากทำไม่ถูกตา พูดไม่ถูกหู ค่าเราในสายตาก็ลดเป็นธรรมดา
ความจริงจังที่จะแก้ความเข้าใจผู้อื่นที่เป็นเรื่องเล็กน้อยนั้น
ปล่อยทิ้ง ปล่อยวางก็ควรอยู่ รู้ที่กาย รู้ที่จิต รู้ให้ถึงใจ ลงไปในความสงบนั้น

เสียงฟ้าฝ่า เสียงฟ้าร้อง แม้นคนในโลกจะ ไม่พอใจ จนถึงขั้นกลัว
จริงจังจนถึงขั้นทุกข์ ทำไมไม่ปล่อยไป แล้วมากำหนดถึง ความสงบ
 
หมูบินในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 12:38 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ล้วน ลงที่ใจ ปิดที่ใจ
กายสงบ จากเวทนา จิตสงบ จากนิวรณ์
อะไร ฟังแล้ว ขำ ก็ไม่แปลก แต่ก็ไม่ต้องจริงจัง

ขันธ์ 5 เป็น อนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง ก็เป็นทุกข์ สิ่งใดที่เป็นทุกข์ สิ่งนั้นล้วนเป็นอนัตตา

โทษของกาย โทษของสังขารความปรุงแต่ง จะมีอยู่กับผู้ที่ยังประมาท
 
boso
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 12:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กายที่คั่นเนื้อคั่นตัว ทำไมถึงไม่เพียรปฎิบัติให้รู้ว่า เจริญอย่างไรถึง สงบจากเวทนา

ปฎิบัติตัวอย่างไร เวทนาถึงแรงกล้า สิ่งนั้นก็ไม่ควร เลี่ยงนะ

จิตที่มีขันติดี ก็เหมือน มีโล่ที่ดี
ขันติ คือความอดทน
อด คือ อยากแต่ไม่ได้
ทน คือ ไม่อยากแต่ต้องทนให้ได้

ผู้ที่เริ่ม ต้น ดูความโกรธ โดยดูกายที่ ร้อน จนระงับได้เรา อนุโมทนา
ผู้ที่เริ่ม ต้น ดูราคะ โดยสลัดคืน จิตที่ถูกลากไป แล้วกำหนด ลมหายใจถึงท้อง จากลมหายใจที่ยาว และ ร่างกายที่ไม่เกร็ง เรา อนุโมทนา
ผู้ที่เริ่ม ต้น ดูโมหะ แค่ พอใจ กาย จิตสงบ
จากการเจริญอานาปานสติ โดยไม่ประมาท เราอนุโมทนา
 
วิสัชนา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 1:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หู
ตา
จมูก
ลิ้น
กาย (ผัสสะ) การสัมผัสทางกาย ,การกระทบทางการ
ใจ (มโน)

เป็นสิ่งที่ต้องควบคุมและดูแล....โดยเฉพาะทางใจ

จิตที่ไม่ได้รับการอบรมดูแล ย่อมต้องไปเสวยอารมณ์ที่ต้องเข้ามากระทบในชีวิตประจำวัน

โดยมีอายตนะต่างๆทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมให้เสวยอารมณ์ ตามเหตุแห่งความ โลภ โกรธ และหลง

เป็นเหตุโดยมีใจเป็นประธานเสมอ

ความรุนแรงของอารมณ์ในแต่ละบุคคลย่องแตกต่างกันไป ทั้งนี้สืบเนื่องจาก กิเลสที่มักดองหรือ

กระทำจนเป็นนิสัยสะสมมาในหัวใจของแต่ละบุคคลนั้นๆ มีมากและน้อยต่างกัน


[/code]
 
จรัญ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 8:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตาหูจมูกลิ้นกายส่วนเหล่านี้เป็นประตูทางเข้าทั้งดีและไม่ดีเราต้องมีสติหรือตัวรู้เป็นตัวเลือกและกรองด้วยปัญญาสิ่งเหล่านี้ต้องมีการฝึกฝนตลอดเวลาจนเกิดความชำนาญ อารมเปรียนเหมือนม้าผยสที่ที่ประกอบด้วยความแรงกำลังและความดื้อม้าที่ผยสผู้ขี้ต้องมีการฝึกฝนอยู้กับม้าจนชำนาญต้องใช้เวลาและความอดทนประกอบด้วยสติปัญญาและความสามารถเมื่อบังคับมันได้ย่อมสั่งให้วิ่งหรือเดินตามใจปราถนาก่อนจะฝึกควบคุมอารมณ์ต้องรู้ก่อนว่าอารมณ์เกิดจากการยึกมั่นถือมั่น ตัวอารมณ์เป็นจุดเริ่มต้นของกรรมหรือการกระทำจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย อารมณ์ โลภ โกรธ หลง
เป็นธรรมดาของคนทุกคน สิ่งเหล่านี้ยืนอยู่บนความเห็นแก่ตัว เมื่อท่านฝึกฝนจนชำนาญท่านจะมีแต่ความสุข
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 11:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อายตนะ ๖ แบ่งเป็นอายตนะภายใน๖ กับอายตนะภายนอก๖ อายตนะ ภายในได้แก่
จักขุอายตะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ มนายตนะหรือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะ ภายนอก๖ ได้ แก่ รูป รส กลิ่นเสียง โผฐฐัพพะ และ ธรรมารมณ์
เมื่อ อายตนะ ภาย ในกระทบ อายตนะภายนอก เช่น ตาเห็นรูปเกิด จักขุสัมผัส หูได้ยิน เสียงเกิด โสตสัมผัส จมูกได้รับกลิ่น เกิด ฆานสัมผัส ลิ้น ได้รับรส เกิดชิวหาสัมผัส กายได้รับสัมผัส เกิด กายสัมผัส ใจได้ รับธรรมารมณ์ เกิด มโนสัมผัส

ผัสสะ นี้เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา ได้ แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อสุขทุกขเวทนา เช่น เวทนา เกิดจาก จักขุสัมผัส เวทนา นี้ก่อให้เกิดตัณหา ตัณหา ก่อ ให้เกิด อุปาทาน อุปาทานก่อให้เกิด ภพ ภพก่อให้เกิดชาติ ชาติ ก่อให้เกิด ทุกข์ทั้งหลาย

ยกตัวอย่างเมื่อ ตาเห็น รูปสวยๆ ย่อมเกิด เกิด สุขเวทนา เมื่อเกิด สุขเวทนา ย่อมเกิดตัณหา
คือ ความอยาก ความพึงพอใจในรูปนั้น เมื่อเกิดความอยาก ความพึงพอใจในรูป ย่อม เกิดอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นในรูป เมื่อเกิดความ ยึดมั่นถือมั่นในรูป เมื่อรูปนั้นแปรเปลี่ยนไป ย่อมเกิดทุกข์
สรุป แล้ว ทุกข์ ทั้งหลายล้วนเกิดมา จากความยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น

ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 11:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อ รู้สาเหตุของความทุกข์ แล้วว่ามาจากอุปาทานความยึดมั่น พึงละอุปาทานเสีย
การละอุปาทาน ทำได้โดย การเจริญวิปัสสนาตาม มหาสติปัฐฐาน ๔ ได้แก่
๑ กายานุปัสสนาสติปัฐฐาน
๒ เวทนานุปัสสนาสติปัฐฐาน
๓ จิตตานุปัสสนาสติปัฐฐาน
๔ ธรรมานุปัสสนาสติปัฐฐาน
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
neoman
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 26 ก.พ. 2006
ตอบ: 64

ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 8:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อายตนะ ไม่ต้องไปปิดเพื่อต้องการหนีกิเลส เพราะจะไม่ได้ผลอะไร..
มิเช่นนั้น คนที่อายตนะพิการ (ตาบอด หูหนวกฯ) คงจะบรรลุธรรมกันหมดแล้ว

แต่ให้กำหนดอายตนะ ทางใดทางหนึ่งเพื่อใช้จิตพิจารณา
ส่วนอายตนะนอกนั้นก็ไม่ต้องสนใจ สนใจแต่เฉพาะที่จิตกำหนดอยู่อายตนะเดียวเท่านั้น
ให้เห็นว่าสภาพสิ่งที่กำลังเกิดทางอายตนะนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน... สาธุ
 

_________________
ความสุขหรือความทุกข์ อยู่ใจเราจะคิดเอา ถ้าคิดว่าสุขก็สุข ถ้าคิดว่าทุกข์ก็ทุกข์.
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ตามมาแจมมั่วๆ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 เม.ย.2006, 2:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

neoman
ตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2006, 8:32 pm เรื่อง:

--------------------------------------------------------------------------------

อายตนะ ไม่ต้องไปปิดเพื่อต้องการหนีกิเลส เพราะจะไม่ได้ผลอะไร..
มิเช่นนั้น คนที่อายตนะพิการ (ตาบอด หูหนวกฯ) คงจะบรรลุธรรมกันหมดแล้ว

แต่ให้กำหนดอายตนะ ทางใดทางหนึ่งเพื่อใช้จิตพิจารณา
ส่วนอายตนะนอกนั้นก็ไม่ต้องสนใจ สนใจแต่เฉพาะที่จิตกำหนดอยู่อายตนะเดียวเท่านั้น
ให้เห็นว่าสภาพสิ่งที่กำลังเกิดทางอายตนะนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน...



ปล. ความตั้งใจที่จะกล่าวแตกออก ตามหลักปฏิจจสมุปบาทนั้นมีแต่ เห็นว่าจะไม่ได้ประโยชน์
บางเรื่องที่ลึกซึ้ง กล่าวให้ง่าย ก็จะเป็นโทษแก่ผู้ที่อ่าน

ประตู ปิดที่จิต นั้นได้อยู่ แต่ ถ้าจะปล่อยให้ อีก 5 ทาง จากประตู 6 ทาง
กล่าวได้ว่าเป็นผู้ประมาท ส่วนผู้ที่เห็นเกิดดับ อยู่กับ เกิดดับ ก็ยังไม่อ้างไม่ได้ว่า เป็นวิปัสนา
จะตกกองกิเลสนะ ผู้ที่เจริญสติ จนถี่ จนรวม ก็ยังไม่ใช่นะ วิปัสนูกิเลส จะลวงเอา
ยิ้ม

(กายที่ไม่สงบ นั้น เป็นจริงจน กว่าจะตาย กายสังขารระงับนั้นเป็นเพียง วิหารที่อาศัย เพื่อพร้อมจากการสลัดคืน เพื่อความถึงพร้อมในความประมาท จนถึงปัญญา เห็นธรรมในตน แจ้งในธรรม)

-แค่ของเลียนแบบ- สาธุ
 
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 เม.ย.2006, 11:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตา เห็นแต่ไม่ต้องมอง หู ได้ยินแต่ไม่ต้องฟัง จมูกได้กลิ่น ไม่ต้องดม ลิ้นรู้รส แต่ไม่ต้องชิม กายรู้สัมผัสแต่ไม่ต้องการสัมผัส ใจรู้อารมณ์แต่ไม่เกิดเวทนา
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 15 เม.ย.2006, 4:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่า " ตา เห็นแต่ไม่ต้องมอง หู ได้ยินแต่ไม่ต้องฟัง จมูกได้กลิ่น ไม่ต้องดม ลิ้นรู้รส แต่ไม่ต้องชิม กายรู้สัมผัสแต่ไม่ต้องการสัมผัส ใจรู้อารมณ์แต่ไม่เกิดเวทนา "
ทรงสอน ว่า เมื่อ เราได้ เห็น ก็สักว่าเห็น ได้ยินก็สักว่าได้ยิน ได้กลิ่น ก็สักว่าได้กลิ่น
รู้รส ก็สักว่ารู้รส รู้สัมผัสก็สักว่ารู้สัมผัส รู้ธรรมารมณ์ ก็สักว่ารู้ธรรมารมณ์ หมายความ
ไม่ให้ยึดมั่น ถือมั่นกับ สภาวะธรรม ที่ผ่านเข้ามาทางตาหูจมูก ลิ้นกายใจ ไม่ได้ สอนให้ ปิดหู
ปิดตา ครับ
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
สักว่ามาแจม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 เม.ย.2006, 8:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พาหิยะรุจิ ท่านก็ได้ธรรมข้อนี้ ถึงเห็นธรรม แจ้งในธรรม
แต่ธรรม ที่มี ทั้งอรรถ ธรรม พยัญชนะนี้ แปลออกมา ได้คลาดเคลื่อน ตามกาล จึงควร
อย่าปลงใจเชื่อ ตาม ตำรา
แต่เชื่อเมื่อปฏิบัติแล้ว เป็นรู้ เนื่องด้วยปฎิบัติธรรม อยู่กับคนจริงก็จริง
อยู่กับคนไม่จริงก็เป็นของปลอมไป
(ธรรม เป็นวิทยาศาสตร์ ทางจิต ที่พิสูจน์ได้ เป็น อกาลิโก ไม่จำกัดกาลเวลาไม่ว่านานเพียงใด)

ปล. หลวงพ่อชา "อุเบกขา คือ วางด้วยปัญญา" ซึ้ง
(ภพ ชาติ นั้น เมื่อมี เมื่อเสพ ก็ย่อม ไม่สิ้นภพ)
 
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 เม.ย.2006, 9:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอขยายความเพิ่ม คำว่าเห็นแต่ไม่ต้องมอง หมายความว่าตาของเราเห็นได้อย่างที่บุคคลทั่วไปเห็น แต่ไม่ควรมองคือไม่เอาจิตไปผูกพันกับการเห็น ถ้าความหมายของคำว่า "มอง" มิใช่ความต้องการที่จะเห็นก็มองได้ แต่ถ้ามองเพราะมีความต้องการที่จะ"เห็น"ซึ่งเป็นเพียงผัสสะ "มอง" เป็นสังขารที่เกิดขึ้นซึ่งจะต่อเนื่องไปให้เกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน ฯลฯ ฉะนั้นเราจึงควรหยุดที่เพียงผัสสะ คือการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส สัมผัส และรู้อารมณ์ได้ พยายามอย่าให้เกิดเวทนา ตัณหา(ความต้องการเห็น ต้องการฟัง ต้องการดม ต้องการรับรส ต้องการสัมผัส ต้องการความสุข)
โปรดอย่าเชื่อผมทันที เพราะผมพิมพ์ตามความเข้าใจส่วนตัวอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ทุกท่านมีสิทธิไม่เห็นด้วย วิจารณ์ได้เต็มที่ ขอความสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญาจงมีแด่ทุกท่าน
 
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 16 เม.ย.2006, 11:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้มเห็นฟัน อนุโมทนาครับ สาธุ
ขอขยาย ความ เรื่องปฎิจจสมุปบาท คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่า ปฎิจจสมุปบาท
คร่อม 3 ชาติ แต่ ความจริงแล้ว ปฎิจจสมุปบาท เกิด ทุกวัน วันละ นับครั้งไม่ถ้วน
เมื่อ อุปาทานจิตเกิด ความยึด มันใน ตัวตน (อัตตา) ก็เกิด ตาม เป็นวงจร ทุกข์ไม่มีที่สุด
เช่น เมื่อ ตาเห็นรูป จิตก็เกิดอัตตา ความยึดมั่น ว่ารูป ของเรา แต่ความจริงรูปนั้น เป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง ที่มีความเกิดดับนั่นเอง หาได้เป็นเรา เป็นของเราไม่ การเจริญ วิปัสสนาก็เพื่อตัดวงจรปฏิจจสมุปปบาทนั่นเอง
พระธรรมของพระพุทธเจ้า เป็น ปัจจุบันธรรม เป็นอกาลิโก สันทิฏฐิโก ไม่ได้สอน
ข้ามภพข้าม ชาติ เพราะไม่มีประโยชน์ ดังนั้นคนที่เห็นว่าปฎิจจสมุปบาท คร่อม 3 ชาติ นั้น
ไม่ถูกต้อง ทั้งยังไม่เกิด ประโยชน์ไม่สามารถจะอธิบายในวิปัสสนาได้

เพื่อความไม่ลังเลสงสัย
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หนังสือ เกี่ยวกับปฎิจจสมุปบาท ของท่านพุทธทาส สาธุ
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
วิสัจชนา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 เม.ย.2006, 3:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บุคคลผู้ศึกษาได้รับการฝึกและปฏิบัติธรรมมาระยะเวลาต่างกัน

ได้อาศัญธรรมเป็นเครื่องออกจาก[color=blue]ทุกข์


ความคิดพิจารณาหลักปฏิบัติย่อมดำเนินรู้ช้าบ้าง เร็วบ้าง และหรือ ถูกบ้าง ผิดบ้าง

ย่อมต้องมีในตัวของผู้ปฏิบัตินั้น หากทุกคนเปิดใจให้ความเคารพสิทธิ์ของแต่ละคน

เหตุแห่งการวิวาทในการแสดงความคิดเห็นย่อมไม่มี[/color]
 
ขาเถื่อนในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 เม.ย.2006, 6:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องที่ว่าตำรานะเราแนะนำ ปฎิจจสมุปบาท เล่มเดียวจ้า (อยู่)
"ความเข้าใจเรื่อง ปฎิจจสมุปบาท" สมเด็จญาณ (87หน้า)
หาได้ที่มหามกุฏ บางลำพู เล่มละ 35 บาท เอาเยอะบอกลดได้

การเจริญสติปัฏฐาน 4
มี กาย ใน กาย / กาย
มี เวทนา ใน เวทนา / กาย กับ เวทนา
มี จิต ใน จิต / กาย กับ เวทนา กับ จิต
มี ธรรม ใน ธรรม / กาย กับ เวทนา กับ จิต กับ ธรรม

สุขหนอ ๆๆๆ (ลองทำดูซี)

เวทนา 5
สุขกาย
สุขใจ(โสมนัท)
ทุกข์กาย
ทุกข์ใจ(โทมนัท)
อุเบกขา(เป็นกลาง ไม่สุข ไม่ทุกข์)

"อย่าให้เกิดเวทนา" ขอแนะ เป็น กายสังขารระงับ(กายสงบ จาก เวทนา:ขำๆ อย่าคิดมาก) ยิ้มแก้มปริ

ท่านพุทธโฆษาจารย์ ท่านรจนา คัมภีร์วิสุทธิมรรด อยู่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 2000ปี ผ่านไป
ความลึกซึ้ง คุณนั้นมากมายนัก ไปหาอ่าน ไปหาเก็บไว้ ผู้ที่ไม่อ่าน หรือ ผู้ที่อ่านแล้วไม่ตีความ
ไม่พิจารณาความแยบคาย ไปรู้ว่าจะไปเก่งกาจ ไม่เห็นว่าควรเลย ผู้ที่สบปรามาสพระอริยะ ย่อมไม่ถึง อริยะได้เลย ฉันใด (ผู้ที่ประมาท ในกายที่เป็นก้อนทุกข์ ไม่ดีนะ ถึงได้รางวัล ก็ไม่พ้นจากทุกข์)

เรื่องที่ว่าตำรานะเราแนะนำ คัมภีร์วิสุทธิมรรด เล่มเดียวจบจ้า (อยู่)
"พระวิสุทธิมรรค" วงศ์ ชาญบาลี (880 หน้า)
หาได้ที่ท่าพระจันทร์ เล่มละ 200 บาท เอาเยอะ โทร 02-221-2479 (อำนวยสาส์น)
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง