Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้าอย่างไร อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ย.2005, 5:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ใจเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลายนั้น ต้องเข้าใจว่าธรรมทั้งหลายคืออะไรก่อน ธรรมทั้งหลายในความหมายนี้ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่น แต่หมายถึงขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ใจเป็นหัวหน้าหมายถึงเป็นหัวหน้าในเรื่องของการตัดสินใจ ซึ่งใจต้องเป็นใหญ่กว่าซึ่งขันธ์ทั้งห้านั้นจะต้องตามใจ ใจว่าอย่างไรก็ดำเนินการตามไปเป็นกระบวนตามลักษณะการเกิดดับต่อเนื่องของขันธ์ห้าที่เป็นเจตสิกธรรมประกอบจิต



เมื่อใจทำหน้าที่เป็นหัวหน้าตัดสินใจในเรื่องต่างๆอยู่เสมอ ขันทั้งห้าจะต้องร่วมมือให้ความช่วยเหลือต่างๆแล้วแต่ใจซึ่งเป็นหัวหน้านั้นจะบัญชาให้ทำอะไร เหตุที่ใจต้องอาศัยขันธ์ทั้งเพื่อหลายดำเนินกิจกรรมของใจให้ประสบผลสำเร็จที่ต้องการ ก็เพราะว่าใจนั้นไม่อยู่ในสภาพที่จะทำได้เอง ใจนั้นไม่มีความรู้เอง แต่อาศัยความรู้ทางวิญญาณ วิญญาณที่มีความรู้นั้นก็เก็บข้อมูลความรู้ไว้ในสัญญาความจำที่เป็นคลังแห่งข้อมูล ใจนั้นเป็นหัวหน้าที่จะบัญชาให้มีการเอาข้อมูลนั้นออกมาก ส่วนสังขารนั้นเป็นผู้ปรุงแต่งธรรมต่างๆเป็นข้อมูลหรือเป็นผู้สร้างข้อมูลไปให้สัญญาเก็บไว้ในคลังข้อมูล เวทนานั้นเป็นผู้วิเคราะห์ข้อมูลว่าข้อมูลนั้นดีหรือไม่ดี อร่อย พอใจหรือไม่พอใจ โดยเป็นผู้เข้าไปเสพเสวยในทุกข์สุขและไม่ทุกข์ไม่สุขทั้งปวง แล้วสัญญาก็จะเป็นผู้รวบรวมรสแห่งอารมณ์นั้นไว้ในคลังแห่งข้อมูลตนเอง



แต่ทั้งสังขาร และเวทนาก็ไม่สามารถจะสร้างข้อมูลได้เอง แต่ต้องอาศัยรูปจากมหาภูตรูปสี่ที่เรียกว่าร่างกายที่มีทวารรับข้อมูลต่างๆมาปรุงแต่ง เหมือนพ่อครัวที่ได้อาหารมาแล้วปรุงแต่ง แต่อาศัยผู้อื่นหาอาหารมาให้ ทั้งนี้ทั้งหมดนี่มีใจเป็นหัวหน้าในการบัญชาการ



ใจนั้นอาศัยข้อมูลในสัญญาทั้งหมดแล้วจึงสามารถจะพิจารณาได้ว่าจะตัดสินใจในเรื่องต่างๆอย่างไร ถ้าข้อมูลนั้นเป็นอกุศลกรรมที่จะทำให้ใจเห็นว่าการประกอบอกุศลกรรมควรทำ ใจก็ตัดสินใจลงไปและทำให้ขันธ์ทั้งหมดดำเนินกิจกรรมประกอบบาปกรรมนั้นขึ้นมา แต่ถ้าใจได้ข้อมูลที่เป็นกุศลกรรมมีกำลังแล้ว ใจก็ตัดสินใจประกอบกุศลกรรม ขันธ์ทั้งหxxx็ดำเนินประกอบกิจกรรมที่เป็นกุศล จะเห็นว่าอำนาจแห่งกรรมนั้นเป็นปัญญาของใจด้วยในการที่จะตัดสินใจ ถ้าผู้เป็นหัวหน้าได้ข้อมูลที่ไม่ดีก็ตัดสินใจที่ไม่ดี ถ้าได้ข้อมูลดีก็ตัดสินใจดี ข้อมูลนั้นล้วนได้มาแต่การผ่านพบของขันธ์ทั้งหลาย ที่ได้เกิดดับเวียนว่ายสืบต่อกันมาในสังสารวัฏฏ์ มีกรรมมีวิบากหมุนเวียนตามกันมา



การเก็บข้อมูลต่างๆผ่านภพชาติอันไม่รู้จบนั้น เพราะธรรมที่เป็นเจตสิกประกอบจิตนั้นเกิดดับต่อเนื่อง เมื่อจิตดวงเก่าดับ ดวงใหม่ที่เกิดขึ้นก็จะรับข้อมูลของจิตดวงเก่าที่ดับไปมาเก็บไว้ และส่งให้จิตดวงใหม่ที่จะเกิดต่อไป เป็นกลไกเช่นนั้นทำให้มีการเก็บข้อมูลไว้



การตัดสินใจของใจที่เป็นหัวหน้าในธรรมทั้งหลายนี้ เรียกว่าใจนั้นเองเป็นผู้พิจารณาตัดสิน



 
max
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ย.2005, 8:24 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุครับท่านอาคันตุก

ขออนุญาตถามครับ

1. รูป หมายถึง ร่างกาย

2. เวทนา หมายถึง การรับรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง 6

3. สัญญา หมายถึง ความจำ

4. สังขาร หมายถึง การปรุงแต่

5. วิญญาณ หมายถึง จิต หรือใจ

รูป จัดเป็นรูปธรรม ส่วนเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จัดเป็นนามธรรม รูปธรรม หมายถึง สสารและพลังงาน สามารสัมผัส จับต้องได้ ส่วน นามธรรม หมายถึง ธรรมชาติ อีกชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่สสาร ไม่ใช่พลังงาน สัมผัสแตะต้องไม่ได้ แต่มีอยู่จริง ดังนั้นบางครั้งเราจึงเรียกชีวิตว่า ขันธ์ 5 บางครั้งก็เรียกชีวิตว่า รูป-นาม

ใจเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลายนั้นแต่ใจก็เป็นส่วนหนึ่งในขันธ์ทั้งห้าผมเข้าใจดังนี้ถูกหรือไม่ครับ?



 
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ย.2005, 1:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ทราบคุณเข้าใจสิ่งเรียกว่ารูปอย่างไร

แต่สิ่งที่เรียกว่ารูป ที่มีบัญญัติไว้มีดังนี้

มหาภูตรูป 4 เป็นรูป ที่ประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ

ประสาทรูป ตา,หูจมูก,ลิ้น,กาย,ใจ

โคจรรูป ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส (ส่วนโผฏฐัพพะ จัดเข้าในมหาภูตรูป ๔)

ภาวะรูป ได้แก่ อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ

หทัยรูป ได้แก่หทัยวัตถุ

อาหารรูป ได้แก่อาหารที่กินเกิดเป็นโอชา

วิญญัติรูป ได้แก่ กายวิญญัติ ไหวกายให้รู้ความ วจีวิญญัติ ไหววาจาให้รู้ความ

วิการรูป ได้แก่ ลหุตา ความเบา (เช่นเบากาย เบาจิต) มุทุตา ความอ่อน กัมมัญญตา ความควรแก่การงาน

ลักขณะรูป ได้แก่ ความเกิดขึ้นได้, ความสันตติ สืบต่อได้, อนิจจตา ความสลายไม่ยั่งยืน,

นี่คือรูปตามพจนานุกรมพุทธศาสน์

ซึ่งไม่ได้แยกรูปตามหลักของสสารและพลังงาน และไม่ได้หมายว่าใจเป็นส่วนของขันธ์ห้าแต่อย่างใด
 
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ย.2005, 3:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นามธรรมอย่างหนึ่งคือ จิต

ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ อธิบายว่า จิต คือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ สภาพที่นึกคิด ความคิด ใจ

ส่วนตามหลักอภิธรรม จำแนกจิตเป็น อกุศลจิจ กุศลจิต วิบากจิต กิริยาจิต เป็นต้น



นามธรรมอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ เจตสิก อธิบายว่า ธรรมที่ประกอบจิต เช่น ความโลภ ความหลง ความโกรธ ความศรัทธา เมตตา สติ ปัญญา ทั้งหมดมี 52 อย่าง



และอีกอย่างได้แก่ นิพพาน
 
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ย.2005, 3:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ส่วนนามในขันธ์ห้านั้นเป็นเจตสิก ถ้าเราจะเข้าใจเจตสิกนั้นมีผู้ยกตัวอย่างว่า จิตเหมือนน้ำ เจตสิกเหมือนสี เมื่อเอาสีใดใส่น้ำ น้ำกลายเป็นสีนั้นไป เพราะสีไปประกอบน้ำ



แต่ถ้าอธิบายขันธ์ห้า คือเจตสิกนั้นให้เป็นหน้าที่ ก็จะมองว่าเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นแต่หน้าที่หนึ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น ใจก็ทำหน้าที่อย่างหนึ่งคือหน้าที่ตัดสินใจจากข้อมูลของนามในขันธ์ห้า อันนี้เป็นการจำแนกเพื่อการทำความเข้าใจ



เหมือนคน เมื่อเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ก็มีหน้าที่ในการดูแลในจังหวัดนั้นตามอำนาจหน้าที่

เมื่อเป็นสามี ก็มีหน้าที่อย่างสามี

เมื่อเป็นพ่อก็มีหน้าที่ของพ่อ

เมื่อขับรถพาลูกและภรรยาไปเที่ยว ก็มีหน้าที่เป็นคนขับรถ เวลาขับรถถ้าลูกร้องขอกินนม จะเอานมให้ลูกเพื่อทำหน้าที่ของพ่อ หน้าที่ของคนขับรถก็เสียไป

จะเห็นว่าหน้าที่นั้นมาประกอบกับคน ทำให้คนเป็นลักษณะต่างๆ

จิตก็เหมือนกันถ้ามีอะไรไปประกอบมันก็ทำหน้าที่ต่างๆ และหลายหน้าที่ต่างอิงอาศัยกัน



ดังนั้นจึงไม่ควรมองว่าขันธ์ห้าเป็นอะไรทั้งหมดของชีวิต

เพราะเมื่อเราพูดถึงปัญญา ก็ไม่ว่าตัวปัญญาอยู่ในส่วนใดของขันธ์ห้า เพราะไม่เกิดตามกระบวนการเกิดของขันธ์ห้าโดยตรง
 
max
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ย.2005, 5:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุครับท่านอาคันตุก

ที่นำธรรมชั้นสูงมาแสดง

จากการที่ผมได้ศึกษามาผมมีความเข้าใจดังนี้ครับ

1.รูปไม่รู้อะไร

2.นามเป็นตัวรู้

และจากการปฏิบัติธรรมผมฝึกปฏิบัติคล่าวๆดังนี้ครับ

เวลาเดิน ยืน นั่ง หรือนอน ให้กำหนดเป็น (โยนิโสมนสิการ) รูปเดินเป็นต้น

เวลาเห็น ให้กำหนดเป็น นามเห็น (แต่วัตถุที่เห็นเป็นรูป)

เวลาได้ยิน ให้กำหนดเป็น นามได้ยิน(แต่เสียงที่ได้ยินเป็นรูป)

เวลาได้กลิ่น ให้กำหนดเป็น รูปกลิ่น (แต่นามรู้)

เวลารู้รส ให้กำหนดเป็น รูปรส (แต่นามรู้)

เวลาฟุ้ง ให้กำหนดเป็น นามฟุ้งเป็นต้น

แต่ทั้งนี้ต้องเอาอารมณ์ปัจจุบันเป็นใหญ่และเอาอารมณ์ที่กระทบแรงที่สุด

ส่วนในพระอภิธรรมนั้นผมเองเป็นเพียงผู้เริ่มศึกษาใหม่และเป็นไปค่อนข้างช้า

เพราะมาเริ่มต้นก็ตอนอายุเหลือน้อยแล้วครับสายตาก็ไม่ค่อยจะดี แต่ใจยังสู้ครับจะพยายามศึกษาให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นเสบียงตุนไว้ชาติต่อๆไปครับ

ขออนุญาตถามต่อครับการปฏิธรรมของผมที่ใช้รูปนามเป็นอารมณ์ดังที่ผมอธิบายมาข้างต้นพอเป็นเสบียงติดตัวไปในชาติต่อๆได้ไหมครับ

 
lee123
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ย.2005, 11:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อาจารย์เขียนบ่อยๆนะคะ เป็นที่เรียนรู้สำหรับหนูได้อย่างดีเยี่ยมค่ะ
 
เฟ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2005, 12:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่เข้าใจเลย ข้อความของคุณ อาคันตุก สร้างวิกิจฉาให้ข้าพเจ้าเต็มไปหมด

หัวหน้า หมายถึงอะไร

การที่ต้องพึ่งขันธ์ห้า ช่วยตัดสินใจ การที่อยู่ในฐานะผู้ช่วย มันกำกึ่ง เพราะ ผู้ช่วย ไม่ใช่นาย และไม่ใช่ลูกน้อง แต่ก็เป็นได้ทั้งนายและลูกน้อง

มันก็เลยอ่านแล้วรู้สึกขัดแย้ง มีคำอธิบายที่ฟังดูราบเรื่อนกว่านี้มั้ยค่ะ

แสดงว่าศึกษามากมันคงยิ่งวกวนน่าดู ใครจะหลุดไปง่ายๆ คงไม่มี ....อะ...พยายามกันต่อไปพวกเรา
 
ผู้เดินทาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2005, 1:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตามความเห็นของผมน่ะครับว่า ธรรมทั้งหลาย ๆ มีใจเป็นหัวหน้า ดังนี้ น่ะครับ

ใจ (จิต) เป็นตัวนำคือเกิดก่อน ที่เกิดตามมาก็ คือ เจตสิก 52 ตามสำควรแก่ขณะนั้น ๆ

 
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2005, 7:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ภาษาธรรมต้องปฏิบัติควบคู่ไปด้วยจึงจะเข้าใจได้ ง่ายขึ้น น้อยคนนักที่อ่านอย่างเดียวแล้วจะเข้าใจบางทีเข้าใจขณะอ่าน แต่พอผ่านไปไม่เท่าไรก็ไม่เข้าใจอีกแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องปฏิบัติไปด้วยครับ ศีลเป็นเบื้องต้น สมาธิเป็นเบื้องกลาง ปัญญาเป็นเบื้องปลาย มีสติคุมไว้ตลอดความสำเร็จจะเป็นของทุกท่าน
 
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2005, 10:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ใจ มีชื่อว่า มโนธาตุ หรือมโนวิญญาณธาตุ มโนวิญญาณธาตุจะเกิดต่อจากปัญจะวิญญาณ คือวิญญาณในขันธ์ห้าที่เกิดจาก หู ตา จมูก ลิ้น กาย ( 5 ทาง) เกิดก่อน แล้วหน้าที่ของใจจึงเกิดตามมา ปัญจะวิญญาณเป็นอารมณ์ของมโนธาตุ



เข้าใจง่ายๆว่าใจเป็นมโนธาตุ หรือมโนวิญญาณธาตุ แค่นี้ก็พอก่อน
 
มัคคนายก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 พ.ย.2005, 5:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตั้งประเด็นคำถามและมีอรรถธิบาย อ่านแล้วขัดข้องพิกล

ใจเป็นหัวหน้าในธรรมทั้งหลาย และเรียกว่าเป็นผู้พิจารณาตัดสินใจ โดยมีขันธ์ทั้งห้าจะต้องร่วมมือให้ความช่วยเหลือ ?



ถ้าจะตั้งคำถามแบบย้อนกลับว่า คุณอาคันตุก มั่นใจได้อย่างไรว่า ชาติหน้าภพหน้า คุณจะมีขันธ์ห้าในภพความเป็นมนุษย์หรือ ? ถ้าเป็นสัมภเวสี เทวดา พรหม อันมีสภาพดวงจิตหรือ ดวงใจหรือ ดวงวิญญาณ แล้วจะเอาขันธ์ห้าที่ไหนมาช่วยพิจารณาตัดสินใจ ?



ทั้งหมดที่คุณเข้าใจมันเป็นแค่เป็นสมมติบัญญัติ เปรียบเทียบในเหตุบางเรื่องบางตอนเท่านั้น

มิใช่หมายความว่าจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป



จะว่าด้วยสามัญชน ย่อมมีอุปาทาน คือความยึดถือในขันธ์ห้า ว่า เอตํ มม นี่เป็นของเรา

เอโส หมัสมิ เราเป็นนี่ เอโส เม อัตตา นี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา คือมีความยึดถือว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของเรา เราเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ขันธ์ห้าเป็นอัตตาตัวตนของเรา เพราะฉะนั้นจะเรียกว่า อุปาทานขันธ์ เมื่อขันธ์ห้ามีสิ่งครอบงำด้วยอำนาจของกิเลส คืออุปาทาน ความยึดถือ พร้อมทั้งตัณหาความทะยานอยาก ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากอวิชชา คือความไม่รู้สัจจะ จึงทำให้เกิดตุณหา เกิดอุปาทานแล้วก็ก่อกรรมต่าง ๆ ทั้งติดในอารมณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาทางอายาตนะหก กลายเป็นอุปธิ คือเครื่องเข้าใจทรงใจ วุ่นวายอยู่กับเครื่องทรงใจ ดังจะพึงเห็นได้ว่า บุคคลเป็นอันมากนั้นกระสับกระส่ายวุ่นวายอยู่ด้วยเรื่องของขันธ์ห้า เรื่องของกิเลส เรื่องของกรรม และเรื่องของอารมณ์ทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะหก จึงต้องเป็นทุกข์เดือดร้อน และก็ไม่สามารถเปลื้องทุกข์ได้ เมื่อบรรดาเครื่องทรงใจ(คุณอาคันตุกบอกว่า การเก็บข้อมูลต่างๆ ผ่านภพชาติอันไม่รู้จบ ....) เหล่านี้ก็ปกปิดไม่ได้ให้ " ปัญญา" เห็น " สัจจะ " จึงเป็นการพอกพูนอวิชชา คือความไม่หยั่งรู้ในทุกข์ พร้อมทั้งโมหะคือความหลงให้ทวีมากยิ่งขึ้น



อันที่จริงขันธ์ห้า หรือนามรูปนี้เป็นวิบากขันธ์ คือขันธ์ที่เป็นวิบาก คือเป็นผลของกิเลสกรรม เป็นสิ่งที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล แต่ว่าเป็นอัพยากตธรรม คือเป็นกลาง ๆ ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป เมื่อเกิดมา จึงต้องพร้อมทั้งความแก่ ความเจ็บและความตาย วิบากขันธ์จึงเป็นเครื่องมือที่จะทำกรรมทั้งหลาย ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ทั้งกุศล ทั้งอกุศล ฉะนั้นวิบากขันธ์นี่แหละก็เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติสติปัฏฐาน ในการอบรมสมาธิ อบรมปัญญา เมื่อสติกำหนดให้รู้จักขันธ์ห้าที่เกิดดับ ๆ ทุกขณะจิตเป็นปัจจุบันธรรม



ดังนั้นจึงต้องอบรมสติปัญญาให้ว่องไว และให้บังเกิดอย่างฉับพลันจึงจะกันจะตัดจะดับได้ ไม่เช่นนั้นตัณหาอุปาทานก็จะวิ่งเข้าจับ เมื่อปัญญารู้ถึงสัจจะความเกิดของตัณหาอุปาทานก็ย่อมรู้เหตุปัจจัยในขันธ์ห้าคือ อายาตนะหกทั้งภายในภายนอก ฉะนั้นจึงให้หมั่นพิจารณาการแยกขันธ์ห้า ว่าเป็นความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา และนี่แหละเป็นตัวทุกข์ จึงไม่ควรที่จะมีความเห็นยึดถือว่า นี่เป็นของเรา เราเป็นนี่ นี่เป็นอัตตาตัวตน



จะขอแนะนำผู้เข้าชมกระทู้ทุกท่าน โปรดไปหาอ่านหนังสือ " ธรรมกถาในการอบรมกรรมฐาน " และ " สัมมาทิฏฐิ " พระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร ฯ พระองค์ท่านใช้สำนวนอ่านเข้าใจง่าย ๆ ไม่สับสน และจะทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง
 
ลุงเผือก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 พ.ย.2005, 12:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ภาษาธรรมมากย่อมมีการตีความมาก



เหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมที่ชอบคิดและพิจารณาทำความเข้าใจในธรรม อีกทั้งมีจิตฝ่ายกุศล ยินดีถ่ายทอดต่อบุคคลอื่นด้วยความปิติในธรรมที่ได้พิจารณาแล้ว



ขออนุโมทนาด้วยครับ







ความเข้าใจและพึงพอใจในสมมติบัญญัติทางด้านภาษาธรรมย่อมแตกต่างกันไปตามจริต



ผู้ตั้งกระทู้ตั้งสมมติคำว่า "ใจ" ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเฉพาะในธรรมที่เกี่ยวกับ"ขันธ์ห้า"



ผู้อ่านกระทู้ที่สนใจในภาษาธรรม เมื่ออ่านดูย่อมต้องแปลภาษาที่สมมติไว้ เข้าหาสมมติที่ตนเองเข้าใจ



ผมขออนุญาตต่อยอดสมมติภาษาข้างต้นเข้าหาสมมติภาษาที่ผมเข้าใจด้วยอีก 1 ความเห็นนะครับ



กล่าวโดยสรุป



หากใจ(สมมติบัญญัติในที่นี้)ยังไม่ประกอบด้วยข้อมูล(สมมติ)ที่เป็นสัมมาทิฏฐิในธรรม อันเป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศลหรือที่เป็นกลางย่อมก่อให้เกิดอัตตา เป็นเหตุให้ต้องเกิดดับผ่านภพชาติต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด







สัมมาทิฏฐิหรือความเห็นที่ถูกต้องคือธรรมที่น่าศึกษาและพิจารณาให้เข้าใจ และน้อมนำมาปฎิบัติด้วยสมาธิที่ได้ฝึกฝนขึ้นมา เพื่อกำจัดอาสวะออกไปจากใจ(สมมติบัญญัติในที่นี้) เพื่อให้การแสดงออกทางวาจาและทางกายที่ตามมาจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมและดีงาม ทำให้สิ่งทั้งหลายอยู่รวมกันอย่างสันติ ไม่เบียดเบียนกัน อย่างน้อยก็แสดงออกต่อกันโดยธรรมที่ทำให้เป็นพรหม



เปิดกระทู้ "สัมมาทิฏฐิของอุบาสกอุบาสิกา" (2 ใน 4 ของพุทธบริษัท)อีกกระทู้ดีไหมครับ?

 
เฟ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 พ.ย.2005, 12:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จิบกาแฟมั้ยค่ะ นั่งอ่านใจเย็นๆ



ภาษามันทำมัยถึงยุ่งยากนักนะ จาตีความว่าอะไร บางทีอ่านเหมือนกันยังเข้าใจคนละอย่างเลย ตอนนี้อ่านรอบสองก็พอเข้าใจบ้างนิดหน่อย อะ! แล้วคำเรียบๆ ง่ายๆ ว่า จิตเป็นนาย กายเป็น บ่าว ล่ะคะ ลองอธิบายให้ดิฉันฟังหน่อยซิค่ะ เพราะพอเอาความเข้าใจเรื่องนี้ มาอ่านกระทู้นี้แล้วทำให้งงค่ะ...... ขอบคุณทุกท่านที่เมตตามาให้ความรู้ ให้ความคิดเห็นกันนะค่ะ.... ......ได้สนทนาธรรมแลกเปลี่ยนกันแบบนี้รู้สึกดีมากๆ เลย
 
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 พ.ย.2005, 2:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอขอบคุณท่านมัคคนายกที่ช่วยอธิบายธรรมให้เข้าใจได้ชัด



ประเด็นที่เข้าใจว่าใจเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้า ยังค้างคาอยู่ เมื่อบัญญัติขันธ์ห้า ไม่ได้บัญญัติว่าใจอยู่ในส่วนใดของขันธ์ห้า

แต่เมื่อบัญญัติอายตนะ จึงบัญญัติใจคือมโน และยังมีมโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ และใจนั้นอยู่หลายแห่ง

ดังจะยกมาในวิปัสสนาภูมิ6http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=dhammajak&No=3390
 
ขุนเดช
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 พ.ย.2005, 4:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุโมทนาครับ คุณอา
 
satima
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 120

ตอบตอบเมื่อ: 11 พ.ย.2005, 12:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อันที่จริงขันธ์ห้า หรือนามรูปนี้เป็นวิบากขันธ์ คือขันธ์ที่เป็นวิบาก คือเป็นผลของกิเลสกรรม เป็นสิ่งที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล แต่ว่าเป็นอัพยากตธรรม คือเป็นกลาง ๆ ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป เมื่อเกิดมา จึงต้องพร้อมทั้งความแก่ ความเจ็บและความตาย วิบากขันธ์จึงเป็นเครื่องมือที่จะทำกรรมทั้งหลาย ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ทั้งกุศล ทั้งอกุศล ฉะนั้นวิบากขันธ์นี่แหละก็เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติสติปัฏฐาน ในการอบรมสมาธิ อบรมปัญญา เมื่อสติกำหนดให้รู้จักขันธ์ห้าที่เกิดดับ ๆ ทุกขณะจิตเป็นปัจจุบันธรรม



สาธุค่ะ ท่านมัคคนายก





ดังนั้นจึงต้องอบรมสติปัญญาให้ว่องไว และให้บังเกิดอย่างฉับพลันจึงจะกันจะตัดจะดับได้ ไม่เช่นนั้นตัณหาอุปาทานก็จะวิ่งเข้าจับ เมื่อปัญญารู้ถึงสัจจะความเกิดของตัณหาอุปาทานก็ย่อมรู้เหตุปัจจัยในขันธ์ห้าคือ อายาตนะหกทั้งภายในภายนอก ฉะนั้นจึงให้หมั่นพิจารณาการแยกขันธ์ห้า ว่าเป็นความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา และนี่แหละเป็นตัวทุกข์ จึงไม่ควรที่จะมีความเห็นยึดถือว่า นี่เป็นของเรา เราเป็นนี่ นี่เป็นอัตตาตัวตน



สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
satima
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 120

ตอบตอบเมื่อ: 11 พ.ย.2005, 12:20 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อะ! แล้วคำเรียบๆ ง่ายๆ ว่า จิตเป็นนาย กายเป็น บ่าว ล่ะคะ ลองอธิบายให้ดิฉันฟังหน่อยซิค่ะ จากคำถามของคุณเฟ



จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ก็คือ จิตสั่งอะไร กายก็ต้องทำตามแต่ความจริง สำนวนนี้น่าจะหมายถึง ตัวตัณหา (ความทะยานอยากของจิต) มากกว่าค่ะ



เมื่อใดที่มีความทะยานอยากของจิต ไม่ว่าจะอยากทำอะไร แม้แต่อยากจะพูด อยากจะคิด เราไม่เคยห้ามมันได้เลย ได้แต่กดข่มมันได้เป็น คราวๆ เท่านั้น เมื่อเผลอไผลไปเมื่อใด มันจะทำตามความต้องการทะยานอยากของจิต (ตัณหา) ทันที



ทุกวันนี้ เราถูกสั่งให้ทำทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นเช้า ต้องลุกขึ้นทำกิจวัตรประจำวัน แล้วไปทำงาน หากิน หาอยาก หาทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว คิดว่าโตขึ้นจะสบายไม่ต้องถูกผู้ใหญ่บังคับ พอโตขึ้นก็อยากเรียนดีๆ จะได้งานสบายๆ พอโตมากขึ้นอีก ก็อยากจะมีสุขภาพดีๆ ไม่ต้องป่วยไข้ พอป่วยไข้มากๆ ก็อยากตายให้หมดเรื่องหมดราว สรุปแล้วมันก็อยากไปเรื่อยๆ จนถึง อยากให้ชาติหน้าเกิดมาดีกว่านี้ สบายกว่านี้ จิตมันใช้ให้เราคิดไปเรื่อยเปื่อย ห้ามมันไม่ให้คิดก็ไม่ได้ แล้วจะไม่ว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ได้อย่างไรค่ะ แค่คิด ยังห้ามมันไม่ได้ ต้องใช้กาย (สมอง) นี้ คิดอยู่ไม่หยุดหย่อนเลย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
max
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 พ.ย.2005, 8:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การบอกธรรม นับว่าเป็นธรรมทาน ทานหลายๆ ชนิดมีอานิสงส์น้อยกว่าธรรมทาน เพราะการให้ธรรมะเป็นทาน นับว่าเป็นการให้ทานชนิดสูงสุด องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าได้ตรัสยกย่องว่า เป็นทานที่เหนือกว่าทานใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นการให้แสงสว่างของชีวิตหรือเรียกว่าการให้ปัญญาคือ อาวุธที่จะคอยฟันฝ่าอุปสรรคอันได้แก่ วิบากขันธ์ที่เกิดขึ้นมาที่มีรูปร่างกายจิตใจ ล้วนแต่เป็นทุกข์ทั้งสิ้น



สาธุครับ ท่านมัคคนายก

อนุโมทนาทุกท่านครับ
 
ผู้เดินทาง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 พ.ย.2005, 9:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ที่ท่านแยกรูปนาม ให้เป็น ขันธ์ อายตนะ ธาตุ เป็นสัจจะ จุดประสงค์ก็เพื่อ ไม่ให้ไปยึดส่วนใด ๆ รูป-นามว่าเป็นเราเป็นเขา ดังอุปมาที่ท่านยกมาเปรียบเทียบบ่อยๆ คือ สรีระยนต์ หรือ ยนต์ คือ สรีระ หมายถึงว่า ร่างกายและจิตใจเปรียบเหมือนกับรถยนต์ ที่เรียกว่ารถ เพราะประกอ บด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ มากมาย ....นึกดูเองคงเห็นว่ามีอะไรบ้าง มนุษย์ ก็ดุจเดียวกัน ที่เป็นชีวิตขึ้นมาได้ ก็ต้องประกอบด้วยขันธ์ ถ้าพูดโดยขันธ์ เรียกว่าธาตุ เมื่ออธิบายแยกโดยความเป็นธาตุ เป็นต้น



 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง