ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
Nimda
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
02 ธ.ค.2005, 10:28 am |
  |
ถามถึงความเป็นพระอรหันต์แห่งคฤหัสถ์
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวไว้ว่า คฤหัสถ์ผู้สำเร็จอรหันต์แล้วย่อมมีคติ ๒ ประการ คือบรรพชาในวันนั้น ๑ ปรินิพพาน ในวันนั้น ๑ ไม่อาจเลยวันนั้นไปได้ ดังนี้
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าในวันนั้น ไม่ได้อาจารย์ หรืออุปัชฌาย์ หรือบาตร จีวร ผู้สำเร็จอรหันต์แล้วนั้นจะบรรพชาเอง หรือเลยวันนั้นไป หรือมีพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์องค์ใดองค์หนึ่งมาให้บรรพชา จะได้หรือไม่ หรือต้องปรินิพพานไป?
พระนาคเสนตอบว่า
ขอถวายพระพร พระอรหันต์นั้นบรรพชาเองไม่ได้ ถ้าบรรพชาเองก็ชื่อว่า ไถยสังวาส (ลักเพศ คือปลอมบวช) และเลยวันนั้นไปก็ไม้ได้ จะมีพระอรหันต์องค์อื่นมาหรือไม่มีก็ตาม ก็ต้องปรินิพพานในวันนั้น
ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นความเป็นพระอรหันต์ ก็ทำให้สิ้นชีวิตน่ะชิ
ขอถวายพระพร คฤหัสถ์ถึงสำเร็จอรหันต์แล้วก็ต้องบรรพชา หรือปรินิพพานในวันนั้น เพราะเพศคฤหัสถ์ไม่มีกำลังพอ ข้อที่สิ้นชีวิตไปนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะโทษแห่งคฤหัสถ์ ไม่มีกำลังพอต่างหาก
ขอถวายพระพร ธรรมดาโภชนาหารย่อมรักษาอายุ รักษาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายไว้แต่ว่าโภชนาหารนั้น ย่อมทำให้สิ้นชีวิตได้ ด้วยไฟย่อยอาหารไม่พอ ย่อมทำให้สิ้นชีวิตนั้นไม่ใช่เป็นโทษแห่งอาหารนั้น เป็นโทษแห่งไฟย่อยอาหารไม่พอฉันใด
การที่คฤหัสถ์ผู้เสำเร็จพระอรหันต์แล้วต้องบรรพชาหรือปรินิพพานในวันนั้น ข้อนั้นไม่ใช่เป็นโทษแห่งความเป็นพระอรหันต์ เป็นโทษแห่งเพศคฤหัสถ์มีกำลังไม่พอฉันนั้น
อีกประการหนึ่ง เหมือนกับบุคคลยกเอาก้อนหินหนัก ๆ วางบนฟ้อนหญ้าเล็ก ๆ ฟ้อนหญ้าเล็ก ๆ นั้น ก็ต้องจมลงไปเพราะกำลังไม่พอฉันใด ข้อนี้ก็มีอุปมาฉันนั้น
อีกอย่างหนึ่ง เหมือนบุรุษผู้มีบุญน้อยเมื่อได้ราชสมบัติอันใหญ่แล้ว ก็ไม่อาจรักษาความเป็นอิสระไว้ได้ฉันใด คฤหัสถ์ผู้ได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ก็ไม่อาจรับรองความเป็นอรหันต์ไว้ได้ฉันนั้น เพราะฉะนั้น จึงต้องบรรพชาหรือปรินิพพานในวันนั้น ขอถวายพระพร
ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน
http://larnbuddhism.net/milintapanha/milin06_index.html
เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๖ ปัญหาที่ ๓
|
|
|
|
|
 |
วรากร
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
02 ธ.ค.2005, 10:45 am |
  |
ขอบคุณที่หามาให้อ่านนะครับ ดีมากๆ |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
02 ธ.ค.2005, 12:05 pm |
  |
ดูก่อนมนุษย์ผู้เจริญ
ให้เราพิจารณาถึงเหตุและผลที่มีคำสอนที่ว่า เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วต้องบรรพชาให้ดี ๆ นัยของการบวชที่แท้จริง คือการไม่เอาตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องในทางโลก มิได้อยู่ที่ชุดที่เราแต่ง และในสมัยก่อน หรือในสมัยนี้คำสอนนั้นก็เป็นเช่นนี้ถูกแล้ว เพราะผมเองในวันที่บรรลุอรหัตผลวันแรก ผมก็ต้องประกาศดับขันธ์ปรินิพพานเช่นกัน แล้ววิญญาณก็เตรียมที่ออกจากร่างไปด้วย แต่มีเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ผมอยู่ต่อ เพื่อเผยแพร่ธรรมมะเนื่องจากอายุยังน้อย แล้วที่ผมจะอยู่ต่อก็ต้องเผยแพร่ธรรมมะ ถ้าผมหยุดกิจกรรมการเผยแพร่ธรรมมะเมื่อไหร่ผมก็ปรินิพพานเช่นกัน นัยของคำสอนนี้ถูกต้องตามเหตุผล
แล้วจะมีแรงหรือไม่มีแรง ขึ้นกับว่ามีความปรารถนาในการนำวิธีทำให้คนพ้นทุกข์ได้มากเท่าไหร่ แล้วที่บอกว่าฆราวาสไม่มีกำลังพอนั้น เพราะนัยของฆราวาสผู้นั้นไม่มีกำลังพอที่จะอยู่ต่อได้ เพราะฆารวาสต้องประกอบอาชีพไปด้วย ยุ่งอยู่กับโลกียะ อาชีพและโลกียะเป็นเครื่องผ่อนแรงของฆราวาสให้ต้องปรินิพพานในวันที่บรรลุอรหัตผล แต่ถ้าเป็นฆราวาสที่ไม่ยุ่งกับอาชีพการงานหรือโลกียะ แล้วมีแต่เผยแพร่ธรรมมะอย่างเดียว กลับยิ่งมีกำลังที่จะเผยแพร่ธรรมมะได้ดีกว่าพระที่บวชแล้วมีคนถวายปัจจัยให้เสียอีก เพราะฆราวาสต้องอยู่กินเช่นเดียวกับพระเหมือนกัน ขึ้นรถก็ต้องจ่ายค่ารถ ไม่มีขึ้นรถเมล์ฟรีเหมือนพระ แต่ไม่มีปัจจัยเช่นเดียวกับพระ เพราะไม่มีคนเอาปัจจัยมาให้ ปัจจัยที่ต้องกิน ต้องใช้ไปวัน ๆ ต้องหามาเองทั้งสิ้น แถมยังมีคนว่าเป็นเรื่องจินตนากร หรือเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ นี่จึงเป็นแรงที่ทำให้ฆราวาสยุคปัจจุบันมีแรงมากกว่าพระในยุคเสียอีก จึงไม่ต้องปรินิพพานแต่อย่างใด
ถ้าเป็นตามนัยตามแบบสมัยพุทธกาล ผมเองก็ถือว่าผมได้บวชแล้ว แต่ถ้าเป็นนัยปัจจุบันต้องทำพิธีบวชเป็นขั้นเป็นตอน ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากที่เจ้าของกระทู้นำมาก็ถูกอีก แต่เราต้องเข้าใจปรัชญาของจีวรก่อนว่า พระพุทธองค์ท่านเน้นความเรียบง่าย ท่านกำลังสอนพวกเราว่าให้อยู่อย่างเรียบง่าย โดยการเอาผ้าเก่า ๆ มาทำเป็นจีวร แต่นัยของคำว่าจีวรในยุคปัจจุบันได้ถูกบิดเบือนไปจากในอดีตมาก กลายเป็นเพียงตราสัญลักษณ์ว่าคนนี้ได้บวชแล้ว |
|
|
|
    |
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
02 ธ.ค.2005, 5:29 pm |
  |
ตรวจสอบง่ายมากว่าคุณเป็นอรหันต์หรือไม่นะครับ คือ
1. เวลาเจอผู้หญิงสวยๆมากๆ แต่งตัวยั่วยวนมากๆ มาหา คุณไม่สนใจเลย
2. เวลาเจอผู้ชายหล่อๆ แมนๆ มากๆ มาหา คุณไม่สนใจเลย เพราะบางทีคนที่มีใจชอบเพศเดียวกันนี่ จะไม่สนเพศตรงข้าม
3. ถ้าพบเงินสิบล้านตกอยู่ตรงหน้า คุณไม่สนใจเลย
4. อยู่ๆ ก็มีใครเอามือมาตบหน้าคุณ คุณไม่โกรธเลย (พระสารีบุตร เคยถูกพราหมณ์คนหนึ่งตีข้างหลังมาแล้ว แต่ท่านไม่โกรธเลย)
5. อยู่ก็มีคนมาด่าว่าคุณมากมาย คุณไม่โกรธเลย
ถ้าติดข้อใดข้อหนึ่งในนี้ แสดงว่า เรายังไม่ใช่พระอรหันต์ครับ แต่ถ้าทุกขนาดผ่านหมด ก็ยังไม่อาจตัดสินได้ ยังต้องทดสอบในขั้นต่อไป |
|
|
|
|
 |
คนกิเลสหนา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
02 ธ.ค.2005, 6:28 pm |
  |
ปลวกขึ้นบ้านควรทำอย่างไรดีครับจะจัดการกับมัน ศีลก็จะไม่บริสุทธิ จะไม่จัดการบ้านก็จะพัง |
|
|
|
|
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
02 ธ.ค.2005, 8:00 pm |
  |
ถ้ามีข้าศึกมารุกรานประชิดชายแดน คุณจะยืนแผ่เมตตาให้พวกมันหรือ
เราว่าหน้าที่ใครหน้าที่มัน ตามบทบาทความจำเป็นน่ะ
|
|
|
|
  |
 |
บูรณ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
02 ธ.ค.2005, 9:50 pm |
  |
ไม่มีความเห็น.....ต้องขออภัยเจ้าของกระทู้
แต่อยากถามผู้รู้ เป็นความรู้ ว่าในอดีตมีคฤหัสถ์ท่านใดที่สำเร็จอรหันต์
แล้วมีการบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์หรือเป็นตำนานกล่าวขานต่อกันมาก็ได้
เอาเฉพาะของไทย ตั้งแต่ยุคสุโขทัยถึงปัจจุบันแล้วกัน ไม่ต้องย้อนถึงพุทธกาล |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
03 ธ.ค.2005, 12:40 am |
  |
ความเห็นของคุณบูรณ์ ในความเห็นที่ 6 การบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นบรรลุอรหัตผลเป็นเรื่องแปลกในยุคปัจจุบัน แล้วโดยทั่วไปแล้วเมื่อท่านเหล่านั้นบรรลุอรหัตผลก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมา ยิ่งในยุคปัจจุบันด้วยแล้ว คนที่พูดเรื่องพวกนี้ก็จะโดนอย่างที่ผมเป็น แต่ผมไม่สนใจหรอกนะครับ เพราะนี่ผมถือว่าผมกำลังสร้างบารมีอยู่
เปรียบเทียบกับพระพุทธองค์ท่านก็ได้บำเพ็ญเพียรด้วยการทำทุกข์กริยา เช่นนั่งกำมือให้เล็บทะลุฝ่ามือออกไปอีกหด้านหนึ่งเป็นการสร้างบารมี แต่นั่นคือท่านก็ได้บารมีแต่เพียงพระองค์เอง แต่ผมสร้างบารมีจากการถูกคนดูถูก เนื่องจากการเผยแพร่ธรรมมะ ก็ได้บารมีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเป็นการทรมานแค่เพียงจิตใจ แต่นอกจากผมจะได้บารมีแล้ว ผมยังเผยแพร่ธรรมมะได้อีกด้วย เพราะผมไม่ได้บอกให้ใครเชื่อผม เพราะพระพุทธองค์ท่านก็ไม่ได้บอกให้ใครไปเชื่อท่าน
คุณความเห็นที่ 5 คุณไม่ได้ลงมือปฏิบัติสมาธิภาวนา คุณไม่มีทางสัมผัสอานุภาพแห่งความเมตตาได้เลย
คุณความเห็นที่ 4 ผมบอกว่าเมตตาเป็นอาวุธที่ดีที่สุด เรื่องปลวกขึ้นบ้าน ถ้าเรารู้จักเมตตามัน มันจะไปจากชีวิตของเราเองเมื่อเรามีความเมตตา สิ่งนี้ผมได้ลองกับสหายธรรมที่ปฏิบัติสมาธิภาวนากับผมแล้ว ผมบอกให้เขาทำจิตให้บริสุทธิ์แล้วใช้จิตที่บริสุทธิ์แผ่เมตตาให้ปลวก เหล่านั้น ในที่สุดปลวกก็หมดบ้านของสหายธรรมผู้นั้นไปเอง หรือถ้าหมาจะกัดเราแผ่เมตตาให้หมา หมาก็ไปเอง หรือมดจะตอมขนมที่เรากำลังจะกินxxx็ยังรอจนเรากินหxxx่อนแล้วยังค่อยมาขึ้นจานขนมเลยครับ หรือแมลงวันไม่เคยตอมอาหารที่ผมกำลังกิน จนกว่าผมจะกินหมดจาน แล้วคนที่จะเข้าใจอานุภาพของความเมตตาเมื่อเรารู้จักปฏิบัติสมาธิภาวนาจนกระทั่งจิตของเรามีความรู้จักเมตตาอย่างแท้จริงเท่านั้น |
|
|
|
    |
 |
บูรณ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 ธ.ค.2005, 10:54 pm |
  |
การบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นบรรลุอรหัตผล ในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผม
ตราบใดที่ยังมีคนยึดมั่นใน ปริยัติ ปฎิบัติ ย่อมมีปฎิเวช แต่ใครเลยจะฝ่าด่านกำแพงกิเลสได้
เส้นแบ่งระหว่างอัจฉริยะ กับ เพี้ยนอยู่ที่ความสำเร็จ
ความเป็นอรหันต์ของคฤหัสถ์ ก็คล้ายกัน ต้องเป็นเป็นที่ยอมรับทั่วไป
ดังนั้นสำหรับผม ในยุคนี้ฆราวาสคนใดคิดว่าตนเองบรรลุอรหันต์
ผมฟันธงแบบไม่เกรงใจเลย ว่า คนๆนั้น "จิตวิปลาส"
ไม่ต้องเสียเวลามาอธิบายเลย |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2005, 12:19 am |
  |
ดูก่อน ความเห็นที่ 8 ผู้เจริญ
ความเห็นท่อนบน ของคุณดีมาก แต่การยอมรับของคนทั่วไปนั้น ต้องใช้เวลา ซึ่งของผมปฏิบัติมา ผมก็ดูว่าคนทั่วไปยอมรับหรือไม่โดยการที่เขามาปฏิบัติตามที่ผมบอกแล้วเขาได้รับผลตามที่ผมบอกหรือไม่ คำตอบให้คุณไปถามคนปัตตานีเอาเอง
ส่วนย่อหน้าล่างสุด ผมไม่มีความเห็น มันเป็นเรื่องของคุณ เพราะผมเคยเห็นจุดจบของคนที่พูดแบบคุณมาเยอะแล้ว บางคนเอาผมไปนินทาจนถูกยิงตายไปก็มี เพราะคนที่ว่าเป็นคนดี ไม่เคยมีศตรูที่ไหนมาก่อน 4 ปีผ่านไปยังจับคนร้ายไม่ได้เลยครับ ทั้ง ๆ ที่ก่อนที่เขาจะตาย เขาได้บอกลักษณะคนร้ายอย่างชัดเจน ผมมารู้ทีหลังผมก็เสียใจ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้แล้ว ผมก็ตอบแบบไม่เกรงใจเพราะมันเป็นเช่นนั้นจริง ถ้าสิ่งที่ผมเล่า เป็นสิ่งที่ผมโกหก ผมก็ทำผิดศีลแน่ ๆ ครับ เพราะคุณก็ไม่เกรงใจผม หรือคุณอยากจะพิสูจน์ดูก็ได้ ให้คุณเอาเรื่องของผมไปนินทาให้มาก ๆ คุณจะได้รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดจริงหรือไม่จริง |
|
|
|
    |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2005, 12:34 am |
  |
(ดังนั้นสำหรับผม ในยุคนี้ฆราวาสคนใดคิดว่าตนเองบรรลุอรหันต์
ผมฟันธงแบบไม่เกรงใจเลย ว่า คนๆนั้น "จิตวิปลาส"
ไม่ต้องเสียเวลามาอธิบายเลย)
อย่าว่าผมเล่นแรงเลยนะครับ เพราะความเห็นของคุณเป็นความเห็นที่แรงมาก ผมก็ต้องให้คุณไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยวิธีการแรง ๆ แต่ถ้าคุณมาด้วยความสันติ วิธิพิสูจน์ทางสันติก็ง่ายมาก เพราะผมก็เห็นคนเถียงผมปากสั่น แล้วผมจับมานั่งสมาธิกับผมจนเห็นผลจนเขายอมกราบเท้ามานับไม่ถ้วนแล้ว ก็ให้คุณเลือกวิธีที่คุณจะพิสูจน์ว่าจะพิสูจน์โดยวิธีสันติ หรือวิธีแบบรุนแรง แต่ถ้าคุณไม่ยอมพิสูจน์ ผมต้องถามว่าคุณมีความเป็นลูกผู้ชายหรือไม่ ในเมื่อคุณกล้าว่าคนอื่นด้วยความไม่เกรงใจ คุณก็ต้องยอมรับความไม่เกรงใจจากผู้อื่นที่มีให้คุณเช่นกัน
|
|
|
|
    |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2005, 12:44 am |
  |
เพิ่มเติมจากความเห็นที่ 10
ผมจะไม่ตอบโต้ความเห็นของคุณ หรือใครก็ได้ แล้วที่ผมตอบโต้ นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่า อยากให้คุณพิสูจน์สัจธรรมเท่านั้น แล้วผมอยากจะชี้ให้ชัด ๆ ลงไปว่าสิ่งที่คุณคิดถูกต้องหรือไม่ เพราะผมไม่อธิบายคุณหรอก เสียเวลาอธิบาย ให้คุณรู้เอง เห็นเองจากการปฏิบัติดีกว่า |
|
|
|
    |
 |
บูรณ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2005, 9:29 am |
  |
โอ้โฮ แค่ไม่เชื่อก็แช่งกันด้วย กลัวม๊ากกกกก .... มาก
พิสูจน์แบบสันติวิธี หรือ พิสูจน์แบบรุนแรง ...... กื๋ยสสสสสส น่ากลัวจัง
ในเมื่อคิดว่าสำเร็จอรหันต์ ผมก็คิดว่าคนๆนั้นมันจิตวิปลาสก็แค่นั้นเอง
แล้วผมจะไปพิสูจน์ทำไมกับคนบ้าให้เสียเวลาอันมีค่า
ถ้าคนๆนั้นทำให้สาธารณชนเขายอมรับได้นั่นแหละ อย่าว่าแต่กราบเท้าเลยมากกว่านั้นก็ทำได้
เบื่อพวกฉลาด ..... ฉลาดแต่เรื่องโง่ๆ |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2005, 9:48 am |
  |
ความเห็นที่ 12 ผู้เจริญ
นี่ผมไม่ได้แช่ง แต่ผมให้พิสูจน์ แต่ถ้าคุณไม่พิสูจน์ หรือเห็นคุณค่าในธรรมมะก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ถ้าผมแช่งคุณ สิ่งที่ผมแช่งจะเกิดขึ้นกับคุณทันที ผมเองก็บาปไปด้วย ถ้าหากสิ่งที่ผมบอกให้คุณพิสูจน์ แต่คุณกับคิดว่านี่คือการแช่ง ผมก็ไปห้ามคุณไม่ได้ ผู้มีปัญญาสูงส่งเท่านั้นจึงจะล่วงรู้เจตนาอันบริสุทธิ์ของผมได้ |
|
|
|
    |
 |
บูรณ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2005, 10:06 am |
  |
ถ้าไม่เรียกแช่ง เรียกขู่ใช่ปล่าว
ได้โปรดแช่งเถอะ อย่างน้อยผมก็รู้ว่าไม่ธรรมดา แต่ระวังมันจะย้อนกลับตัวเองด้วย
เรื่องพิสูจน์บอกแล้วไงไปพิสูจน์กับสาธารณชน จะพิสูจน์อย่างไร แบบไหน เรื่องของคุณ
คนปัญญาสูง แต่ความคิดต่ำก็เยอะแยะไป ...... นะ จะ บอก ให้ |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2005, 12:16 pm |
  |
ความเห็นที่ 14 ผู้เจริญ
ที่ผมบอกจะเรียกว่าขู่ก็ได้ แต่ไม่ได้แช่งแต่ประการใด และสิ่งนี้เองที่ทำให้ผมหนักใจ ลำพังคนที่ไม่เชื่อผม ผมไม่กลัวเพราะเป็นสิทธิ์ของเขา หรือสิ่งที่ผมโพสต์ไว้ก็เพื่อทำให้คนรู้และเข้าใจการบรรลุอรหัตผลหรือธรรมมะข้ออื่นใดก็ตามที่ควรเป็นในยุคปัจจุบันเท่านั้น ผมไม่มีเจตาที่จะทำให้คนยอมรับ หรือเชื่อ หรือปฏิบัติตามที่ผมบอก ผมคงไปบังคับให้ใครเชื่อหรือปฏิบัติตาม หรือยอมรับในตัวผมทั้งสิ้น ใครเชื่อ ใครปฏิบัติ คนนั้นก็ได้ สิ่งที่ผมอยากเห็นคือคุณยอมรับตัวคุณเองหรือไม่ คุณปฏิบัติได้หรือไม่จึงเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าผมต้องการให้คนทั้งโลกยอมรับ ก็แค่ดับขันธปรินิพพานแล้วร่างเป็นแก้ว แล้วให้ทีวีมาทำข่าว ผมก็มีความสุขไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องสละสุขที่เป็นสิทธิ์ที่ผมพึงมี พึงได้ เพื่อทำให้คนรู้เห็นเลยครับ ถ้าผมทำแบบนันมนุษย์โลกจะได้อะไร อย่างมากก็แค่รู้ว่าฆราวาสก็บรรลุอรหัตผลได้ก็เท่านั้น รู้เพียงเท่านั้นจะทำให้เราทุกคนพ้นทุกข์อย่างถาวรได้หรือไม่
ผมนึกเสมอว่า ถ้าผมทำคนกราบไหว้บูชาผมทั้งโลก แต่คนที่กราบไหว้นั้นไม่ได้ประโยชน์ที่แท้จริงจากการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง สู้ให้คนด่าผมทั้งโลก อยากด่า อยากว่าอะไรก็ว่าไป จะว่าบ้า ว่าเพี้ยน หรือสติวิปลาส ก็สุดแล้วแต่ ขอเพียงให้คนเหล่านั้นที่ด่าผม ว่าผมเสีย ๆ หาย ๆ แล้วเขามีความสุข ผมก็ยินดีกับสุขที่เขามี แล้วดีที่สุดเขาปฏิบัติได้และเห็นผลอย่างที่ผมบอกทุกประการ จะยอมให้ด่าเช้าด่าเย็นเลย ถ้าเขากล้าด่าผม
ในช่วงปีแรกของการบรรลุอรหัตผล ผลไม่หนักใจ เพราะไม่มันใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ แต่ก็มีคนแล้วคนเล่า ดูถูกการปฏิบัติของผม คนแล้วคนเล่าให้ร้ายนินทาผม จนกระทั่งเขาเหล่านั้นได้รับความเดือดร้อนต่าง ๆ นา ๆ บางคนป่วยก็จุดธูปขอขมาก็หายป่วย บางคนป่วยมาขอขมาที่ตัวผมก็หายจากอาการป่วยอย่างทันตาเห็นเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครก็ตามที่เข้ามาในชีวิตผม หรือเกี่ยวกันกันทางใดก็ตาม เช่นอินเตอร์เน็ต หรือโทรศัพท์ ฯลฯ แต่สิ่งที่ผมต้องทำต่อไปเพื่อนำธรรมมะมาเผยแพร่ พร้อมทั้งบอกวิธีทำให้คนในยุคปัจจุบันพ้นทุกข์
ส่วนการพิสูจน์ในที่สาธารณะชน ก็นึกถึงตอนที่เปิดร้านขายข้าวแกงใหม่ ๆ ถ้าเราไม่ชวนคนเข้าร้าน เขาจะรู้หรือไม่ว่าข้าวแกงของเราอร่อยเพียงใด แล้วถ้าผมชวนคุณมากินข้าวแกงร้านผม คุณไม่มาแต่กลับบอกว่าต้องให้ร้านของผมเป็นที่ยอมรับของสาธารณะชนก่อน ผมก็เอาเกณฑ์ของคนที่เคยมากินข้าวที่ร้านผมเป็นตัววัด นี่คือคำว่าเป็นที่ยอมรับของสาธารณะชนที่เป็นเหตุและผล ตามความหมายที่ผมเข้าใจ ถ้าเปิดร้านแล้วคนยอมรับกันทันทีโดยที่ไม่เคยเปิดร้านมาก่อน ในทางโลกเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ในทางธรรมหรือการยอมรับของสาธารณะชนก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน
คนปัญญาสูง แต่ความคิดต่ำก็เยอะแยะไป ...... นะ จะ บอก ให้ --- อันนี้พิสูจน์ง่ายมาก วิธีการพิสูจน์คือ บุคคล ๆ นั้นมักจะไปล่าวหา ให้ร้ายผู้อื่นก่อน เช่นในที่นี้ผมบอกว่าผมบรรลุอรหัตผล แล้วไม่มีคนอื่นมาบอกเช่นเดียวกับผม มีเพียงผมเท่านั้น แต่มีคำพูดของคนบางคนเขาว่าดังนี้ ในยุคนี้ฆราวาสคนใดคิดว่าตนเองบรรลุอรหันต์ ผมฟันธงแบบไม่เกรงใจเลย ว่า คนๆนั้น "จิตวิปลาส" โดยที่ผมไม่ได้ไปให้ร้ายบุคคลผู้นั้นก่อน นี่เป็นหลักพิสูจน์ว่า คนปัญญาสูง แต่ความคิดต่ำมีเยอะไป พิสูจน์ได้เป็นเหตุและเป็นผลที่เข้าใจได้ดังนี้ |
|
|
|
    |
 |
เบ๊ท่านพุทธทาส
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 ธ.ค. 2005
ตอบ: 65
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2005, 1:56 pm |
  |
ท่านเหล่าสาวกของพระพุทธเจ้า อ่านแล้วรู้สึกมันส์ดุเดือดจริงๆ
"ถ้าโจรจับเธอมัด แล้วเอาเลื่อยเลื่อยจากหนังถึงเนื้อ จากเนื้อถึงกระดูก จากกระดูกถึงเยื่อในกระดูก ภิกษุใดมีความรู้สึกขัดแค้นต่อโจรผู้นั้น ภิกษุนั้นไม่ใช่คนของเรา "
ประโยคนี้บอกให้รู้ว่า อย่าให้ ความโกรธ ความขัดแค้นมาครอบงำจิตใจ แต่ผมว่าเราอย่าอยู่ให้เขาจับเลื่อยดีกว่า
เอตทัคคะ ความเป็นเลิศ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคำยกย่องจากพระพุทธเจ้า เช่น
พระอัญญาโกณฑัญญะเถระ เป็นเลิศด้านรัตตัญญู คือเป็นผู้มีประสบการณ์มาก
พระปุณณมันตานีบุตร เป็นเลิศด้าน แสดงธรรม หรือ พระธรรมกถึก
พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี พระนางผู้นี้เป็นเลิศด้าน ผู้มีประสบการณ์มาก
อันนี้บอกให้รู้ว่าผู้บรรลุแล้วเป็นเลิศต่างกันสุดแล้วแต่บุญวาสนา ส่วนจะมีฤทธิ์กันครบทุกคนหรือไม่นั้นผมไม่รู้ จะรู้ต้องเห็นจริงกับตาก่อนจึงจะเชื่อ
 |
|
|
|
   |
 |
คนจร
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2005, 2:08 pm |
  |
ผมว่าวิปลาสมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าคงเห็นผล |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
05 ธ.ค.2005, 2:21 pm |
  |
ดูก่อนความเห็นที่ 16 ผู้เจริญ
ทุกอย่างมีที่มาจากเหตุ ทุกอย่างก็มีที่ไป คือผล ถ้าเหตุเกิดจากอารมณ์ ผลที่ได้รับย่อมเกิดจากผู้ใช้อารมณ์นั้น การแสดงออกซึ่งเหตุผลที่ปราศจากซึ่งอารมณ์ ทุกคนย่อมทำได้ ผู้ใดทำผิด ผู้รู้ย่อมตำหนิ ติเตือนด้วยเหตุผลและประสบการณ์ ผู้ฉลาดเท่านั้นจะแยกได้ว่าการแสดงเช่นนี้ใช้หลักของเหตุผล หรือใช้หลักของอารมณ์ ไม่ว่าพระพุทธองค์ หรือผมก็บอกเช่นเดียวกันว่าไม่ให้มาเชื่อ จนกว่าจะได้รู้เองเห็นเอง และเมื่อรู้เองเห็นเองก็ให้เชื่อในตนเองกับสิ่งที่รู้เองเห็นตามตามหลักเหตุและผล ถ้าเหตุกับผลไม่สอดคล้องกัน แม้ตนเองปฏิบัติได้แล้วก็อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ตนรู้เห็น จนกว่าเหตุและผลจะสอดคล้องกันดังนี้จึงค่อยเชื่อ เช่นถ้าเราหิวข้าว มีคนบอกให้เราไปว่ายน้ำ ถ้าเราไปว่ายน้ำแล้วสามารถอิ่มได้ เราไปว่ายน้ำทำให้เราอิ่มได้แล้วจึงค่อยเชื่อ แต่ถ้าไปว่ายน้ำแล้วไม่ทำให้อิ่มแต่ทำให้หิวมากขึ้น แสดงว่าการว่ายน้ำไม่ทำให้อิ่มแต่อย่างใดเราก็ไม่ต้องเชื่อ นี่คือหลักการศึกษาพุทธศาสนาที่ได้ผลมากที่สุด |
|
|
|
    |
 |
|