ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
16 พ.ย.2005, 3:27 pm |
  |
เริ่มจากชั้นดินก่อน ก่อนที่ผมจะเริ่มอธิบาย ขอยกคำสอนพระพุทธองค์ขึ้นมาพูดสักนิด สาเหตุที่พระพุทธองค์ท่านให้เราใช้กำลังสมาธิมาขจัดอนุสัยให้สิ้นนั้น ในพระไตรปิฎกจะใช้คำว่าถอนเสียสิ้นอนุสัย มั้งครับเคยอ่านเจอแวบ ๆ แล้วผมก็นำคำว่าอนุสัยมาแปลง่าย ๆ ว่าสันดาน เพราะผมอยากจะให้พวกเราปฏิบัติได้ตามคำสอนอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็มาเริ่มกันเลยก็แล้วกัน เริ่มจาก
ชั้นฟ้า
1. คนที่จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 1 ได้ต้องละความกังวล ส่วนนี้จะสอดคล้องกับรูปฌาณ 1 คือมีวิตกวิจารณ์เป็นองค์นำ แค่สวรรค์ชั้นที่ 1 มนุษย์ตาดำ ๆ อย่างพวกเราก็ติดแหงกแล้วครับ นี่ไม่ต้องไปไหนนะครับ
2. คนจะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 2 ได้ต้องละความหลงตนและความถือตัว เมื่อเราละความกังวลได้แล้วก็จะเกิดความปิติขึ้น ความปิติเป็นรูปฌาณ 2 มีปิติเป็นองค์นำ
3. คนจะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 3 ได้ต้องละความโลภ เมื่อเราละความหลงตนและการถือตัวได้แล้วจะเกิดความสุขขึ้น ความสุขเป็นรูปฌาณ 3 มีสุขเป็นองค์นำ
4. คนที่จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 4 ได้ต้องละความเกียจคร้าน เมื่อเราละความโลภแล้วจะทำให้เกิดอุเบกขา วางสุขและทุกข์ทั้งหมดที่เรามีได้ อุเบกขาเป็นรูปฌาณ 4 มีอุเบกขาเป็นองค์นำ
5. คนจะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 5 ได้ต้องมีความขยันหมั่นเพียร เมื่อเราละความขี้เกียจได้แล้วจะมีความขยันหมั่นเพียร แต่ความขยันนั้นยังขยันทำเพื่อตนเองอยู่ ดังนั้นจึงต้องละความริษยาและเห็นแก่ตัว เพราะความเห็นแก่ตัวนำมาซึ่งความริษยาด้วยจึงต้องละไปพร้อมกันทั้ง 2 อย่าง
6. จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 6 ได้ต้องมีความเมตตา แต่ความเมตตานั้นบางครั้งก็ทำให้เกิดความโกรธได้ เมื่อบุคคลอันเป็นที่รักไม่ปฏิบัติตามที่เราแนะนำ ฉะนั้นจึงต้องมาตัดความโกรธออกไปด้วยจึงจะ
7. คนที่จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 7 ต้องเป็นคนรู้จักให้อภัย และเมื่อเป็นเช่นนั้น จะต้องเป็นคนที่ละความพยาบาทได้ ในสวรรค์ชั้น 7 ประกอบด้วย โสดาบันบุคคล สกทาคามี และอนาคามี โดยทั้ง 3 พวกนี้มีความต่างกันอยู่ตรงที่ โสดาบันบุคคลละความโกรธได้แล้วแต่ยังไม่พยายามละความพยาบาทเป็นสมาบัติประจำฌาณ 7 ส่วนสกทาคามีคือละความโกรธได้แล้ว มีความพยายามละความพยาบาทได้แต่ละได้เป็นบางส่วน สกทาคามีเป็นสมาบัติประจำฌาณ 7 และอนาคามี ละความโกรธได้แล้ว และเริ่มละความพยาบาทได้เป็นบางส่วน อนาคามีเป็นสมาบัติประจำฌาณ 8
9 ข้าม 8 ไป เพราะ 8 รวมอยู่กับ 7 คือการบรรลุอรหัตผล กระบวนการนี้ คือการโน้มนำสัญญาทั้งหมดที่มีในสวรรค์ชั้นต่างมาได้หมด ในขณะเดียวกันละสัญญาที่ไม่ดีที่ต้องละจนหมดสิ้นเช่นกัน สัญญานั้นแปลว่าความรู้ความคิด กระบวนการนี้จะนำไปสู่การประหารกิเลสได้โดยเร็ว เมื่อเราสามารถตัดความคิดที่ไม่ดีดังว่าได้แล้วจิตของเราจะบริสุทธิ์ไม่มีความคิดขุ่นมัวมาปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์อันเป็นอาหารของกิเลสให้ผุดขึ้นมาได้อีก ถึงผุดขึ้นมาเราก็รู้ทันแล้วก็กำจัดมันออกไปเสียก่อนที่กิเลสจะมาเผาตัว
10. โพธิญาณ มีความเป็นครูอยู่ในตน มีความปรารถนาดีที่จะนำแนวทางที่ถูกต้องมาเผยแพร่ให้สาธารณะชนรับรู้และปฏิบัติตาม
11. มหาโพธิญาณ คือนอกจากจะมีความปรารถนาดีที่จะนำสิ่งที่ถูกต้องมาเผยแพร่แล้ว ยังสามารถขอบารมีจากเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วยเหลือในภาระกิจที่ตนกำลังทำอยู่ให้ลุล่วงไปด้วยดี
12. อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ หรือพระพุทธเจ้า คือผู้ที่ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์อง มาถึงตอนนี้ผมขออธิบายคำว่าตรัสรู้สักเล็กน้อย คำว่าตรัสรู้นั้น หมายถึง การรับรู้ เรียนรู้และเข้าใจในข้อธรรมและทำให้ประจักษ์แจ้งต่อตนเองและผู้อื่น โดยที่ไม่ได้ไปเอามาจากตำรา ความรู้จากบุคคลอื่น หรือถ้าเอามาสิ่งนั้นต้องสุญหายไปไม่ปรากฏอยู่ ณ. ปัจจุบัน แล้วนำสิ่งนั้นมาสอนคนทั่ว ๆ ไปให้เข้าใจในข้อธรรมได้
13. อภิเทพ มีความเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอยู่ในตน แต่จะไม่สอนมนุษย์โดยตรง แต่เน้นใช้อิทธิฤทธิ์มาช่วยขจัดความทุกข์ให้กับมนุษย์ตามความสามารถที่ตนมี
14. บรมเทพชั้นดวงเพชร มีความเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอยู่ในตน แต่จะไม่สอนมนุษย์โดยตรง แต่เน้นใช้อิทธิฤทธิ์มาช่วยขจัดความทุกข์ให้กับมนุษย์ตามความสามารถที่ตนมีโดยไม่คำนึงว่าตนจะได้รับความเดือดร้อนหรือไม่อย่างไร
15. บรมเทพชั้นดวงแก้ว มีความเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอยู่ในตน แต่จะไม่สอนมนุษย์โดยตรง แต่เน้นใช้อิทธิฤทธิ์มาช่วยขจัดความทุกข์ให้กับมนุษย์ตามความสามารถที่ตนมีโดยไม่คำนึงว่าตนจะได้รับความเดือดร้อนหรือไม่อย่างไร และไม่กลัวแม้กระทั่งต้องสูญเสียความเป็นเทพด้วย
16. อัครบรมเทพ มีความคิดว่าจิตทุกดวงสามารถทำไห้เป็นจิตที่บริสุทธิ์ได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเร็วหรือช้าก็ตาม
ส่วนชั้นดินก็ตรงข้ามกับชั้นฟ้าทั้งหมด
1. มีความกังวล
2. มีความหลงตนและความถือตัว
3. มีความโลภ
4. มีความขี้เกียจ
5. มีความริษยาและเห็นแก่ตัว
6. มีความโกรธ
7. มีความพยาบาท 7 นี่ก็รวม 8 ด้วย ขึ้นกับความเข้มข้น
9. โน้มนำสิ่งไม่ดีทั้งหลายให้มีในตนอย่างถาวร
10. สอนให้คนทำชั่ว
11. สอนให้คนทำชั่วแล้วขอความช่วยเหลือจากผู้ที่วิธีการทำชั่วมากกว่าตนมาประกอบกรรมชั่วร่วมกัน
12. สามารถคิดวธีทำชั่วได้ด้วยตนเอง
13. ช่วยเหลือผู้อื่นในการทำชั่ว
14. ช่วยเหลือผู้อื่นในการทำชั่วไม่ละอายต่อบาปกรรมที่ตนทำ
15. ช่วยเหลือผู้อื่นในการทำชั่วไม่ละอายต่อบาปกรรมที่ตนทำไม่กลัวการลงโทษอย่างถึงที่สุดจากกรรมที่ตนได้รับ
16. คิดว่าจิตวิญญาณทุกดวงมีแต่ความชั่วร้าย
ที่ผมอธิบายได้อย่างนี้ เพราะผมปฏิบัติแล้วรู้เห็นในสมาธิว่าเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้บอกให้ใครมาเชื่อ เพราะแม้แต่พระพุทธองค์เองท่านก็ไม่ได้บอกว่าให้เชื่อท่าน ท่านเพียงบอกว่าให้เราปฏิบัติตามที่ท่านบอก เมื่อเราปฏิบัติได้ตามนี้แล้วจึงค่อยเชื่อ
คราวนี้เราก็มาลองพิจารณาดูว่าสังคมโลกมนุษย์เราทุกวันนี้เป็นอยู่กันอย่างไร เมื่อพิจารณาแล้วว่าเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามนั้นแหล่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและผลที่ควรจะเป็น แล้วพวกเราทั้งหลายอยากจะให้โลกของเราเป็นอย่างไรกันบ้างครับ |
|
_________________ ไม่มีเรื่องส่วนตัวนะครับ |
|
    |
 |
วรร
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
18 พ.ย.2005, 3:10 pm |
  |
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ สังขารา ทุกขา
สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ
|
|
|
|
|
 |
สาธุ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
19 พ.ย.2005, 2:58 pm |
  |
ดีแล้วครับที่ไม่บอกให้ใครเชื่อ ขอสาธุที่ไม่บอกให้ใครเชื่อนะครับ และขอสาธุกับคนที่ไม่เชื่อด้วยนะครับ
สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ |
|
|
|
|
 |
|