ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
s
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 ต.ค.2004, 6:49 pm |
  |
ข้อศีล เป็นข้องดเว้น มิให้ปฏิบัติ ในที่นี้หมายความถึงเฉพาะศีล 5 เท่านั้น ข้อศีล หมายถึง ความเป็นปกติแห่งมนุษย์ทั้งหลาย และอาจจะรวมถึงสรรพสิ่งทั้งบางอย่างบางชนิดด้วย
การคิดพิจารณาข้อศีลนั้น เราควรต้องคิดพิจารณาให้สัมพันธ์กันทั้ง 5 ข้อ ซึ่งก็หมายความว่า แต่ละข้อหากไม่ปฏิบัติแล้วไปสัมพันธ์ หรือก่อให้เกิดข้อศีลข้ออื่นๆ นั้น ก็คือความไม่ดี หรือบาปนั่นเอง เช่น เราฆ่าสัตว์หรือฆ่าผู้อื่น เพื่อทรัพย์ เพราะสุราพาไป หรือเพราะผู้หญิง หรือเพราะเราโกหกกับตัวเอง สำหรับการโกหกตัวเองนั้น หากจะกล่าวอย่างละเอียดก็คือ ความคิดของตัวเองหรือเราคิดกับตัวเองว่า หากเราไม่ฆ่าเขาเราก็ไม่มีกินอะไรทำนองนี้ ซึ่งความจริงแล้ว อาชีพอื่นๆมีเยอะ แต่อาชีพอื่นอาจจะได้เงินมา ต้องมีเงินลงทุนอย่างนี้เป็นต้น
และก็เช่นกัน ในข้อศีลข้ออื่นๆหากไม่ปฏิบัติแล้วไปสัมพันธ์กับข้อศีลข้ออื่นๆก็ย่อมเป็นบาปก่อให้เกิดความทุกข์ต่อตนเองและผู้อื่น เช่นข้อกาเมฯ ข้อนี้ย่อมต้องรวมข้ออื่นไว้อีกหลายข้อ หากหวังเพียงได้แล้วทิ้ง ก็รวมเอาข้อที่ 1 คือ ข้อ ปาณาฯ เพราะการฆ่าผู้อื่นทางอ้อม ซึ่งการฆ่าผู้อื่นนั้น มิใช่หมายความเพียงว่า เอามีด เอาปืน เอาไม้ไปประทุษร้ายเขาให้ถึงแก่ชีวิตเพียงอย่างเดียว การโกหกเขา ก็อาจจะทำให้เอาตายทั้งเป็นหรืออาจจะกลายเป็นการทำให้เขาต้องฆ่าตัวเองก็เป็นได้ การยกตัวอย่างให้ได้เข้าใจนั้น เนื่องจากมีมากมายหลายหลากวิธีการ ซึ่งท่านทั้งหลายย่อมมีประสบการณ์กันอยู่บ้างแล้ว คงไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดมากนัก
แต่ข้าพเจ้าก็ขอย้ำเตือนว่า การปฏิบัติตามข้อศีลนั้น ย่อมทำให้จิตใจของเราผ่องใส ชื่นบาน อีกทั้งยังทำให้ผู้ที่อยู่รอบข้างเรา เป็นสุข เป็นการสร้างความสามัคคีของคนทั้งชาติได้อีกทางหนึ่ง
|
|
|
|
|
 |
TU
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589
|
ตอบเมื่อ:
14 ต.ค.2004, 8:11 pm |
  |
|
    |
 |
ลุงสุชาติ
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 65
|
ตอบเมื่อ:
15 ต.ค.2004, 4:31 am |
  |
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตรทีฆนิกาย มหาวรรค ว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับอานิสงส์ ๕ ประการ คือ
๑. ย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ ( ดังที่พระท่านแสดงอานิสงส์ของศีลในเวลาให้ศีลว่า สีเลน โภคสมปทา )
๒. เกียรติศัพท์อันงามของผู้มีศีล ย่อมฟุ้งขจรไปไกล
๓. ผู้มีศีลเข้าไปสู่สมาคมใดๆ ย่อมเข้าไปอย่างองอาจไม่เก้อเขิน
๔. ผู้มีศีลย่อมไม่หลงทำกาละ ( คือไม่หลงในเวลาตาย )
๕. ผู้มีศีล ตายแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ( สีเลน สุคตึ ยนฺติ )
นอกจากนั้นพระพุทธองค์ยังทรงแสดงไว้ด้วยว่า ผู้ที่หวังได้รับความรักใคร่ สรรเสริญจากบัณฑิตทั้งหลาย ควรทำศีลให้บริบูรณ์
ศีลเป็นที่พึ่งของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระศาสนา
ศีลเป็นเสมือนน้ำที่ล้างมลทิน คือ ความชั่วของสัตว์ทั้งหลายอันน้ำในแม่น้ำทั้งหลายไม่อาจล้างได้
ศีล ยังผู้รักษาให้สงบเย็น ไม่ร้อนรุ่มด้วยกิเลส
กลิ่นใดที่ฟุ้งไปได้ทั้งทวนลม และตามลม กลิ่นนั้นเสมอด้วยกลิ่นศีลไม่มี
บันไดที่จะขึ้นสู่สวรรค์ และบรรลุนิพพาน ( สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ ) ที่จะเสมอด้วยบันไดคือศีลหามีไม่
บุคคลแม้จะงดงามด้วยเครื่องประดับอันมีค่า ก็ยังไม่งามเท่าบุคคลที่มีศีลประดับกาย วาจา ใจ
ผู้มีศีล ย่อมติเตียนตนเองไม่ได้ เมื่อพิจารณาถึงความประพฤติของตน ย่อมเกิดปีติทุกเมื่อ
เพราะศีลมีอานิสงส์มากมายดังกล่าว ศีลจึงเป็นรากฐานแห่งคุณความดีทั้งหลาย และกำจัดความชั่วทั้งปวง
ศีลเป็นฐานที่นำไปสู่ชัยชนะ ชัยชนะในที่นี้ หมายถึง ความชนะตัณหากิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ (รัก โลภ โกรธ หลง) มนุษย์ก็ตาม เทวดาก็ตาม จะชนะกิเลสได้ก็เพราะศีลและปัญญา
ศีลที่มีปัญญาเป็นพื้นฐาน จึงไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท (หมายถึง ไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหา ทิฐิ และมานะ) กล่าวคือ ผู้รักษาศีล มิได้มุ่งรักษาเพราะต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ หรือสมบัติใดๆ มีโภคสมบัติเป็นต้น หรือมิได้รักษาเพราะเห็นผิดว่า เราจะบริสุทธิ์จากกิเลสได้เพราะศีลนี้ (หมายความว่าผู้นั้นเห็นผิดว่า ลำพังศีลอย่างเดียว คือศีลเท่านั้นบรรลุนิพพานได้ ซึ่งเห็นผิดไปจากความจริง) เจตนารมณ์ในการรักษาศีล คือ การชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์สะอาด เพื่อใช้เป็นฐานในการบำเพ็ญสมาธิ และพัฒนาปัญญา) เพราะผู้จะบรรลุนิพพานได้นั้นต้องประกอบด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา
กล่าวโดยสรุปก็คือ ศีลเป็นฐานทำให้เกิดสมาธิ สมาธิเป็นฐานทำให้เกิดปัญญา
เมื่อศีล สมาธิ และปัญญา ได้มาประชุมพร้อมกันเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นอริยศีล อริยสมาธิ และอริยปัญญา
อริยศีลที่ประกอบด้วยอริยสมาธิ และอริยปัญญา ในขณะนั้นเท่านั้นที่บรรลุนิพพานได้
อริยศีลนี้ จึงชื่อว่า สีเลน นิพฺพุติ ยนฺติ โดยแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ ศีลที่มีปัญญาเป็นพื้นฐาน จึงเป็นเครื่องกั้นทุจริต เป็นเสบียงเดินทางชั้นเยี่ยม เป็นพาหนะอันประเสริฐ เป็นเครื่องหอมที่ฟุ้งไปทั่วทิศานุทิศ เป็นสะพานนำไปถึงนิพพาน หากยังไม่ปรินิพพานตราบใด ย่อมเกิดเป็นมนุษย์ และเทวดาเท่านั้น
|
|
|
|
  |
 |
sa-ard
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 03 มิ.ย. 2004
ตอบ: 32
|
ตอบเมื่อ:
21 ต.ค.2004, 7:05 pm |
  |
|
  |
 |
|