Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ช่วยหน่อยนะครับ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เด็กโง่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 ม.ค. 2006, 2:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเรียนครับ รามฯ เรียนมา 6 ปีแล้ว แล้วก็กำลังย่างก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ด้วยความภาคภูมิใจ ( แหะ..แหะ..) ผมมีปัญหาด้านการเรียนมากเลยครับ เรียนมาก็นานแล้วเก็บได้ไม่กี่หน่วยเอง มีรุ่นพี่ที่รู้จักกัน เค้าบอกว่า ผมเป็นคนว้าวุ่น จิตใจไม่สงบ คิดแต่เรื่องฟุ้งซ้าน ทำให้ไม่มีสมาธิเวลาอ่านหนังสือ ปัญหาข้อนี้ผมรู้อยู่แกใจดี แต่ก็แก้ไม่ตกสักทีขอทุกท่านช่วยแนะนำด้วยครับ เพราะทุกวันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับตัวเองแล้ว

:b21
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 25 ม.ค. 2006, 2:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



กระบวนการทางปัญญา

โดย…………ศ.นพ.ประเวศ วะสี



๑. ฝึกสังเกต สังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกตจะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์ และวิธีคิด สติ-สมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต และสิ่งที่สังเกต



--------------------------------------------------------------------------------

๒. ฝึกบันทึก เมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือ บันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ละเอียดมากน้อยตามวัยและ ตามสถานการณ์การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา

--------------------------------------------------------------------------------

๓. ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุม กลุ่ม เมื่อ มีการทำงานกลุ่ม เรา ไปเรียนรู้อะไรมาบันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อนหรือครูรู้เรื่อง ได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอการนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนา ปัญญาทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม



--------------------------------------------------------------------------------

๔. ฝึกการฟัง ถ้ารู้จักฟังคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่า เป็นพหูสูตบางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด ของตัวเองหรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ สมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น



--------------------------------------------------------------------------------

๕. ฝึกปุจฉา-วิสัชนา เมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้ว ฝึกปุจฉา-วิสัชนา หรือถาม-ตอบ ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำ ให้เกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม-ตอบ ก็ จะไม่แจ่มแจ้ง



--------------------------------------------------------------------------------

๖. ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม เวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว เรา ต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการ ฝึกการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่าและมีความ สำคัญ ก็จะอยากได้คำตอบ



--------------------------------------------------------------------------------

๗. ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบ จากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ต หรือไปคุยกับคนเฒ่าคน แก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ สำคัญจะสนุกและทำให้ได้ความรู้มาก ต่างจากการท่องหนังสือ โดยไม่มีคำถาม บางคำถามเมื่อค้นหาคำตอบทุกวิถีทางจนหมด แล้วก็ไม่พบ แต่ถามยังอยู่ และมีความสำคัญ ต้องหาคำตอบต่อ ไปด้วยการวิจัย



--------------------------------------------------------------------------------

๘. การวิจัย การวิจัยเพื่อหาคำตอบเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เรียนรู้ทุกระดับการวิจัยจะทำให้ค้นพบความรู้ใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิด ความภูมิใจ สนุก และมีประโยชน์มาก



--------------------------------------------------------------------------------

๙. เชื่อมโยงบูรณาการ ให้เห็นความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวเอง ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง เมื่อเรียนรู้อะไรมาอย่าให้ความ รู้นั้นแยกเป็นส่วน ๆ แต่ควรจะเชื่อมโยงเป็นบูรณาการให้เห็นความเป็น ทั้งหมดในความเป็นทั้งหมดจะมีความงาม และมีมิติอื่นผุดบังเกิด ออกมาเหนือความเป็นส่วน ๆ และในความเป็นทั้งหมดนั้นมองให้ เห็นตัวเอง เกิดการรู้ตัวเองตามความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความ เป็นทั้งหมดอย่างไร จริยธรรมอยู่ที่ตรงนี้ คือการเรียนรู้ตัวเองตาม ความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร

ดังนั้น ไม่ว่าการเรียนรู้อะไร ๆ ก็มีมิติทางจริยธรรมอยู่ในนั้นเสมอ มิติทางจริยธรรมอยู่ในความเป็นทั้งหมดนั่นเอง ต่างจากการเอา จริยธรรมไปเป็นวิชา ๆ หนึ่งแบบแยกส่วน แล้วก็ไม่ค่อยได้ผล ในการบูรณาการความรู้ที่เรียนรู้มาให้รู้ความเป็นทั้งหมด และเห็นตัวเองนี้ จะนำไปสู่อิสรภาพและความสุขอันล้นเหลือ เพราะ หลุดพ้นจากความบีบคั้นของความไม่รู้ การไตร่ตรองนี้จะโยงกลับไป สู่วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่ว่าเพื่อลดตัวกู-ของกู และเพื่อการ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ อันจะช่วยกำกับให้การแสวงหาความรู้เป็นไป เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว มิใช่เป็นไปเพื่อความกำเริบแห่งอหังการ มมังการ และเพื่อรบกวนการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ



--------------------------------------------------------------------------------

๑๐. ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ ถึงกระบวนการเรียนรู้และความรู้ ใหม่ที่ได้มาการเรียบเรียงทางวิชาการเป็นการเรียบเรียงความคิดให้ประณีต ขึ้น ทำให้ค้นคว้าหาหลักฐานที่มาที่อ้างอิงของความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยำขึ้น การเรียบเรียงทางวิชากรจึงเป็นการพัฒนาปัญญาของตนเองอย่างสำคัญ และเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป




 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
น้ำใส
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 ม.ค. 2006, 8:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทำตามหลวงปู่เทส ท่านสอนครับ



 
I am
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 ม.ค. 2006, 9:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เกิดความฟุ้งซ่าน การแก้ก็คือทำใจให้นิ่ง ทางพุทธศาสนาให้จับลมหายใจเข้าออก

พร้อมกับนับเป็นคู่ๆ ไปพร้อมกัน



หายใจเข้า-หายใจออก นับ ๑

หายใจเข้า-หายใจออก นับ ๒

หายใจเข้า-หายใจออก นับ ๓

หายใจเข้า-หายใจออก นับ ๔

หายใจเข้า-หายใจออก นับ ๕



แล้วเพิ่มจำนวนการนับขึ้นไปเรื่อยๆ ลองดูนะครับ

 
เจไอเอบี
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ม.ค. 2006, 7:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 
Pat
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 29 ธ.ค. 2005
ตอบ: 9

ตอบตอบเมื่อ: 26 ม.ค. 2006, 10:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความคิดของคุณนั้นวุ่นวายสับสน คิดไม่เป็นระบบ พอไม่เป็นระบบก็เหนื่อยคิดไม่จบซักที คิดเรื่องนี้ยังไม่ทันจบ ก้มีเรื่องใม่มาอีกละ แล้วก้มาอีกละ เป็นอย่างนี้รึเปล่าครับ



ผมมีวิธีครับ ผมเคยใช้มา และหลายท่านก็ใช้มาเฃ่นกัน ขอแนะนำ 2 อย่าง

1 รักษาศีล 5 ให้ดี สมาทานศีลบ่อยๆ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทำผิดในกาม พูดเท็จ และดื่มสุรา โดยเฉพาะข้อ 5 ถ้าอยากมรีปัญญาดีในเบื้องต้นก็อย่าทำร้ายสมองตัวเอง



2 เขียนบันทึกชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตื่นนอน จนถึงหลับทุกวัน

อาจจะหาเวลาว่างมาเขียนตอนหลังอาบน้ำ อารมณ์ดีๆ ก็ได้ นึกไปว่าวันนี้ทำอะไรไปบ้าง ความคิดจะได้เป็นระบบมากขึ้น



ขอให้มีความสุข สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
คนไม่ฉลาดเหมือนกัน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ม.ค. 2006, 12:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุญาติก็อปxxxมาแต่จำแหล่งที่มาไม่ได้ครับ

"การเรียนในห้องเรียน

เลิก class แล้ว ถ้ามีไม่มีความจำเป็นต้องรีบออกห้อง ก็ให้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนมาในชั่วโมงนั้นอีกประมาณ 5 นาที เทคนิคนี้เรียกว่าการ rehersal จะทำให้สมองเก็บเนื้อหาที่เรียนในชั่วโมงนั้นไว้ในสมองส่วนที่เก็บความจำระยะยาว"


ส่วนในLink ขออนุญาติแนะนำอีกอันเป็นการทำให้เรื่องยุ่งยากกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับสมองความคิดหากเข้าใจหลักการและประยุกต์ใช้เก่งเก่งครับ
http://www.pantown.com/board.php?id=7451&name=board1&topic=3&action=view

แต่สุดท้ายก็ยังเชื่อว่าการฝึกสมองยังไม่น่าสนใจเท่าการฝึกจิต โดยเฉพาะการได้เห็นสภาพธรรมตามเป็นจริงมีความเห็นว่าหากผู้ใดได้เห็นผลแล้วเรื่องสมองความจำกลายเป็นเรื่องไม่น่าสนใจไปเลยครับ
 
เด็กโง่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ม.ค. 2006, 1:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอขอบคุณทุกๆความคิดเห็นนะครับ จะลองนำข้อคิดที่ได้ไปปฏิบัติดูได้ผลอย่างไรจะเข้ามา Post เล่าสู่กันฟังนะครับ ขอบคุณครับ

 
copyma
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ม.ค. 2006, 8:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

223 วิธีเรียนหนังสือเก่ง



ปัญหา ในการเรียนวิชาต่าง ๆ ทำไม บางที่จึงเข้าใจง่ายจำได้ดี ทำไมบางทีจึงเข้าใจยาก จำได้ยาก ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่เรียนนั้นมีความยากง่ายพอ ๆ กัน ?


http://84000.org/true/223.html
 
จากความเห็นที่6
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ม.ค. 2006, 9:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลืมบอกไปสำหรับเรื่องเกี่ยวกับMind map การใช้สมอง มีหนังสือขายชื่อ ใช้หัวคิด ของ ธัญญา ผลอนันต์ (ร้านหนังสือใหญ่ใหญ่น่าจะมี)ไม่จำเป็นต้องไปอบรมเพราะราคาอาจแพง ศึกษาอ่านเองก่อนน่าจะดีกว่าหากรู้สึกชอบอยากเข้าใจให้ลึกซึ้งมากขึ้นจึงค่อยไปก็ได้ แต่ก่อนผมชอบเอามาใช้อธิบายโปรแกรมควบคุมเครื่องจักรที่ซับซ้อนและก็ตอนประชุมรู้สึกเห็นภาพรวมเข้าใจง่ายขึ้นเหมือนการจัดระเบียบความคิดเดี๋ยวนี้ไม่มีโอกาสใช้เท่าไหร่ แต่หนทางอื่นในการทำให้เรียนดีขึ้นคิดว่ายังมีอีกหลายทางครับ แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ความตั้งใจของแต่ละคนว่ามากน้อยเพียงไร พยายามต่อไปเรื่อยเรื่อยอย่าหยุดครับ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง