Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 มาดู 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดินกันดีกว่า อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
tanawat30
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256

ตอบตอบเมื่อ: 16 พ.ย.2005, 3:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เริ่มจากชั้นดินก่อน ก่อนที่ผมจะเริ่มอธิบาย ขอยกคำสอนพระพุทธองค์ขึ้นมาพูดสักนิด สาเหตุที่พระพุทธองค์ท่านให้เราใช้กำลังสมาธิมาขจัดอนุสัยให้สิ้นนั้น ในพระไตรปิฎกจะใช้คำว่าถอนเสียสิ้นอนุสัย มั้งครับเคยอ่านเจอแวบ ๆ แล้วผมก็นำคำว่าอนุสัยมาแปลง่าย ๆ ว่าสันดาน เพราะผมอยากจะให้พวกเราปฏิบัติได้ตามคำสอนอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็มาเริ่มกันเลยก็แล้วกัน เริ่มจาก



ชั้นฟ้า



1. คนที่จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 1 ได้ต้องละความกังวล ส่วนนี้จะสอดคล้องกับรูปฌาณ 1 คือมีวิตกวิจารณ์เป็นองค์นำ แค่สวรรค์ชั้นที่ 1 มนุษย์ตาดำ ๆ อย่างพวกเราก็ติดแหงกแล้วครับ นี่ไม่ต้องไปไหนนะครับ



2. คนจะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 2 ได้ต้องละความหลงตนและความถือตัว เมื่อเราละความกังวลได้แล้วก็จะเกิดความปิติขึ้น ความปิติเป็นรูปฌาณ 2 มีปิติเป็นองค์นำ



3. คนจะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 3 ได้ต้องละความโลภ เมื่อเราละความหลงตนและการถือตัวได้แล้วจะเกิดความสุขขึ้น ความสุขเป็นรูปฌาณ 3 มีสุขเป็นองค์นำ



4. คนที่จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 4 ได้ต้องละความเกียจคร้าน เมื่อเราละความโลภแล้วจะทำให้เกิดอุเบกขา วางสุขและทุกข์ทั้งหมดที่เรามีได้ อุเบกขาเป็นรูปฌาณ 4 มีอุเบกขาเป็นองค์นำ



5. คนจะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 5 ได้ต้องมีความขยันหมั่นเพียร เมื่อเราละความขี้เกียจได้แล้วจะมีความขยันหมั่นเพียร แต่ความขยันนั้นยังขยันทำเพื่อตนเองอยู่ ดังนั้นจึงต้องละความริษยาและเห็นแก่ตัว เพราะความเห็นแก่ตัวนำมาซึ่งความริษยาด้วยจึงต้องละไปพร้อมกันทั้ง 2 อย่าง



6. จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 6 ได้ต้องมีความเมตตา แต่ความเมตตานั้นบางครั้งก็ทำให้เกิดความโกรธได้ เมื่อบุคคลอันเป็นที่รักไม่ปฏิบัติตามที่เราแนะนำ ฉะนั้นจึงต้องมาตัดความโกรธออกไปด้วยจึงจะ



7. คนที่จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 7 ต้องเป็นคนรู้จักให้อภัย และเมื่อเป็นเช่นนั้น จะต้องเป็นคนที่ละความพยาบาทได้ ในสวรรค์ชั้น 7 ประกอบด้วย โสดาบันบุคคล สกทาคามี และอนาคามี โดยทั้ง 3 พวกนี้มีความต่างกันอยู่ตรงที่ โสดาบันบุคคลละความโกรธได้แล้วแต่ยังไม่พยายามละความพยาบาทเป็นสมาบัติประจำฌาณ 7 ส่วนสกทาคามีคือละความโกรธได้แล้ว มีความพยายามละความพยาบาทได้แต่ละได้เป็นบางส่วน สกทาคามีเป็นสมาบัติประจำฌาณ 7 และอนาคามี ละความโกรธได้แล้ว และเริ่มละความพยาบาทได้เป็นบางส่วน อนาคามีเป็นสมาบัติประจำฌาณ 8



9 ข้าม 8 ไป เพราะ 8 รวมอยู่กับ 7 คือการบรรลุอรหัตผล กระบวนการนี้ คือการโน้มนำสัญญาทั้งหมดที่มีในสวรรค์ชั้นต่างมาได้หมด ในขณะเดียวกันละสัญญาที่ไม่ดีที่ต้องละจนหมดสิ้นเช่นกัน สัญญานั้นแปลว่าความรู้ความคิด กระบวนการนี้จะนำไปสู่การประหารกิเลสได้โดยเร็ว เมื่อเราสามารถตัดความคิดที่ไม่ดีดังว่าได้แล้วจิตของเราจะบริสุทธิ์ไม่มีความคิดขุ่นมัวมาปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์อันเป็นอาหารของกิเลสให้ผุดขึ้นมาได้อีก ถึงผุดขึ้นมาเราก็รู้ทันแล้วก็กำจัดมันออกไปเสียก่อนที่กิเลสจะมาเผาตัว



10. โพธิญาณ มีความเป็นครูอยู่ในตน มีความปรารถนาดีที่จะนำแนวทางที่ถูกต้องมาเผยแพร่ให้สาธารณะชนรับรู้และปฏิบัติตาม



11. มหาโพธิญาณ คือนอกจากจะมีความปรารถนาดีที่จะนำสิ่งที่ถูกต้องมาเผยแพร่แล้ว ยังสามารถขอบารมีจากเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วยเหลือในภาระกิจที่ตนกำลังทำอยู่ให้ลุล่วงไปด้วยดี



12. อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ หรือพระพุทธเจ้า คือผู้ที่ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์อง มาถึงตอนนี้ผมขออธิบายคำว่าตรัสรู้สักเล็กน้อย คำว่าตรัสรู้นั้น หมายถึง การรับรู้ เรียนรู้และเข้าใจในข้อธรรมและทำให้ประจักษ์แจ้งต่อตนเองและผู้อื่น โดยที่ไม่ได้ไปเอามาจากตำรา ความรู้จากบุคคลอื่น หรือถ้าเอามาสิ่งนั้นต้องสุญหายไปไม่ปรากฏอยู่ ณ. ปัจจุบัน แล้วนำสิ่งนั้นมาสอนคนทั่ว ๆ ไปให้เข้าใจในข้อธรรมได้



13. อภิเทพ มีความเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอยู่ในตน แต่จะไม่สอนมนุษย์โดยตรง แต่เน้นใช้อิทธิฤทธิ์มาช่วยขจัดความทุกข์ให้กับมนุษย์ตามความสามารถที่ตนมี



14. บรมเทพชั้นดวงเพชร มีความเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอยู่ในตน แต่จะไม่สอนมนุษย์โดยตรง แต่เน้นใช้อิทธิฤทธิ์มาช่วยขจัดความทุกข์ให้กับมนุษย์ตามความสามารถที่ตนมีโดยไม่คำนึงว่าตนจะได้รับความเดือดร้อนหรือไม่อย่างไร



15. บรมเทพชั้นดวงแก้ว มีความเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอยู่ในตน แต่จะไม่สอนมนุษย์โดยตรง แต่เน้นใช้อิทธิฤทธิ์มาช่วยขจัดความทุกข์ให้กับมนุษย์ตามความสามารถที่ตนมีโดยไม่คำนึงว่าตนจะได้รับความเดือดร้อนหรือไม่อย่างไร และไม่กลัวแม้กระทั่งต้องสูญเสียความเป็นเทพด้วย



16. อัครบรมเทพ มีความคิดว่าจิตทุกดวงสามารถทำไห้เป็นจิตที่บริสุทธิ์ได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเร็วหรือช้าก็ตาม



ส่วนชั้นดินก็ตรงข้ามกับชั้นฟ้าทั้งหมด



1. มีความกังวล

2. มีความหลงตนและความถือตัว

3. มีความโลภ

4. มีความขี้เกียจ

5. มีความริษยาและเห็นแก่ตัว

6. มีความโกรธ

7. มีความพยาบาท 7 นี่ก็รวม 8 ด้วย ขึ้นกับความเข้มข้น

9. โน้มนำสิ่งไม่ดีทั้งหลายให้มีในตนอย่างถาวร

10. สอนให้คนทำชั่ว

11. สอนให้คนทำชั่วแล้วขอความช่วยเหลือจากผู้ที่วิธีการทำชั่วมากกว่าตนมาประกอบกรรมชั่วร่วมกัน

12. สามารถคิดวธีทำชั่วได้ด้วยตนเอง

13. ช่วยเหลือผู้อื่นในการทำชั่ว

14. ช่วยเหลือผู้อื่นในการทำชั่วไม่ละอายต่อบาปกรรมที่ตนทำ

15. ช่วยเหลือผู้อื่นในการทำชั่วไม่ละอายต่อบาปกรรมที่ตนทำไม่กลัวการลงโทษอย่างถึงที่สุดจากกรรมที่ตนได้รับ

16. คิดว่าจิตวิญญาณทุกดวงมีแต่ความชั่วร้าย



ที่ผมอธิบายได้อย่างนี้ เพราะผมปฏิบัติแล้วรู้เห็นในสมาธิว่าเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้บอกให้ใครมาเชื่อ เพราะแม้แต่พระพุทธองค์เองท่านก็ไม่ได้บอกว่าให้เชื่อท่าน ท่านเพียงบอกว่าให้เราปฏิบัติตามที่ท่านบอก เมื่อเราปฏิบัติได้ตามนี้แล้วจึงค่อยเชื่อ



คราวนี้เราก็มาลองพิจารณาดูว่าสังคมโลกมนุษย์เราทุกวันนี้เป็นอยู่กันอย่างไร เมื่อพิจารณาแล้วว่าเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามนั้นแหล่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและผลที่ควรจะเป็น แล้วพวกเราทั้งหลายอยากจะให้โลกของเราเป็นอย่างไรกันบ้างครับ
 

_________________
ไม่มีเรื่องส่วนตัวนะครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
วรร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 พ.ย.2005, 3:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สัพเพ สังขารา อนิจจา

สัพเพ สังขารา ทุกขา

สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ

 
สาธุ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2005, 2:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดีแล้วครับที่ไม่บอกให้ใครเชื่อ ขอสาธุที่ไม่บอกให้ใครเชื่อนะครับ และขอสาธุกับคนที่ไม่เชื่อด้วยนะครับ

สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง