Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อวิชชา เริ่มมีในชีวิตนี้เมื่อใด อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2006, 5:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ครับ ขออนุญาตเปิดประเด็นนี้ขึ้น

คือว่า ได้มีโอกาสรับฟังความคิดเห็นของบางท่าน ที่สงสัยในพระสูตร อวิชชาสูตร ที่ตรัสว่า

“……..[๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ
ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี …….”

คือท่านเชื่อว่าเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ที่มีในพระสูตรต่างๆนั้น เป็นเพราะมีพราหมณ์สัสตทิฏฐิแอบปลอมปนเข้ามาภายหลังพุทธกาล...... ถ้าพุทธแท้ๆจะต้องไม่เกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์...... ชาติ นั้นจะต้องหมายถึงการเกิดขึ้นของความรู้สึกว่าเป็นตัวกู-ของกู หาใช่การเกิดจริงๆไม่. ท่านจึงเชื่อต่อว่า อวิชชานี้จะต้องมาเริ่มมีเอาในชีวิตนี้(เพราะท่านปฏิเสธขาดถึงอดีตชาติ) โดยยกพระพุทธวจนะนี้เป็นหลักฐาน

โดยท่านมุ่งมาที่ มหาตัณหาสังขายสูตร

"........ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กุมารนั้นอาศัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ย่อมเล่นด้วยเครื่องเล่น
สำหรับกุมาร
คือ ไถเล็ก ตีไม้หึ่ง หกขะเมน จังหัน ตวงทราย รถเล็ก ธนูเล็ก ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย กุมารนั่นนั้นอาศัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย พรั่งพร้อม
บำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕ คือ รูปที่รู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก
ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดและความรัก เสียงที่รู้แจ้งด้วยโสต ... กลิ่นที่รู้แจ้งด้วย
ฆานะ ... รสที่รู้แจ้งด้วยลิ้น ... โผฏฐัพพะที่รู้แจ้งด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ
น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดและความรัก กุมารนั้น เห็นรูปด้วยจักษุ
แล้ว ย่อมกำหนัดในรูปที่น่ารัก ย่อมขัดเคืองในรูปที่น่าชัง ย่อมเป็นผู้มีสติในกายไม่ตั้งมั่น
และมีจิตเป็นอกุศลอยู่ ย่อมไม่ทราบชัดเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับหมดแห่งเหล่า
อกุศลธรรมอันลามก ตามความเป็นจริง เขาเป็นผู้ถึงพร้อมซึ่งความยินดียินร้ายอย่างนี้ เสวยเวทนา
อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ย่อมเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจ
เวทนานั้นอยู่ เมื่อกุมารนั้นเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจเวทนานั้นอยู่ ความเพลิดเพลินก็เกิดขึ้น
ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพ
เป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
และอุปายาส ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้....."

โดยท่านเชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาทนี้เริ่มมีในชีวิต(ท่านกล่าวขาดว่า ชีวิตนี้มีชีวิตเดียว) เอาตอนที่กุมารเริ่มเล่นของเล่นได้...... อวิชชาจึงเพิ่งจะเริ่มมีเอาตอนนี้...... ก่อนหน้านี้ อวิชชายังไม่มี(ท่านโยงถึงพระพุทธดำรัสที่ว่า "ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี"

เอาล่ะครับ เราลองมาวิเคระห์กันดู....... สู้ สู้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2006, 5:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เกี่ยวกับว่า อวิชชาที่พระพุทธเจ้ามักจะยกขึ้นเป็นปัจจัยแรกในปฏิจจสมุปบาทนั้น เป็นรากเหง้า เป็นมูลการณ์ของวงจรปฏิจจสมุปบาทจริงหรือ.....



จาก หนังสือ พุทธธรรม ของ ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ สาธุ หน้า 83 ดังนี้


“…….ในหลักที่แสดงเต็มรูปอย่างในที่นี้ องค์ประกอบทั้งหมดมีจำนวน12หัวข้อ องค์ประกอบเหล่านี้เป็นปัจจัยเนื่องอาศัยสืบต่อกันไปเป็นรูปวงเวียน ไม่มีต้น ไม่มีปลาย คือ ไม่มีตัวเหตุเริ่มแรกที่สุด (มูลการณ์ หรือ the first cause). การยกเอาอวิชาตั้งเป็นข้อที่1 ไม่ได้หมายความว่า อวิชชาเป็นเหตุแรกเริ่มหรือมูลการณ์ของสิ่งทั้งหลาย แต่เป็นการตั้งหัวข้อเพื่อสะดวกในการทำความเข้าใจ โดยตัดตอนยกเอาองค์ประกอบอันใดอันหนึ่งที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดขึ้นมาเป็นลำดับที่1 แล้วก็นับต่อไปตามลำดับ
บางคราวท่านป้องกันมิให้มีการยึดเอาอวิชาเป็นมูลการณ์ โดยแสดงความเกิดของอวิชชาว่า “อวิชชาเกิดเพราะอาสวะเกิด อวิชชาดับเพราะอาสวะดับ”……”



จาก หนังสือ พุทธธรรม ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏก หน้า 86 ดังนี้

บางครั้งมีผู้พยายามตีความหมายหลักปฏิจจ-สมุปบาทให้เป็นทฤษฎีแสดงต้นกำเนิดของโลก โดยถือเอาอวิชชาเป็นมูลการณ์(the First Cause) แล้วจึงวิวัฒนาการต่อมาตามลำดับหัวข้อทั้ง ๑๒ นั้น
การแปลความหมายอย่างนี้ ทำให้เห็นไปว่าคำสอนในพระพุทธศาสนามีส่วนคล้ายคลึงกับศาสนาและระบบปรัชญาอื่นๆ ที่สอนว่ามีตัวการอันเป็นต้นเดิมสุด เช่น พระผู้สร้าง เป็นต้น ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสัตว์และสิ่งทั้งปวง
ต่างกันเพียงว่า ลัทธิที่มีพระผู้สร้าง แสดงกำเนิดและความเป็นไปของโลกในรูปของการบันดาลโดยอำนาจเหนือธรรมชาติ ส่วนคำสอนในพระพุทธศาสนา(ที่ตีความหมายอย่างนี้) แสดงความเป็นไปในรูปวิวัฒนาการตามกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยในธรรมชาติเอง
อย่างไรก็ดี การตีความหมายแบบนี้ย่อมถูกตัดสินได้แน่นอนว่า ผิดพลาดจากพุทธธรรม เพราะคำสอนหรือหลักลัทธิใดก็ตามที่แสดงว่า โลกมีมูลการณ์ (คือเกิดจากตัวการที่เป็นต้นเค้าเดิมที่สุด) ย่อมเป็นอันขัดต่อหลักอิทัปปัจจยตา หรือหลักปฏิจจสมุปบาทนี้ หลักปฏิจจสมุปบาทแสดงเหตุผลเป็นกลางๆ ว่า สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยเนื่องอาศัยกัน เกิดสืบต่อกันมาตามกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มูลการณ์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ไม่ว่าจะในรูปพระผู้สร้างหรือสิ่งใดๆ



จาก หนังสือ พุทธธรรม ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏก หน้า 112 ดังนี้


อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นวัฏฏะ หรือวงจร จึง มิใช่มีความสิ้นสุดที่จุดนี้(โสกะ-อุปายาส)แท้จริงองค์ประกอบช่วงนี้ กลับเป็นขั้นตอนสำคัญอย่างยิ่งอีกตอนหนึ่ง ที่จะทำให้วงจรหมุนเวียนต่อไป
กล่าวคือ โสกะ (ความแห้งใจ) ปริเทวะ (ความร่ำไร) ทุกข์ โทมนัส (ความเสียใจ) อุปายาส (ความผิดหวังคับแค้นใจ) เป็นอาการสำแดงออกของการมีกิเลสที่เป็นเชื้อหมักดองอยู่ในจิตสันดาน ที่เรียกว่า “อาสวะ”
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2006, 5:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากที่ท่านเจ้าคุณแสดงไว้ จะเห็นว่าโดยแท้แล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า อวิชชาหาใช่มูลการณ์ของวงจรปฏิจจสมุปบาท …….. เป็นแต่เพียงพระองค์ยกเอาอวิชชามาเป็นจุดเริ่มแสดง เพื่อให้สาวกเข้าใจตามได้

จาก อวิชชาสูตร
“……..[๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ
ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี …….”


ประเด็นที่พูดคุยกันในกระทู้นี้ ในขณะนี้ อยู่ตรงที่ว่า คำว่า “ในกาลก่อน”ที่อวิชชายังไม่มีนั้น หมายถึงตอนไหน…….
กาลก่อนนั้นหมายเอาตอนไหน เช่น
1.เด็กเริ่มรู้จักเล่นของเล่น
2.เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่
3.ตั้งแต่ชีวิตเริ่มอุบัติในท้องแม่

………….. และมันก็จะเชื่อมโยงกับ ประเด็นที่ว่า วงจรปฏิจจสมุปบาทเริ่มต้นในชีวิตนี้ตอนไหน…….เพราะถ้าวงจรปฏิจจสมุปบาทเริ่มแล้วในช่วงอายุนั้น ก็แสดงว่ามีอวิชชาอยู่แล้วตั้งแต่อายุนั้นๆ

ถ้าดูจาก มหาตัณหาสังขยสูตร จะพบว่ามีการตรัสถึงวงจรปฏิจจสมุปบาท ตั้งแต่กุมารเล่นของเล่นได้……ที่ว่า “ย่อมไม่ทราบชัดเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับหมดแห่งเหล่า อกุศลธรรมอันลามก ตามความเป็นจริง เขาเป็นผู้ถึงพร้อมซึ่งความยินดียินร้ายอย่างนี้ …” นี้คือ กุมารในวัยนี้มีอวิชชา(เพราะวิชชายังไม่ปรากฏ)แล้ว


ถ้าดูจาก มหามาลุงโกฺยวาทสูตร จะพบว่ามีการตรัสถึง”…… สักกายทิฏฐิ (วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ พยาบาท)อันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น …..” .พระพุทธดำรัสนี้ตรัสแสดงถึงอนุสัยในเด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่ . นี้แสดงให้เห็นว่า กุมารในวัยนี้มีอนุสัยนอนเนื่องในสันดานแล้ว. แต่ก็มีบางท่านอาจจะแย้งว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า อนุสัย ไม่ได้ตรัสคำว่าอวิชชาโดยตรงนี่นา. จึงอาจจะมีบางท่านไม่ยอมรับว่าเด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่นี้มีอวิชชาอยู่แล้ว!!!

ถ้าเช่นนั้นเราลองมาพิจารณาดูว่า มีพระพุทธดำรัสตรงไหนที่ตรัสเกี่ยวกับ วงจรปฏิจจสมุปบาทในเด็กที่ยังอยู่ในครรภ์แม่ไหม…..

ถ้าวงจรปฏิจจสมุปบาทเริ่มตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว นั้นก็แสดงว่าอวิชชามีแล้วตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เช่นกัน

ลองพิจารณาพระพุทธดำรัสใน มหานิทานสูตร กันดีๆน่ะครับ

“………."........ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้-
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา นามรูปจักขาดในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไปนามรูปจักบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ ก็ถ้า วิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่จักขาดความสืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูปก็คือวิญญาณนั่นเอง ฯ ……”



ขอเสนอให้ความสำคัญกับ พระพุทธวจนะที่คำว่า

1.”วิญญาณหยั่งลงในท้องของมารดา”……. ตรงนี้อาจจะยังมีผู้สงสัยว่า ประโยคนี้อาจจะไม่ได้หมายถึงการเกิดในท้องแม่จริงๆ แต่เป็นสำนวนโวหารที่หมายถึงกระบวนการทางจิตล้วนๆในการเกิดทุกข์ทางใจของวงจรหนึ่งๆของปฏิจจสมุปบาท….ก็ขอให้พิจารณาพระพุทธวจนะต่อไปที่ตรัสว่า

2. “วิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่” …….ตรงนี้มีการตรัสแสดงถึงเพศของทารกที่อยู่ในครรภ์ด้วยชัดๆ จึงตัดประเด็นเรื่องที่อาจจะมีผู้สงสัยว่าการเกิดนี้ไม่ได้หมายถึงการเกิดจริงๆในท้องแม่แต่เป็นการเกิดขึ้นของตัวกู-ของกูออกไปได้เลยน่ะครับ


นี้แสดงให้เห็นว่าวงจรปฏิจจสมุปบาทสามารถเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ทารกอยู่ในท้องแม่……ทั้งๆที่มีวิญญาณยังไม่ครบทั้งหกหมวดนั้นล่ะครับ(เริ่มแรกสุดตั้งแต่ปฏิสนธิก็คงมีเพียงมโนวิญญาณก่อน ต่อมาเมื่อระบบประสาทต่างๆพัฒนาเจริญขึ้น จึงมีวิญญาณทางอายตนะอื่นๆทยอยตามมาภายหลัง)…… เพราะการที่วิญญาณจะเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูปได้นั้น แสดงว่าต้องมีอวิชชาเป็นตัวขับเคลื่อนวงจรนี้อยู่แล้ว. (คงไม่มีใครกล่าวว่า วิญญาณสามารถเป็นปัจจัยของนามรูปได้โดยไม่ต้องมีอวิชชาเป็นปัจจัยของวงจรนี้น่ะครับ).

ครับ มหานิทานสูตรนี้ล่ะครับ ที่ชี้แสดงชัดเจนว่าวงจรปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่เพิ่งมาเริ่มเอาตอนที่ทารกสามารถเล่นของเล่นได้……… แต่ วงจรปฏิจจสมุปบาทนี้มีมาตั้งแต่”วิญญาณหยั่งลงในท้องของมารดา”ที่เป็น วิญญาณของเด็กหญิง เด็กชาย ในวัยเยาว์ ตามพระพุทธวจนะในมหานิทานสูตรนี้ล่ะครับ

และ เด็กในครรภ์มารดา ก็มีอวิชชาอยู่แล้ว เช่นกัน.....
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2006, 5:46 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องการเวียน ว่ายตายเกิด นี่เป็น ถือเป็นสิ่งสำคัญทางพุทธศาสนา

ถ้าหาก ไม่มีการเวียนว่ายตาย เกิดแล้ว การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีความหมาย

เพราะ ถ้าหากเรา เกิดชาติเดียวแล้ว ตายไปก็หมดทุกข์ แล้ว การที่พระพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีมา

ตลอดสี่อสงไขย แสนมหากัป เพื่อรื้อขน ให้สัตว์พ้นทุกข์ จากสังสารวัฏก็ไม่มีประโยชน์

ดังนั้นความเชื่อเรื่อง ตายแล้วเกิด ตราบใดที่ยัง มีอวิชชามีตัณหา อยู่ ก็ต้องเกิดตายอยู่อย่างนั้น

เสวยทุกข์ เสวยสุข อยู่เรื่อยมา


ความไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิดนั้น จัดเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิคือ ความเห็นผิดจากความเป็นจริง เหมือนการเห็นกงจักร เป็นดอกบัว ไม่เชื่อในเรื่องบุญบาป กรรมเวร นรก สวรรค์ ชาตินี้ชาติหน้า

ความไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิดนั้น จัดเป็น นัตถิกทิฏฐิ คือการปฏิเสธผล ในเมื่อตายแล้วไม่เกิดนั้น ผล แห่งกรรมดีก็ไม่มีผลแห่ง กรรมชั่วก็ไม่มี จะทำดี ทำชั่ว เมื่อตายไป ความดีความชั่วก็ขาดสูญ
ถือได้ ว่าเป็นการปฏิเสธผล

ความไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิดนั้น จัดเป็น อเหตุกทิฏฐิ คือ การปฏิเสธเหตุ ปฏิเสธ ว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้จะเป็นคนจนก็ตาม คนรวยก็ตาม มาจากเหตุที่ทำไว้ในอดีต

ความไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิดนั้น จัดเป็น อกิริยทิฏฐิ คือการปฏิเสธทั้ง เหตุและผล ดังได้กล่าวมาข้างต้น

ความไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิดนั้น โดยรวมแล้ว ถือได้ว่าเป็น อกิริยทิฏฐิ จัดเป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ
ซึ่งเป็นครุกรรม ในพระพุทธศาสนา
 

_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMMSN Messenger
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2006, 5:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม ครับ ถ้าเราดูจากพระสูตรสองพระสูตรเปรียบเทียบกัน คือ มหานิทานสูตร และ วิภังคสูตร ซึ่งล้วนแต่เป็นพระพุทธวจนะอธิบายปฏิจจสมุปบาททั้งคู่..... โดยเพ่งเล็ง ตรงประเด็น เรื่องของ "วิญญาณ" และ"ชาติ" ในสองพระสูตรนี้ให้ดี


ในมหานิทานสูตรนั้น วิญญาณ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงว่าเป็นปัจจัยของนามรูปนั้น คือวิญญาณที่หยั่งลงในครรภ์ของมารดา(น่าจะตรงกับคำว่า ปฏิสนธิวิญญาณที่พระสารีบุตรกล่าว)...... ส่วน ชาติ นั้นระบุถึงการเกิดเป็นคนเป็นสัตว์จริงๆ(ควรอ่านพระสูตรเต็มๆ)


ในวิภังคสูตรนั้น วิญญาณ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงว่าเป็นปัจจัยของนามรูปนั้น คือวิญญาณหกหมวด เช่นที่ผมกำลังพิมพ์ข้อความนี้ ท่านกำลังอ่านข้อความนี้ ...... ส่วน ชาติ นั้นระบุถึงการเกิดเป็นคนเป็นสัตว์จริงๆเช่นกัน(โปรดอ่านความเห็นเพิ่มเติมของอ.เสฐียรพงษ์จากกระทู้เก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6498&start=0&sid=67bd5e2e8c845ec8bd6f51fa5196f88d )


จะเห็นว่า ชาติ นั้นไม่ว่าในพระสูตรไหนๆก็ล้วนแล้วแต่ตรัสแสดงถึงการเกิดจริงๆ(ไม่ใช่สำนวนโวหาร)......
แต่วิญญาณนั้น จะตรัสแสดงทั้ง วิญญาณที่หยั่งลงในครรภ์มารดาตอนเริ่มชีวิต(มหานิทานสูตร) และวิญญาณหกหมวดในขณะปัจจุบัน(วิภังคสูตร)..... ซึ่งแสดงว่า วงจรปฏิจจสมุปบาทนั้น เริ่มต้นในชีวิตนี้ พร้อมๆกับที่ชีวิตนี้อุบัติขึ้น และก็ยังคงดำเนินต่อมาตลอดจนถึงปัจจุบันนี้ และจะยังไม่จบถ้าหากว่าอวิชชาไม่ดับ(หรือวิชชาไม่เกิด) ถึงแม้นร่างกายจะแตกดับ อุปาทานนี้ก็จะเป็นแรงผลักดันให้หมู่สัตว์ไปเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก เช่นที่ทรงตรัสแสดงในกุตุหลสาลสูตรนั้นเอง.....
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2006, 5:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ กับความเห็นเพิ่มเติมของคุณจักรพนธ์ครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง