|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
เด็กโง่
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 ม.ค. 2006, 2:14 am |
  |
ผมเรียนครับ รามฯ เรียนมา 6 ปีแล้ว แล้วก็กำลังย่างก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ด้วยความภาคภูมิใจ ( แหะ..แหะ..) ผมมีปัญหาด้านการเรียนมากเลยครับ เรียนมาก็นานแล้วเก็บได้ไม่กี่หน่วยเอง มีรุ่นพี่ที่รู้จักกัน เค้าบอกว่า ผมเป็นคนว้าวุ่น จิตใจไม่สงบ คิดแต่เรื่องฟุ้งซ้าน ทำให้ไม่มีสมาธิเวลาอ่านหนังสือ ปัญหาข้อนี้ผมรู้อยู่แกใจดี แต่ก็แก้ไม่ตกสักทีขอทุกท่านช่วยแนะนำด้วยครับ เพราะทุกวันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับตัวเองแล้ว
:b21  |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
25 ม.ค. 2006, 2:34 am |
  |
กระบวนการทางปัญญา
โดย
ศ.นพ.ประเวศ วะสี
๑. ฝึกสังเกต สังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกตจะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์ และวิธีคิด สติ-สมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต และสิ่งที่สังเกต
--------------------------------------------------------------------------------
๒. ฝึกบันทึก เมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือ บันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ละเอียดมากน้อยตามวัยและ ตามสถานการณ์การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา
--------------------------------------------------------------------------------
๓. ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุม กลุ่ม เมื่อ มีการทำงานกลุ่ม เรา ไปเรียนรู้อะไรมาบันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อนหรือครูรู้เรื่อง ได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอการนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนา ปัญญาทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม
--------------------------------------------------------------------------------
๔. ฝึกการฟัง ถ้ารู้จักฟังคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่า เป็นพหูสูตบางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด ของตัวเองหรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ สมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
--------------------------------------------------------------------------------
๕. ฝึกปุจฉา-วิสัชนา เมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้ว ฝึกปุจฉา-วิสัชนา หรือถาม-ตอบ ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำ ให้เกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม-ตอบ ก็ จะไม่แจ่มแจ้ง
--------------------------------------------------------------------------------
๖. ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม เวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว เรา ต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการ ฝึกการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่าและมีความ สำคัญ ก็จะอยากได้คำตอบ
--------------------------------------------------------------------------------
๗. ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบ จากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ต หรือไปคุยกับคนเฒ่าคน แก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ สำคัญจะสนุกและทำให้ได้ความรู้มาก ต่างจากการท่องหนังสือ โดยไม่มีคำถาม บางคำถามเมื่อค้นหาคำตอบทุกวิถีทางจนหมด แล้วก็ไม่พบ แต่ถามยังอยู่ และมีความสำคัญ ต้องหาคำตอบต่อ ไปด้วยการวิจัย
--------------------------------------------------------------------------------
๘. การวิจัย การวิจัยเพื่อหาคำตอบเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เรียนรู้ทุกระดับการวิจัยจะทำให้ค้นพบความรู้ใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิด ความภูมิใจ สนุก และมีประโยชน์มาก
--------------------------------------------------------------------------------
๙. เชื่อมโยงบูรณาการ ให้เห็นความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวเอง ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง เมื่อเรียนรู้อะไรมาอย่าให้ความ รู้นั้นแยกเป็นส่วน ๆ แต่ควรจะเชื่อมโยงเป็นบูรณาการให้เห็นความเป็น ทั้งหมดในความเป็นทั้งหมดจะมีความงาม และมีมิติอื่นผุดบังเกิด ออกมาเหนือความเป็นส่วน ๆ และในความเป็นทั้งหมดนั้นมองให้ เห็นตัวเอง เกิดการรู้ตัวเองตามความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความ เป็นทั้งหมดอย่างไร จริยธรรมอยู่ที่ตรงนี้ คือการเรียนรู้ตัวเองตาม ความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร
ดังนั้น ไม่ว่าการเรียนรู้อะไร ๆ ก็มีมิติทางจริยธรรมอยู่ในนั้นเสมอ มิติทางจริยธรรมอยู่ในความเป็นทั้งหมดนั่นเอง ต่างจากการเอา จริยธรรมไปเป็นวิชา ๆ หนึ่งแบบแยกส่วน แล้วก็ไม่ค่อยได้ผล ในการบูรณาการความรู้ที่เรียนรู้มาให้รู้ความเป็นทั้งหมด และเห็นตัวเองนี้ จะนำไปสู่อิสรภาพและความสุขอันล้นเหลือ เพราะ หลุดพ้นจากความบีบคั้นของความไม่รู้ การไตร่ตรองนี้จะโยงกลับไป สู่วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่ว่าเพื่อลดตัวกู-ของกู และเพื่อการ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ อันจะช่วยกำกับให้การแสวงหาความรู้เป็นไป เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว มิใช่เป็นไปเพื่อความกำเริบแห่งอหังการ มมังการ และเพื่อรบกวนการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ
--------------------------------------------------------------------------------
๑๐. ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ ถึงกระบวนการเรียนรู้และความรู้ ใหม่ที่ได้มาการเรียบเรียงทางวิชาการเป็นการเรียบเรียงความคิดให้ประณีต ขึ้น ทำให้ค้นคว้าหาหลักฐานที่มาที่อ้างอิงของความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยำขึ้น การเรียบเรียงทางวิชากรจึงเป็นการพัฒนาปัญญาของตนเองอย่างสำคัญ และเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป
 |
|
|
|
   |
 |
น้ำใส
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 ม.ค. 2006, 8:03 am |
  |
ทำตามหลวงปู่เทส ท่านสอนครับ
|
|
|
|
|
 |
I am
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 ม.ค. 2006, 9:03 am |
  |
เกิดความฟุ้งซ่าน การแก้ก็คือทำใจให้นิ่ง ทางพุทธศาสนาให้จับลมหายใจเข้าออก
พร้อมกับนับเป็นคู่ๆ ไปพร้อมกัน
หายใจเข้า-หายใจออก นับ ๑
หายใจเข้า-หายใจออก นับ ๒
หายใจเข้า-หายใจออก นับ ๓
หายใจเข้า-หายใจออก นับ ๔
หายใจเข้า-หายใจออก นับ ๕
แล้วเพิ่มจำนวนการนับขึ้นไปเรื่อยๆ ลองดูนะครับ
 |
|
|
|
|
 |
เจไอเอบี
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
26 ม.ค. 2006, 7:42 am |
  |
สาธุ  |
|
|
|
|
 |
Pat
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 29 ธ.ค. 2005
ตอบ: 9
|
ตอบเมื่อ:
26 ม.ค. 2006, 10:47 am |
  |
ความคิดของคุณนั้นวุ่นวายสับสน คิดไม่เป็นระบบ พอไม่เป็นระบบก็เหนื่อยคิดไม่จบซักที คิดเรื่องนี้ยังไม่ทันจบ ก้มีเรื่องใม่มาอีกละ แล้วก้มาอีกละ เป็นอย่างนี้รึเปล่าครับ
ผมมีวิธีครับ ผมเคยใช้มา และหลายท่านก็ใช้มาเฃ่นกัน ขอแนะนำ 2 อย่าง
1 รักษาศีล 5 ให้ดี สมาทานศีลบ่อยๆ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทำผิดในกาม พูดเท็จ และดื่มสุรา โดยเฉพาะข้อ 5 ถ้าอยากมรีปัญญาดีในเบื้องต้นก็อย่าทำร้ายสมองตัวเอง
2 เขียนบันทึกชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตื่นนอน จนถึงหลับทุกวัน
อาจจะหาเวลาว่างมาเขียนตอนหลังอาบน้ำ อารมณ์ดีๆ ก็ได้ นึกไปว่าวันนี้ทำอะไรไปบ้าง ความคิดจะได้เป็นระบบมากขึ้น
ขอให้มีความสุข สาธุ |
|
|
|
   |
 |
คนไม่ฉลาดเหมือนกัน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
26 ม.ค. 2006, 12:37 pm |
  |
ขออนุญาติก็อปxxxมาแต่จำแหล่งที่มาไม่ได้ครับ
"การเรียนในห้องเรียน
เลิก class แล้ว ถ้ามีไม่มีความจำเป็นต้องรีบออกห้อง ก็ให้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนมาในชั่วโมงนั้นอีกประมาณ 5 นาที เทคนิคนี้เรียกว่าการ rehersal จะทำให้สมองเก็บเนื้อหาที่เรียนในชั่วโมงนั้นไว้ในสมองส่วนที่เก็บความจำระยะยาว"
ส่วนในLink ขออนุญาติแนะนำอีกอันเป็นการทำให้เรื่องยุ่งยากกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับสมองความคิดหากเข้าใจหลักการและประยุกต์ใช้เก่งเก่งครับ http://www.pantown.com/board.php?id=7451&name=board1&topic=3&action=view
แต่สุดท้ายก็ยังเชื่อว่าการฝึกสมองยังไม่น่าสนใจเท่าการฝึกจิต โดยเฉพาะการได้เห็นสภาพธรรมตามเป็นจริงมีความเห็นว่าหากผู้ใดได้เห็นผลแล้วเรื่องสมองความจำกลายเป็นเรื่องไม่น่าสนใจไปเลยครับ |
|
|
|
|
 |
เด็กโง่
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
27 ม.ค. 2006, 1:19 am |
  |
ขอขอบคุณทุกๆความคิดเห็นนะครับ จะลองนำข้อคิดที่ได้ไปปฏิบัติดูได้ผลอย่างไรจะเข้ามา Post เล่าสู่กันฟังนะครับ ขอบคุณครับ
 |
|
|
|
|
 |
copyma
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
27 ม.ค. 2006, 8:43 am |
  |
223 วิธีเรียนหนังสือเก่ง
ปัญหา ในการเรียนวิชาต่าง ๆ ทำไม บางที่จึงเข้าใจง่ายจำได้ดี ทำไมบางทีจึงเข้าใจยาก จำได้ยาก ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่เรียนนั้นมีความยากง่ายพอ ๆ กัน ?
http://84000.org/true/223.html |
|
|
|
|
 |
จากความเห็นที่6
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
27 ม.ค. 2006, 9:35 am |
  |
ลืมบอกไปสำหรับเรื่องเกี่ยวกับMind map การใช้สมอง มีหนังสือขายชื่อ ใช้หัวคิด ของ ธัญญา ผลอนันต์ (ร้านหนังสือใหญ่ใหญ่น่าจะมี)ไม่จำเป็นต้องไปอบรมเพราะราคาอาจแพง ศึกษาอ่านเองก่อนน่าจะดีกว่าหากรู้สึกชอบอยากเข้าใจให้ลึกซึ้งมากขึ้นจึงค่อยไปก็ได้ แต่ก่อนผมชอบเอามาใช้อธิบายโปรแกรมควบคุมเครื่องจักรที่ซับซ้อนและก็ตอนประชุมรู้สึกเห็นภาพรวมเข้าใจง่ายขึ้นเหมือนการจัดระเบียบความคิดเดี๋ยวนี้ไม่มีโอกาสใช้เท่าไหร่ แต่หนทางอื่นในการทำให้เรียนดีขึ้นคิดว่ายังมีอีกหลายทางครับ แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ความตั้งใจของแต่ละคนว่ามากน้อยเพียงไร พยายามต่อไปเรื่อยเรื่อยอย่าหยุดครับ |
|
|
|
|
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |