Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ศีลห้าสู่สวรรค์....หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ฟฟ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2006, 2:32 pm
ศีลห้าสู่สวรรค์
หลวงปู่คำคะนิงท่องเที่ยวต่อไปถึงทางแยกแห่งหนึ่ง จ่ายมบาลบอกว่า ตรงนี้เป็นชุมทางไปสู่สวรรค์ชั้นต่าง ๆ เส้นทางเป็นสายรุ้งพุ่งจากพื้นเป็นวงโค้งขึ้นไปในอากาศนั้น
เป็นเส้นทางสาหรับผู้เจริญวิปัสสนาได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน เมื่อตายแล้วต้องขึ้นเส้นทางนี้ไปสู่สวรรค์เบื้องสูงสำหรับอริยบุคคลชั้นโสดาบัน
ที่เป็นอู่ทอง อู่แก้วคล้ายบุษบกมีสายชักขึ้นและชักลงจากพื้นดินขึ้นไปในอากาศนั้น เป็นอู่ยนตร์สำหรับผู้ที่จะไปสวรรค์ตามกำลังบุญวาสนาที่สร้างสมไว้สมัยเป็นมนุษย์
อู่ทอง อู่แก้วอันสวยงามรุ่งเรืองนี้ เลื่อนขึ้นเลื่อนลงรับผู้มีบุญวาสนาขึ้นสู่สวรรค์อยู่ตลอดเวลา แสดงว่า แม้จะมีคนบาปหนาไปตกนรกมากมืดฟ้ามัวดิน ขณะเดียวกันก็มีคนดี ๆ ไปขึ้นสวรรค์มากเหมือนกัน
นอกจากอู่ทองคำและอู่แก้วบุษบกแล้ว ยังมีบันไดเงิน บันไดทองและบันไดแก้วแพรวพรายทอดขึ้นสู่ท้องฟ้าไปสวรรค์ เมื่อคนขึ้นไป บันไดวิเศษเหล่านี้ก็จะลอยเลื่อนขึ้นไปจนสุดสายตา
จ่ายมบาลบอกว่า ผู้ที่จะขึ้นสวรรค์ได้จะต้องถือศีลห้าเคร่งครัดเป็นอย่างน้อย มั่นคงในพระรัตนตรัยไม่คลอนแคลน มีใจบุญสุนทาน เมตตาต่อผู้อื่น
ผู้คนผู้มีบุญวาสนาที่กำลังรอขึ้นสวรรค์มีทั้งหญิงและชายเป็นเด็กเล็กก็มี หนุ่มสาวก็มี คนเฒ่าคนแก่ก็มี คนเหล่านี้มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอิ่มเอิบเบิกบาน แต่งกายสวยงาม มีรัศมีออกจากกายรุ่งเรืองคล้ายหิ่งห้อยตัวใหญ่
พวกเขาล้วนได้ผ่านการพิพากษาตัดสินมาจากศาลาพันห้องแล้วจึงมีสิทธิที่จะขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าได้ เมื่อได้รับการตัดสินแล้ว ก็ได้เครื่องทรงเป็นทิพย์ของเทวดาทันที ร่างกายมีอินทรีย์สวยงามผ่องใส
หลวงปู่คำคะนิงหยุดมองดูอย่างตะลึงลานเพราะเห็นเส้นทางขึ้นสู่สรวงสวรรค์นั้น สวยงามอัศจรรย์สุดพรรณนาเห็นเป็นเส้นแสงสีต่าง ๆ เป็นเส้นโค้งสวยงามยิ่งกว่าสายรุ้ง
หลวงปู่คำคะนิงอดแปลกใจไม่ได้ว่า ในขณะที่ดวงวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายหลั่งไหลไปเมืองนรกนั้น ในเวลาเดียวกันก็มีดวงวิญญาณของมนุษย์ที่ทำดี มีบุญญาธิการหลั่งไหลไปสวรรค์อยู่มากเหมือนกัน
แต่เทียบดูแล้วเห็นว่า คนไปสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ยังมีน้อยอยู่นั่นเอง ส่วนคนที่ไปนรกมีมากกว่า
จ่ายมบาลบอกว่า ผู้ที่จะได้ขึ้นสวรรค์นั้น ยึดถือมั่นคงในการกระทำดีสวามิภักดิ์ต่อศาสนาที่ตนนับถืออย่างแน่นแฟ้น
ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนจะต้องยึดมั่นเคารพอย่างแน่นแฟ้นในพระรัตนตรัยจริง ๆ จึงจะได้ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นอมร
สัมภเวสี
ออกจากชุมทางไปสวรรค์แล้วก็มาถึงทางสามแพร่งอันอ้างว้างเยือกเย็น เป็นดินแดนอันแห้งแล้งชวนให้หดหู่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก มีผู้คนทั้งหญิงและชายมากฝ่ายทุกเพศทุกวัย นั่งบ้างยืนบ้าง ที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นดินก็มีมาก ทุกคนต่างส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ พร่ำพิไรรำพันต่าง ๆ นานา ดังระงมไปหมด มิทราบว่าพวกเขามีความทุกข์โศกอันใด
จ่ายมบาลอธิบายให้ฟังว่า คนเหล่านี้ล้วนตายโหงมาทั้งนั้น เป็นพวกวิญญาณที่ตายก่อนถึงกำหนดอายุขัย เพราะถูกบาปกรรมหนักตามตัดรอนชีวิต เมื่อตายโหงแล้วก็ไปยังศาลาพันห้อง แต่พญายมบาลไม่อาจตัดสินได้ เพราะพวกนี้ตายก่อนกำหนด จึงขับได้ไล่ส่งให้มาอยู่ตรงชุมทางสามแพร่งนี้ เพื่อให้เที่ยวเร่ร่อนไปในโลกมนุษย์ก่อน รอเวลาจะถูกตัดสินให้ไปผุดเกิด
พวกผีตายโหงหรือวิญญาณตายโหงนี้ เรียกว่าพวก สัมภเวสี คือผู้แสวงหาที่เกิด แต่ยังหาที่เกิดไม่ได้ เพราะยังไม่ได้รับการพิพากษาตัดสิน
ดังนั้นก็เที่ยวตระเวนเรื่อยไป เที่ยวหลอกหลอนมนุษย์บ้าง เพื่อแสดงตนขอส่วนบุญ ที่เที่ยวหลอกหลอนด้วยความอาฆาตพยาบาทบ้างก็มีเยอะ แล้วแต่นิสัยดั้งเดิมว่าเป็นพาลมากน้อยเพียงใด
เมื่อเที่ยวชมแดนศาลาพันห้องหรือยมโลกพอสมควรแล้ว จ่ายมพบาลก็เตือนให้หลวงปู่คำคะนิงรีบกลับคืนสู่ร่างในโลกมนุษย์เสียเถิด เพราะแดนนรกหมกไหม้นั้น ยังมีอีกมากมายเที่ยวไม่จบสิ้นง่าย ๆ หรอก
พอตั้งใจว่าจะกลับก็กลับมาถึงถ้ำคูหาสวรรค์ในโลกมนุษย์โดยเร็ว เมื่อมาถึงถ้ำคูหาสวรรค์ก็เห็นร่างของตัวเองงองุ้มหมอบฟุบอยู่กับอาสนะ ลักษณะของคนที่หมดสิ้นลมหายใจ จึงหยุดพิจารณาตู
เห็นร่างของตัวเองใสคล้ายแก้วโปร่งแสง แต่ชราภาพหนังเหี่ยวย่น มองเห็นตับไตไส้พุงหมดเห็นเส้นเอ็นทุกเส้น กระดูกทุกชิ้นในร่างกาย เห็นเลือดแดงฉานเอิบอาบอยู่ทุกส่วน
เมื่อพิจารณาดูสังขารร่างกายของตนเองแล้ว ก็รู้สึกรังเกียจขยะแขยง แถมยังมีกลิ่นเหม็นโดยมาจากร่างนั้นด้วย ก็ยิ่งสะอิดสะเอียน มันเหม็นเหมือนหมาเน่า
คิดว่า โอ้หนอ...ร่างของคนเรานี้มันเป็นโพรง ที่ขังอวัยวะของเหม็นเน่าสกปรกไว้แท้ ๆ คนเรายังมาหลงรักหลงกอดร่างมนุษย์ด้วยกันอยู่ได้
ยิ่งร่างตัวเองก็ยิ่งรักยิ่งหลงเฝ้าตกแต่งด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวย ๆ งาม ๆ ไม่อยากให้มันแก่เฒ่าง่าย ๆ
นี่เป็นความหลงผิดแท้ ๆ หลงผิดคิดว่า ร่างกายนี้เป็นของเราและของเขา ความจริงร่างกายเปรียบเหมือนที่อยู่อาศัยหรือพาหนะชั่วคราวที่จิตวิญญาณอาศัยเท่านั้น
เราที่แท้จริงก็คือจิตวิญญาณที่ยังหลงยึดอยู่ในโลภะ โทสะ โมหะ ร่างความเป็นมนุษย์นี้สกปรก สู้ร่างที่เป็นกายทิพย์ไม่ได้
เพราะกายทิพย์ที่จิตวิญญาณอาศัยไปเที่ยวชมแดนยมโลกนี้เป็นกายทิพย์ที่โปร่งใส มีรัศมีเรืองรองดุจประกายดาว คิดจะไปไหนมาไหนก็ไปได้รวดเร็วดังใจนึก อยากรู้อยากเห็นอะไรก็สามารถรู้ได้รวดเร็วไม่ติดขัด
เมื่อพิจารณาดูซากร่างความเป็นมนุษย์ของตนแล้ว. ทำให้ไม่อยากกลับเข้าสู่ร่างเดิมที่นอนฟุบอยู่ เพราะมีกลิ่นเหม็นเน่าน่ารังเกียจขยะแขยงเหลือทน แต่แล้วก็มาคิดได้ว่า เรายังสร้างสมบุญบารมีในโลกยังไม่เพียงพอ จะทิ้งร่างมนุษย์ไปยังไม่ได้ แม้แต่พญายมบาลยังไล่ให้เรากลับมาสร้างบุญบารมีเพิ่มเติมเลย
ฉะนั้นถึงแม้ร่างกายจะแก่ชราคร่ำคร่า มีกลิ่นเหม็นเน่าสกปรกโสโครกก็ตามเถอะ เราจำเป็นต้องฝืนใจกลับเข้าสิงสู่อยู่ในร่างนี้อีกต่อไป เพื่อประพฤติพรตพรหมจรรย์ ปฏิบัติธรรมสร้างสมความดีสืบต่อไป
เพียงนึกเท่านี้ก็รู้สึกวูบหวิวไปชั่วขณะจิต คล้ายจะหมดสติไปชั่ววูบ มารู้สึกตัวในชั่วขณะจิตต่อมาก็พบว่า จิตได้เข้าสิงร่างเดิมแล้วและเคลื่อนไหวได้
เมื่อตายแล้วฟื้น ญาติโยมทายกทายิกาทั้งหลายก็ดีอกดีใจกันใหญ่ หลั่งไหลมาฟังเทศน์ฟังธรรม หลวงปู่คำคะนิงก็เล่าให้ฟังว่า มรณภาพแล้วไปไหนบ้าง
ขอให้ทายกทายิกาศรัทธาทั้งหลายจงเชื่อเถิดว่า บาปบุญมีจริง
เวลามีชีวิตอยู่ นรก สวรรค์อยู่ในอกในใจ แต่เวลาตายไปแล้ว จิตวิญญาณก็พาไปพบสวรรค์จริง ๆ นรกจริง ๆ อีกภพภูมิต่างหาก ตายไปแล้วยังจดจำตัวเองได้หมดทุกอย่าง
ฉะนั้นขอให้ทายกทายิกาศรัทธาทั้งหลายอย่าได้ประมาทอย่าได้ประพฤติชั่วผิดศีลธรรมเลย เพราะถ้าประพฤติผิดศีลธรรม ทำแต่กรรมชั่วแล้ว จะไปถูกลงโทษในแดนนรกจริง ๆ เพราะหลวงปู่ไปเห็นมาแล้ว
ขอให้ทุกคนเร่งรีบทำความดี ประพฤติอยู่ในศีล กินในธรรมเร็ว ๆ เข้าจะได้ไปสวรรค์ชั้นฟ้าเมื่อเราตายไปแล้ว อย่าผัดวันประกันพรุ่งในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะความตายอาจจู่โจมมากะทันหันเมื่อไรก็ได้
ขณะมีชีวิตอยู่จงรีบเร่งให้ทาน ปฏิบัติในศีล และเจริญภาวนาเสียเดี่ยวนี้ เดี๋ยวจะไม่ได้ทำเพราะเกิดตายกะทันหันเสียก่อน
ที่มา คนเมืองบัว
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 22 เม.ย.2006, 8:40 pm
รู้ สึกมีการเข้าใจผิดนิดหน่อย
สัตว์ที่ตายแล้วทุกชีวิตล้วนเกิดทันที ไม่มีการรอเกิดนะครับเพราะ
ภพภูมิ นอกจาก ๓๑ ภูมินั้นไม่มี
คนที่ตายโหง พอจิตดับแล้ว เขาก็เกิดทันที
ที่ชาวบ้านเขาเข้าใจว่ายังไม่ได้เกิดหรือ รอเกิด นั้น ความจริงเขาเกิดแล้ว
บางคนกำลังบุญน้อย เพราะสั่งสมบุญไว้น้อย
ก็เกิด ในภพ ของอสูรกาย หรือ ที่คนทั่วไปเรียก สัมภเวสี
เมื่อสัตว์ตายแล้วย่อมเกิด ทันที เหมือน หลับแล้วตื่น ฉะนั้น
ไม่มีช่องว่างขั้นระหว่างภพ นะครับ
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th