ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
คิม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 ธ.ค.2005, 9:53 pm |
  |
|
|
 |
นิน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 ธ.ค.2005, 10:35 pm |
  |
ข่มกามฉันทะ ด้วย อสุภกรรมฐาน หรือ กายคตาสติ
ข่มพยาบาทด้วย พรหมวิหาร3 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา ครับ |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
03 ธ.ค.2005, 11:24 pm |
  |
ถ้าทำตามแบบความเห็นที่ 1 ก็ได้เพียงข่มเอาไว้ไม่ให้มันเกิดขึ้น แต่ถ้าเราทำแบบนั้นก็เพียงแค่ข่มเอาไว้ เสมือนที่บ้านเรามีหมาดุ เวลาแขกมาบ้านก็เอาเชื่อกผูกหมาไว้กับเสาเท่านั้น แต่ถ้าเราสอนหมาดุให้เชื่องได้ ก็ไม่ต้องผูกหมาไว้กับเสาอีก
แต่เหตุแห่งอารมณ์นีวรณ์ห้า เกิดจากจิต เกาะอยู่ที่จิต ถ้าเราจะข่มมัน เราต้องข่มมันตลอด แต่ถ้าเราค่อย ๆ กำจัดอารมณ์นีวรณ์ทั้ง 5 ด้วยการทำให้อารมณ์เหล่านี้ค่อย ๆ หมดไปด้วยการใช้กำลังสมาธิขจัดอารมณ์นีวรณ์ 5 ให้ค่อย ๆ สิ้นไปด้วยกำลังสมาธิเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะเป็นการกำจัดต้นตอของอารมณ์นีวรณ์ออกไปจากตนอย่างถาวร |
|
|
|
    |
 |
m
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 ธ.ค.2005, 12:13 am |
  |
นั่นจิ |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
04 ธ.ค.2005, 2:30 am |
  |
กราบสวัสดีคุณคิม
ถ้ายังข่มอยู่ไม่ว่ากามราคะหรือพยาบาท มันก็ยังเกิดขึ้นได้ ข่มไว้มากๆก็จะวิปริตได้เช่นกัน เรื่องกิเลส ไม่ว่าโมหะ โทสะ โลภะ ราคะ มันมีอยู่ในมนุษย์ทุกผู้ทุกคนมากน้อย ยิ่งเรื่องกามนี่ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องมีการสืบเผ่าพันธุ์ หรือแม้แต่สัตว์โลกชนิดอื่นๆก็เช่นเดียวกัน ทีนี้อย่างเราๆท่านๆนี่ในฐานะที่มีบุญวาสนาได้เกิดในบวรพุทธศาสนา กล่าวถึงฆราวาสก็จะมีศีล5 และศีล8 เป็นแก่นเป็นแกนข้างในของมนุษย์ เป็นเครื่องประดับกายและวาจา คอยประคับประคองอบรมทางจิตใจของแต่ละบุคคล
ในเมื่อมันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ยากที่จะฝืน ยากที่จะตัดขาด ยากที่จะตัดในรสในทันทีทันใด ก็ต้องหมั่นอบรมชำระจิตใจด้วยการฝึกปฏิบัติธรรมและรักษาศีลให้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ยิ่งในวันโกน วันพระ หรือวันสำคัญทางพุทธศาสนา หากเราถืออุโบสถศีลได้ก็จะเป็นการดี หมั่นฝึกหมั่นละค่อยๆทำไปทีละเล็กละน้อย รู้ว่ามันหนักก็ให้รู้ว่าหนัก รู้ว่ามันเบาก็ให้รู้ว่ามันเบา ไม่ใช่หนักๆเบาๆ เดี๋ยวเบาเดี๋ยวหนัก ไม่ต้องไปฝืนมันหรอก
แต่การที่เราหมั่นคอยอบรมจิตใจตนเอง หมั่นฝึกปฏิบัติ หมั่นรักษาศีลนี่เอง มันจะทำให้เราเกิดความเคยชิน ความหน่ายในเรื่องเหล่านี้มันก็จะเกิดขึ้นในอารมณ์ความรู้สึกเราเอง โดยที่ไม่ต้องไปนั่งฝืน นั่งข่ม มันจะขยักแขยง มันจะอาเจียนแค่เพียงเดินเฉียดๆก็รู้สึกแล้ว แต่ทีนี้ถ้าไม่คอยฝึกปฏิบัติให้สม่ำเสมอนี่ พอไปปฏิบัติธรรมหลายๆวันเข้านี่อย่างไปเข้ากรรมฐานมันก็จะทุรนทุราย ทุกข์ทรมานในความเคยชินกับอารมณ์ที่มันติดใจในเรื่องเหล่านี้ บางคนก็ทนไม่ได้เลยหละ สอบอารมณ์ทีก็สารภาพออกมาต่อหน้าครูบาอาจารย์ นี่ก็ถือว่ายังดีที่รู้ตัวเองเพื่อจะได้แก้ไขต่อไป
พยาบาทก็เหมือนกัน มันก็มีมาตั้งนาน ยังงั้นก็คงไม่มาวนเวียนใช้กรรมในสังสารวัฏอย่างนี้หรอก เป็นธรรมชาติของจิตมนุษย์นี้ห้ามยาก ป้องกันลำบาก มันกวัดแกว่งตลอด ทีนี้นอกจากฝึกจิตให้มีเมตตา กรุณา อยู่โดยปกติแล้ว ก็ต้องมีขันติเป็นตบะ หากเจริญสติคล่องๆมันก็ไม่ต้องมานั่งอดทน อดกลั้นต่ออารมณ์ที่มากระทบไม่ว่าจะมาทางใด มีสติจรดตรงสภาวะอารมณ์ ความรู้สึก ณ ปัจจุบันขณะให้สั้นที่สุด กระทบเข้าก็ดับไป โดยไม่ต้องมานั่งอดทน อดกลั้น ฝืนให้อึดอัดสติแตก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก หายหน้าหายตาไปตั้งต้นทำสติกันใหม่อีก ฝึกให้มีสติทุกปัจจุบันขณะมันก็จบ ก็แค่นั้น...มันก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ ...
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา  |
|
|
|
   |
 |
อิคิว
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 ธ.ค.2005, 9:31 am |
  |
ขออนุโมทนา เห็นด้วยกับคุณปุ๋ย ขอเสริมด้วยคน
นิวรณ์ 5 เป็นอกุศลธรรม จะละได้ก็ต้องทำให้จิตเป็นกุศลธรรม พูดง่ายแต่จะปฏิบัตินี่ซิทำอย่างไร ลองวิธีนี้ดูอาจจะได้ผลถ้าบังเอิญตรงกับจริตของตนเอง
1.หมั่นทำทาน
2.รักษาศีล
3.ทำบุญ
4.ภาวนา
5.ฟังธรรม
6.ให้ธรรมทาน
7.แผ่เมตตา
9.สวดมนต์ ทำวัตร เช้าเย็นแปล(จะใด้เข้าใจ)
10.ศึกษาพระธรรม
ที่จริงมีอีกมากมายที่จะทำให้เกิดกุศลจิต สาเหตุที่ต้องทำหลายสิ่งนั้นเพราะการทำสิ่งที่ดีนั้นต้องทำรวมๆกันไม่ให้สุดโต่งอย่างใดอย่างหนึ่งยึดหลักทางสายกลาง ไม่เน้นภาวนาอย่างเดียว หรือศึกษาอย่างเดียว แต่ทำรวมๆทุกอย่างที่จะทำได้ อย่างน้อยจะได้ไม่มีเวลาคิดเรื่องอกุศล เอาเป็นว่าทุกสิ่งมีเหตมีผลของมันก็แล้วกัน เมื่อเราปฏิบัติตามแล้วจะบังเกิดผลที่รู้ได้ด้วยตัวเราเอง แต่ต้องมีความเพียรให้มากๆเข้าไว้ จะเอาแบบจานด่วนทำวันนี้พรุ่งนี้รู้ผลคงไม่ได้ |
|
|
|
|
 |
มั่วแจม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 ธ.ค.2005, 9:57 am |
  |
มันเกิดมาจากไร หรือ กามนะ
ตอบ ครับ มันมาจากความไม่พอใจ
งั่น รักษาใจก็พอ จิ
ก็ไม่พอหลอก เพราะ สติ ใครจะดี ได้ขนานนั้น
งั่นทำไงดี
ลองเจริญ เมตตาก่อนละกัน
แล้วจะช่วยได้หรือ
ช่วยไม่ได้หลอก เพราะความไม่พอใจ ยังอยู่
ความทุกข์ ก็ ยังก่อตัวอยู่ ก้อนทุกข์ ก็ยังมีอาการของใจอยู่
ทำไงละ มันมาจากความไม่พอใจ ก็ ต้องพิจารณา ให้ออก
จากความข้อง
ทำไงละ
ก็ให้รู้ ถึงความเปลี่ยนแปลง ของร่างกายที่เปลี่ยนไป หรือ
เปล่า ของใจเราที่ ไหว
แล้ว
ก็ทำให้ ทุกส่วนที่ไม่พอ ให้พอ
ให้ ที่ข้องอยู่ไม่ข้อง ให้เมตตาเจริญ
แล้ว
ปฏิฆะ(ความไม่พอใจ(เล็กน้อย)) ไม่มี ดำริในกามก็ไม่มี
ปล. ขำๆ อย่าคิดมาก  |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
04 ธ.ค.2005, 10:55 am |
  |
ตามความเห็นที่ 4 ผู้เจริญ
จากการปฏิบัติ ผมก็เห็นดังนั้นว่า จิตที่จะหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดจะต้องตัดความพยาบาททิ้งไป ดังที่ผมเคยบอกสหายธรรม หรือในหนังสือที่ผมแต่งเอาไว้ ผมก็บอกเช่นนั้นเหมือนกัน
ส่วนสาเหตุที่เราปฏิบัติสมาธิภาวนาแล้วทุรนทุรายนั้น เพราะข้อกำหนดอยู่ที่เราต้องยอมรับข้อบกพร่อง สันดานที่ไม่ดีของเรา เราจะไม่ทุรนทุรายได้อย่างไร ลองนึกดูนักการเมืองทุกวันนี้ทำไมต้องปิดกั้นประชาชนไม่ให้รับรู้ข่าวสารจากสื่อ นี่ขนาดยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติสมาธิภาวนา ยังดิ้นทุรนทุรายหาทางปิดกั้นสื่อไม่ให้เสนอข่าวเลยครับ
ในทางพุทธศาสนา มีสิ่งที่ต้องฝืนเพียงอย่างเดียว คือเรายอมรับสันดานชั่วที่เกิดขึ้นในจิตและในตัวของเราได้หรือไม่ แก้ไขสิ่งนั้นได้มากน้อยเพียงใด ส่วนเรื่องการรักษาศีลก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องฝืน เพราะถ้าเราไม่ทำชั่ว ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนโดยเจตนาของเราเสียอย่าง ก็ไม่ต้องรักษาศีล เช่นถ้าเราไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นธรรมชาติอยู่ในตัวเรา เราก็ไม่ต้องรักษาศีลข้อ 1 ถ้าเราไม่รักขโมยเป็นธรรมชาติอยู่ในตัวเรา เราก็ไม่ต้องรักษาศีลข้อ 2 เป็นต้น การรักษาศีลไม่ได้ยาก ไม่ต้องฝืน แค่ถามตัวเองว่า เรากล้าประจานความชั่วให้คนอื่นฟังหรือไม่ เช่น ผมเคยเล่นการพนัน ผมก็บอกคนอื่นไปหมดเลยว่าผมเล่น ผมเคยกินเหล้า เคยโกงเงินพ่อ ในเมื่อสิ่งนี้เป็นความจริงก็ไม่ทำให้ผมเสียหาย ก็บอกให้คนรับรู้กันโดยทั่วกันไปเลย เช่นนี้ถ้าใครทำได้ ทางสวรรค มรรคผลนิพพานอยู่แค่ปลายจมูกของเรานั่นเอง
จากย่อหน้าที่แล้ว เมื่อเรากล้าประจานตนเองเช่นนั้น การที่เราจะแก้ไขข้อบกพร่องอันมีในตัวเราก็จะง่ายขึ้น การที่เราทำเช่นนั้น คือการที่เรายอมรับข้อบกพร่องของเราอย่างสุดโต่ง เราก็สามารถแก้ไขข้อบกพร่องของเราได้จนหมดสิ้นไปได้อย่างง่ายดายในที่สุด |
|
|
|
    |
 |
ดำจังแก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
06 ธ.ค.2005, 10:47 am |
  |
อย่าไปข่มมัน เหมือนหินทับหญ้า
แต่รู้เท่าทันมัน เหมือนถอนรากหญ้าทิ้ง
กิเลสเราทำลายมันไม่ได้หรอก
แต่เราไม่เอา ไม่สนใจมันได้
จะทำได้ก็โดยการรู้เท่าทันมันอยู่เสมอๆ นั่นเอง
 |
|
|
|
|
 |
|