ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
06 ธ.ค.2005, 8:55 pm |
  |
ใครที่เคยไปสังเวชนียสถาน ทั้ง4 มาแล้ว แนะนำกันบ้างครับ พอดีผมมีความสนใจที่จะไป เพราะเห็นว่าอินเดีย ไม่ไกลจาก ไทย และคิดว่าค่าใช้จ่าย คงไม่สูงมาก แต่คิดจะไปที่แบบประหยัดและสะดวกที่สุด โดยวิธีใดบ้าง และ กี่วัน ถึงจะเรียกว่าไปแล้วคุ้มที่สุด ครับ |
|
|
|
  |
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
06 ธ.ค.2005, 9:24 pm |
  |
มีความตั้งใจเช่นนั้นเหมือนกัน
ในความเห็นส่วนตัว คิดว่าถ้าจะเน้น "ประหยัด" มันคงไม่ได้ความ "สะดวก" นักดอก
และไม่ทราบว่าความคุ้มที่คุณ new ต้องการนั้น มีอะไรเป็นตัวตั้ง
สำหรับเรา ถ้าวันหนึ่งเราได้ไป ความคุ้มของเราจะอยู่ที่
การได้มีเวลาไปนั่งภาวนานานๆในสถานที่ประวัติศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์นั้น  |
|
|
|
  |
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
06 ธ.ค.2005, 9:34 pm |
  |
คุ้ม คือ ได้ไปกราบ สังเวชนียสถาน ทั้ง 4 และชมสถานที่ ที่พระพุทธเจ้า ได้มีชีวิตอยู่บริเวณนั้นระลึกถึงพระพุทธเจ้า คือมีเวลา อยู่ตรงนั้น ส่วนที่อื่น ของอินเดีย ไม่ได้อยากไปขอแค่ 4 ที่นี้เท่านั้น ครับ ผมเข้าใจ ผมทนลำบากได้นะ ผมสบายๆ ลุย ๆ อยู่แล้ว ขอมีที่ให้พัก มีห้องน้ำ มีอาหารนิดหน่อยก็โอเคแล้วครับ |
|
|
|
  |
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
06 ธ.ค.2005, 9:53 pm |
  |
ลองอ่านหนังสือ ... ๙๔ ชีวิต ท่องแดนพุทธภูมิ
เขียนโดยอาจารย์หมอประเวศ วะสี ดูนะคะ
ในหนังสือให้ข้อมูลความรู้เชิงประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ ดีมากๆ
และยังอ่านสนุกอีกด้วย ชื่ออาจารย์หมอรับประกันคุณภาพอยู่แล้ว
สำหรับเรื่องที่พัก ถ้าจะประหยัดคงไม่พ้นพักวัดไทยกระมังคะ
เดี๋ยวรอคนรู้จริงมาช่วยตอบเพิ่มเติมละกัน
|
|
|
|
  |
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
06 ธ.ค.2005, 10:14 pm |
  |
ครับ สนใจที่จะไปถ้าพอจะรู้ข้อมูลการเดินทาง จะได้เตรียมตัว ได้ |
|
|
|
  |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 12:03 am |
  |
ดูก่อนคุณ new ผู้เจริญ
การปฏิบัติในที่ประหยัดที่สุดคือที่บ้าน ประหยัดทั้งเงินและเวลา ส่วนการเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์พึงกระทำด้วยใจ บางคนไม่ยกมือไหว้พระแต่มีพระอยู่ในใจ กับคนที่ยกมือไหว้พระ แต่ไม่มีพระอยู่ในใจ กราบพระพุทธรูป แต่ไม่เคารพในคำสอนของพระองค์ ถือว่าไม่ได้เคารพบูชาพระองค์ คนห้อยพระไว้ที่คอแล้วทำชั่วยังต้องตายเพราะกรรมชั่ว แต่คนไม่ห้อยพระเลยแต่ทำดีพระคุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัยเสมอ
แม้พระพุทธองค์ท่านก็ตรัสไว้ชัดเจน คนที่อยู่ใกล้ท่าน คือคนที่ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน คนที่อยู่ใกล้ท่านไม่ได้หมายถึงคนที่อยู่วิหารเดียวกับท่านแต่อย่างใด นัยของคำว่าใกล้ของพระพุทธองค์คือการปฏิบัติ แล้วการปฏิบัติจะปฏิบัติที่ไหนก็ได้ อุปมาอุปไมยเช่นเดียวกับเงิน 100 บาทที่ยโสธร เอามาแลกแบงค์ 20 ที่ลำปาง ได้ 5 ใบ ฉันใด เงิน 100 บาท ที่สงขลา ก็เอาไปแลกแบงค์ 20 บาทที่ลำปางก็ได้ 5 ใบเท่ากันฉันนั้น เพียงแต่ค่าของการปฏิบัติ วัดจาก ความอดทน ความตั้งใจ ความศรัทธาเชื่อมั่น ซึ่งประเมินค่าได้ยากกว่าค่าที่เป็นตัวเลขนั่นเอง |
|
|
|
    |
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 12:33 am |
  |
นึกแล้วเชียว
คุณ new ถ้ามีโอกาส ไม่ได้ดิ้นรนเดือดร้อนแล้ว ไปเถอะ
พระพุทธเจ้าท่านรับรองไว้ สำหรับผู้ไปกราบสังเวชนียสถาน ทั้ง4 ด้วยศรัทธาปสาทะ
เอาไว้ว่างๆจะไปค้นหารายละเอียดเรื่องนี้อีกทีค่ะ
ใครที่ปูเสื่อนอนใน web จะช่วยค้นคว้าให้ก็จะเป็นประโยชน์และเป็นพระคุณยิ่งค่ะ  |
|
|
|
  |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 1:04 am |
  |
ความเห็นที่ 6 ผู้เจริญ
สิ่งที่ผมตอบ คือสิ่งที่ผมค้นมาจากพระไตรปิฎกนานแล้วครับ คือนัยของการเคารพบูชานั้นเป็นกโลบายที่ทำให้คนระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง หลังจากที่เราปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว ตามหลักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้พ้นทุกข์ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสนับสนุนและเป็นกองหนุนให้เราพ้นทุกข์ด้วยการปฏิบัติด้วยตนเองได้ในที่สุด |
|
|
|
    |
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 12:23 pm |
  |
พระพุทธดำรัสเกี่ยวกับสังเวชนียสถานทั้ง ๔
ณ พระแท่นบรรทม หรือเตียงปรินิพพานนั้นเอง พระพุทธองค์ได้ทรงปรารถเรื่องราวต่างๆ หลายเรื่องกับพระอานนท์พุทธอุปัฎฐากรวมทั้งเรื่อง สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ตำบล จากในมหาปรินิพพานสูตร พอสรุปได้ดังนี้
ครั้งนั้นพระอานนท์เถรเจ้าได้กราบทูลพระองค์ว่า ในกาลก่อนภิกษุทั้งหลายที่ได้แยกย้ายกันไปจำพรรษาอยู่ตามชนบทในทิศต่างๆ เมื่อสิ้นไตรมาศครบ ๓ เดือนตามวินัยนิยมหรืออกพรรษาแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายก็ย่อมจะเดินทางมาเฝ้าพระองค์เป็นอาจิณวัตร ก็เพื่อจะได้เห็นจะได้เข้าใกล้ จะได้อุปัฎฐากพระองค์ อันจะทำให้เกิดความเจริญทางจิต ก็มาบัดนี้เมื่อกาลแห่งการล่วงไปแห่งพระองค์แล้ว ก็แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายก็จะไม่ได้เห็น จะไม่ได้นั่งใกล้ จะไม่ได้สากัจฉา(สนทนาธรรม) เหมือนกับสมัยที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอีกต่อไป
เมื่อพระอานนท์กราบทูลดังนี้แล้ว พระตถาคตเจ้าได้ทรงแสดงสถานที่ ๔ ตำบลว่าเป็นสิ่งที่ควรจะดู ควรจะได้เห็น ควรจะเกิดสังเวช (ความสลดใจกระตุ้นเตือนจิตใจให้คิดกระทำแต่สิ่งดีงาม) แก่กุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา คือ
๑. สถานที่พระตถาคตเจ้าบังเกิดแล้วคือ ประสูติจากพระครรภ์มารดา ตำบลหนึ่งคืออุทยานลุมพินี
๒. สถานที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณตำบลหนึ่งคือ ควงไม้โพธิ์ พุทธคยา
๓. สถานที่พระตถาคตเจ้าให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไป หรือแสดงปฐมเทศนาตำบลหนึ่ง คือ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (ปัจจุบันเรียก สารนาถ)
๔. สถานที่พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุตำบลหนึ่ง คือ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา (ปัจจุบันเรียก กาเซีย) ให้เกิดความสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา
อนึ่ง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธามายังสถานที่ ๔ ตำบลนี้ ด้วยมีความเชื่อว่า พระตถาคตเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไปแล้ว ณ สถานที่นี้ และพระตถาคตเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทเสสนิพพานธาตุแล้ว ณ สถานที่นี้
ดูก่อนอานนท์ ชนทั้งหลายเหล่าใด เจติยจาริกของพระตถาคตเจ้าทั้ง ๔ ตำบลนี้แล้ว จักเป็นคนเลื่อมใส เมื่อกระทำกาลกิริยา(ตาย)ลง ชนทั้งหลายเหล่านั้น จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความ ๔ ตำบลว่าเป็นที่ควรเห็น ควรดู ควรให้เกิดสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธาด้วยประการฉะนี้แล
คัดลอกจากhttp://www.dhammathai.org/buddhism/sangvechani4.php |
|
|
|
  |
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 12:37 pm |
  |
เรียน คห 7 ขอเปรียบเทียบด้วยประเด็นง่ายๆว่า
เวลากราบพระพุทธรูป ผู้มีปัญญาไม่ได้กราบปูนปั้นดอก
เขากราบสักการะน้อมระลึกถึงพระคุณแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม แล พระสงฆ์
|
|
|
|
  |
 |
ดอกหญ้า
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 2:15 pm |
  |
สาธุ โมทนากับคูรบัวเบลอค่ะ
 |
|
|
|
|
 |
tanawat30
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 2:53 pm |
  |
ดูก่อนความเห็นที่ 9 ผู้เจริญ
บุคคลที่ได้ชื่อว่าระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือผู้ที่กล้านำสัจธรรมที่แท้จริงมาเปิดเผย ด้วยหลักการและเหตุผล มิใช่เพียงการกราบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผู้ที่บูชาด้วยปัญญา ย่อมเป็นผู้ชี้ทางเพื่อทำให้คนอื่นเกิดปัญญาขึ้น รู้แจ้งเห็นจริงตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้น และรู้ผลจากการปฏิบัติตามเหตุปัจจัยนั้น ประจักษ์ต่อตนเอง พร้อมทั้งนำประสบการณ์ที่ตนได้รับมาตีแผ่ตามความเป็นจริงที่ตนได้รับ โดยไม่สนใจเสียงต่อต้านจากผู้ยังไม่ได้ปฏิบัติ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญา แล้วจึงถือว่าเป็นผู้เคารพบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อย่างแท้จริง นี่ต่างหากที่ถือว่าเป็นการยิ่งกว่าการน้อมสักการะ คุณพระรัตนตรัย เป็นหลายร้อยหลายพันเท่า สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากตัวเราต้องพบแรงเสียดทาน เสียงก่นด่า จากผู้ยังไม่เข้าถึงพระธรรมคำสอนอย่างแท้จริง
มิใช่การไปลอกข้อธรรมมาจากที่อื่นแล้วนำชูตนเพื่อให้คนยกอื่นยกย่อง ซึ่งตนเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าสามารถปฏิบัติได้ตามนั้นจริงหรือไม่ อย่างไร ด้วยเหตุและผลเช่นไร ซึ่งนัยของการให้ความเคารพ สักการะ บูชาต่างกันไปด้วยประการชะนี้ |
|
|
|
|
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 4:39 pm |
  |
ลักษณะ ของคนพาล?
http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=d_dhamma&No=3563
มือใหม่นะครับ Posted : 2005-11-30 08:28:21
ลักษณะอื่น ๆ ของคนพาล ปัญหา คนพาลมีลักษณะอื่น ๆ อะไรอีกบ้าง ?
พุทธดำรัสตอบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ พึงทราบว่าเป็นคนพาล... คือ
- ไม่เห็นโทษว่าเป็นโทษ ๑
- เห็นโทษว่าเป็นโทษแล้วไม่ยอมแก้ไข ๑
- เมื่อผู้อื่นชี้ให้เห็นโทษ ก็ไม่ยอมรับตามธรรม ๑
- ถามปัญหาโดยไม่รอบคอบ ๑
- ตอบปัญหาโดยไม่รอบคอบ ๑
- ไม่อนุโมทนา ปัญหาที่ผู้อื่นตอบอย่างรอบคอบ ด้วยบทพยัญชนะที่เหมาะสมสละสลวยตรงประเด็น ๑
|
|
|
|
  |
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 5:31 pm |
  |
ไหง เป็นงี้ไปได้  |
|
|
|
  |
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 5:46 pm |
  |
ขอบคุณ ทุกท่านที่ร่วมกันตอบครับ ขอบคุณ คุณธะนะวัต และ คุณบัวเบลอครับ คือ ความตั้งใจของผม คือ ได้ไปสัมผัสบริเวณ ที่พระพุทธองค์ เคยประทับอยู่ ที่ที่พระองค์ ได้ใช้ชีวิต
ส่วนเรื่อง จะได้บุญมากหรือเปล่าผมไม่รู้ เพียงแต่อยากไปเพื่อ สัมผัส สถานที่ ที่พระองค์เคยมีชีวิตอยู่ และระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งมีคุณต่อโลก สิ่งที่ผมคิดว่าได้คือ ความอิ่มใจ ตื่นตั้นใจ น่าจะเป็นปิติสุข มากกว่า ส่วนเรื่องภาวนา นั้นจริงๆ ภาวนาที่ไหนก็ได้ อย่างคุณ ธะนะวัตว่า นะ แต่ถ้าเราได้ไปตรงนั้น จิตใจเรามีปิติ การภาวนาก็น่าจะดีด้วย ผมเพียงระลึกถึงพระองค์ และถ้าจะขอ ก็ขอให้ผม อยู่ในแนวทางแห่งความดี เจอคนดีๆ ไม่หลงไปในทางชั่ว ส่วนจะขอเหมือนขอผีสางเทวดา คงไม่ใช่แบบนั้น อย่าง ไหว้ และถวายข้าวพระพุทธ เหมือนกัน หลักใหญ่ คือ ผมคิดว่าเป็นการระลึก ซึ่งต่างจากการ ถวายอาหารแก่ เทวดาพระภูมิ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อื่น ที่อ้อนวอนขอโน่นนี่
การไป อินเดีย ส่วนหนึ่งก็ได้ไปเที่ยว ดูวัฒนธรรมอินเดียด้วย อ่านพุทธประวัติ ก็มีสถานที่หลายที่ ที่อยากไปเห็น ว่าปัจจุบันเป็นไง อย่างแม่น้ำเนรัญชรา สวนลุม กุสินารา ป่ามฤคทายวัน และอีกอย่าง คือไปอินเดียผมคิดว่า ค่าใช้จ่าย คงไม่เท่าไหร่ ถ้าเทียบ กับที่เราจะไปเที่ยว ประเทศอื่น เพราะไม่ไกล ตอนนี้ก็หาข้อมูลไว้ก่อน เมื่อเวลา และปัจจัยพร้อมก็คิดว่า คงไม่พลาดที่จะไป |
|
|
|
  |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 6:17 pm |
  |
ดูก่อนความเห็นที่ 12 ผู้เจริญ
ความรอบคอบในการถาม หรือตอบนั้น วัดที่ผลของการปฏิบัติ คำตอบที่ดีย่อมไม่มีเหตุผลอื่นแย้งได้ แม้นแย้งแล้วจะไม่เข้าด้วยหลักการและเหตุผล เช่นคนทีกราบพระทุกวัน แต่ไม่รู้จักการปฏิบัติ จะได้ผลจากการปฏิบัติหรือไม่ แต่คนที่ปฏิบัติทุกวันจนได้ผลแตกฉานกับตนเองกับคนรอบข้าง เห็นแจ้งประจักษ์ต่อตนเองแล้ว เช่นนี้แล้วให้พิจารณาด้วยหลักการและเหตุผล ถ้าเปรียบเที่ยบว่า คนกราบพระทุกวันเหมือนคนนั่งดูข้าว กับคนที่ปฏิบัติอยู่ทุกวัน ระหว่างคนดูข้าว กับคนกินข้าวใครได้รับผลประโยชน์จากข้าวก่อนกัน เช่นนี้แล้วให้เราดูคำตอบของผู้ตอบกระทู้ทุกคนเป็นหลักในการพิจารณา
ไม่เห็นโทษว่าเป็นโทษ ๑ หมายถึงผู้ที่อ่าน ท่องตำรา โดยไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติโดยไม่ชอบด้วยเหตุผล ทำให้เสียเวลาในการปฏิบัติ แล้วยังไม่เห็นโทษของสิ่งนั้น
เห็นโทษว่าเป็นโทษแล้วไม่ยอมแก้ไข ๑ คือรู้แล้วเห็นแล้วว่า ถ้าไม่ปฏิบัติผลเป็นอย่างไร แล้วไม่ยอมปฏิบัติ เป็นลักษณะของผู้ที่มีกรรมมากอย่างหนึ่ง
เมื่อผู้อื่นชี้ให้เห็นโทษ ก็ไม่ยอมรับตามธรรม ๑ ธรรมนั้นต้องชอบด้วยเหตุผล ดังนั้นอะไรที่ปฏิบัติแล้วเป็นผลโดยรูปธรรม และนามธรรม พึงถือว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูก เช่นนี้แล้วจึงต้องวัดผลในการปฏิบัติทั้งระยะสั้น ระยะกลางดีขึ้นกว่าระยะกลางหรือไม่ ระยะยาวดีกว่าระยะสั้นหรือไม่ ถ้าดีขึ้นเรื่อย ๆ แสดงว่าการปฏิบัตินั้นถูกต้อง
ถามปัญหาโดยไม่รอบคอบ ๑ หมายถึงหาเหตุในการปฏิบัติไม่ได้ เช่นสำคัญเหตุในวิธีการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยเหตุเป็นมูล เช่นเหตุ หิวข้าวแล้วบอกให้ไปว่ายน้ำ
ตอบปัญหาโดยไม่รอบคอบ ๑ ผลที่ได้รับ ไม่สอดคล้องกับเหตุที่เกิด จึงไม่สามารถวัดผลที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ผลของการว่ายน้ำทำให้อิ่มหรือไม่
ไม่อนุโมทนา ปัญหาที่ผู้อื่นตอบอย่างรอบคอบ ด้วยบทพยัญชนะที่เหมาะสมสละสลวยตรงประเด็น ๑ นั่นคือไม่พิจารณาความเห็นของผู้อื่นที่ปฏิบัติจนเห็นผลเป็นธรรมนานแล้ว มีประสบการณ์จากการปฏิบัติทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ด้วยเหตุและผลตามสมควรที่ควรจะเป็น
ความเห็นที่ 13 ผู้เจริญ เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะ อุปมาอุปไมยไปว่า คนที่กินข้าวทุกวันย่อมเถียงกับคนที่ไม่เคยกินข้าวแล้วไม่รู้เรื่องฉันใด คนที่ไม่ปฏิบัติแต่อ้างเอาธรรมมาพร่ำบ่นแล้วชูธรรมมะมาโต้แย้งแล้วไม่รู้เรื่องฉันนั้น |
|
|
|
    |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 6:24 pm |
  |
ความเห็นที่ 14 ผู้เจริญ
ผู้ปฏิบัติธรรม จะได้บุญมากหรือน้อยนั้น ดูว่าบุญนั้นออกจากจิต บุญนั้นเป็นวิธีที่สรรพจิต สรรพชีวิตทำได้เหมือนกัน โดยไม่มีปัจจัยมาเป็นตัวแบ่ง เช่น เงิน ทอง หรือความเป็นพระหรือฆราวาส ดังนี้จึงเชื่อตามเหตุผลว่า วิธีทำบุญที่ทุกคนทำได้เสมอกันหมด ไม่ว่าคนจน คนรวย หมา แมว สามารถทำบุญเช่นนี้ด้วยกันทั้งสิ้นจึงจะถือว่ามีบุญมาก
ดังนั้นการปฏิบัติสมาธิภาวนาด้วยวิธีการที่ชอบด้วยเหตุแล้วเหตุของการส่งผลมาให้ทั้งตัวเราและคนรอบข้างได้รับดังนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนรวย คนจน คนตาบอด หมา แมว ทำได้ด้วยกันทั้งสิ้น จึงถือว่ามีบุญมาก ตามเหตุและผลเช่นกัน |
|
|
|
    |
 |
วิ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 7:20 pm |
  |
พะออระหันปาจำเวบเก่งทุกเรื่อง ปล่อยๆ เขาไปสะบ้างก็ดีค้าบ |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 7:37 pm |
  |
ความเห็นที่ 17 ผู้เจริญ
การแสดงออก สิ่งที่ต้องระวังคืออย่าเอาเหตุผลไปปนอยู่ในความคิด การปล่อยวาง คือการปล่อยวางทางด้านอารมณ์ มิได้ปล่อยวางทางด้านเหตุผล การปล่อยวางทางด้านอารมณ์เป็นเรื่องดี การปล่อยวางทางด้านเหตุผลเป็นอันตราย เพราะถ้าเราปล่อยวางเหตุผลจะชี้โทษให้แก่มนุษย์ผู้หลงผิดได้อย่างไร ความอันตรายจึงตกอยู่กับผู้หลงผิดนั้น ความอันตรายไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้คิดดี ปฏิบัติชอบแต่อย่างใด หากเรามีความเมตตา กรุณา มิทิตา ต่อผู้หลงผิดแล้ว อย่าได้ละเลยการชี้แจงสิ่งใดด้วยเหตุและผล จนกว่าบุคคลผู้นั้นจะรั้นจนต้องวางอุเบกขา ซึ่งขอเป็นสิ่งสุดท้ายของพรหมวิหารธรรม ที่พึงหลีกเลี่ยงหากไม่จำเป็น ความอุเบกขาจากผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หากนำไปใช้กับผู้ใด จะเป็นโทษต่อผู้นั้นประเมินค่ามิได้เลย |
|
|
|
    |
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2005, 7:49 pm |
  |
ขออภัยคุณ new ค่ะ ที่ทำประเด็นกระเด็นไปไกลนอกโลก
ครือออ มันวงแตกประจำน่ะ
ได้ไปอินเดียเมื่อไร กลับมาแล้ว เข้ามาเล่าประสบการณ์ให้เพื่อนๆฟังด้วยนะคะ
อ้อ ทราบมาว่า ไปถึงที่นั่นต้องระวังเรื่องน้ำมากๆ รวมถึงอาหารด้วย
อย่าลืมพกยาแก้ท้องเสียไป สำคัญมาก และถ้าเป็นผู้หญิงควรนำผ้าถุงติดตัวไปทุกแห่ง
เพราะเวลานั่งรถทางไกล เกิดปวดท้องหนักๆเบาๆ ไม่มีปั๊มริมทางแบบบ้านเรา
แต่จะต้องลงไปทำธุระตามพงหญ้าข้างทาง นึกภาพดูเอาเองแล้วกัน
ขอบคุณคำแนะนำคุณวิมากๆค่ะ กังวลติ๊ดๆว่า ถ้าไม่วาง
ต่อไปจะต้องโดนกินยาทำลาย Synapse เองแน่ๆเลย
|
|
|
|
  |
 |
|