Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ละเหตุแห่งทุกข์ได้เป็นสุขทั้งปวง จริงเหรอ...ช่วยไขปัญหาด้วยค อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ผู้รับช่วงปัญหา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 ต.ค.2005, 1:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าเหตุแห่งทุกข์ คือปัญหาที่กำลังประสบอยู่

แล้วละทิ้งปัญหาเหล่านั้นมา ดิฉันคงเป็นสุขจริงๆ

แล้วปัญหาที่ทิ้งไว้ ต่อไปใครจะเป็นคนแก้ไข

คนที่หนีปัญหา คือคนที่ละเหตุแห่งทุกข์หรือเปล่าค่ะ
 
max
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 ต.ค.2005, 2:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สวัสดีครับลองศึกษา link ด้านล่างดูครับ

ปัญหามีไว้แก้ครับแต่ต้องใจเย็นๆใช้ปัญญาครับ

อริยสัจธรรมมี ๔ ประการ คือ

ทุกข์

สมุทัย

นิโรธ

มรรค

ทุกข์ หมายถึง ทุกขะ

ทุ - ก = ยาก, ขะ มาจาก ขมะ = ทน แปลว่า ทนได้ยาก

ทุ - ก = ยาก, ขะ =ไป แปลว่า ไปได้ยาก

โดยความหมาย ก็คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ หรือ ความบีบคั้นให้ลำบาก

ความเป็นไปของสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นจากเหตุ จึงต้องแยกสลาย พินาศไป เป็นธรรมดา

ความเป็นของเผาลนให้เดือดร้อน และความผันแปรไป และไม่ทนอยู่ได้

สู่ทางพ้นทุกข์ (๑)http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=7936

สู่ทางพ้นทุกข์ (๒)http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=7938

สู่ทางพ้นทุกข์ (๓)http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=7946

สู่ทางพ้นทุกข์ (๔)
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=7949

สุดทางพ้นทุกข์ (๕)
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=7954

สุดทางพ้นทุกข์ (๖)
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=7965

สุดทางพ้นทุกข์ (๗)
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=7970

สู่ทางพ้นทุกข์ (๘)
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=7977

สู่ทางพ้นทุกข์ (๙)
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=7984
 
อือม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 ต.ค.2005, 3:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อือม...อ่านตามตัวหนังสือก็เข้าใจอย่างหนึ่ง ถ้าจะให้เข้าใจถึงเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงก็ต้องลงมือปฏิบัติ เขียนตามตำรา จำมาจากตำรา คนเขียนก็ป่วยเอาตัวไม่รอดนับครั้งไม่ถ้วน ประเดี๋ยวก็นอนโรงพยาบาล ถามว่าเหตุแห่งทุกข์ที่เขียนบรรยายออกมาให้ผู้คนอ่านนั้น สักแต่ว่าเขียน คนอ่านก็สักแต่ว่าอ่าน สบายใจกันไปวันๆ อะไรมันทนได้ยาก สภาวะอย่างไรมันถึงทนได้ยาก สภาวะอย่างไรพิจารณาอย่างไรมันถึงสลายไป พิจารณาอย่างไรมันถึงเป็นเรื่องธรรมดา มันก็ต้องเข้าไปรู้สภาวะนั้นๆด้วยตนเองนะ...อือม
 
เจ้าของกระทู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 ต.ค.2005, 5:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อปัญหามันเกิดมาแล้ว ก็ต้องแก้ปัญหามิใช่หรือค่ะ

บางครั้งมันก็กระทบกันเป็นคล้าย โดมิโน่

ปัญหาบางอย่างค่อยๆ แก้

แต่ปัญหาของดิฉันคงแก้จนแก่เลยมั้ง.....เฮ้อ

 
มหาเปรียญ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 ต.ค.2005, 12:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การหนีปัญหาไม่ใช่การละเหตุแห่งทุกข์....ไม่ใช่ทางออกหรอกคับ...เหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจและตัวปัญหาด้วย..หากเรารักษาใจไม่ให้คิดมากเกินเหตุแล้วมานั่งคิดว่า...ปัญหาที่ประสบอยู่มันมาจากเหตุอะไร..เมื่อพบแล้วก็เข้าไปแก้ไขเหตุนั้น..โดยภายในใจของเราไม่พลอยทุกข์ทุรนทุรายไปด้วย...รักษาใจให้ปกติ..ส่วนทางภายนอกหรือทางสังคมก็แก้ไขไปตามเรื่อง..อย่างนี้เขาจึงเรียกว่า.การล่ะเหตุแห่งทุกข์คับ....หากแก้ไขไม่ได้ล่ะจะทำยังไงดี.?...ก็ปล่อยไปตามเวลา..หากเราทำดีที่สุดแล้วปัญหายังไม่หยุดติก็ต้องทำใจครับ..อย่าให้ใจเป็นทุกข์เท่านั้นเองครับ
 
เจ้าของกระทู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 ต.ค.2005, 2:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปล่อยวางกับหนีปัญหาต่างกันตรงทำใจเฉยๆ

กับปัญหาแค่นั้นเหรอค่ะ

ผลลัพธ์ก็เป็นสิ่งเดียวกันมิใช่หรือค่ะ
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 ต.ค.2005, 8:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอบเจ้าของกระทู้ครับ



พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอริยสัจ 4 ไว้ว่า ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ วิธีดับทุกข์



คุณเข้าใจว่า เหตุแห่งทุกข์คือ ปัญหาที่กำลังประสบอยู่ นั่นยังเข้าใจคลาดเคลื่อนครับ



เพราะปัญหาที่กำลังประสบอยู่ นั้น พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ทุกข์ ไม่ใช่เหตุแห่งทุกข์ครับ

การละทิ้งทุกข์ ย่อมไม่ใช่ การแก้ทุกข์ แต่ การแก้ทุกข์ หรือ แก้ปัญหาต่างๆ นั้น ต้องหาเหตุแห่งทุกข์ หรือ เหตุแห่งปัญหาต่างๆ ให้พ้น แล้วแก้ด้วย วิธีดับทุกข์ ของพระพุทธเจ้าครับ จึงจะดับทุกข์ได้จริง

เช่น ปัญหา ปวดท้อง จะไปละทิ้งการปวดท้อง มันก็ยังปวดท้องอยู่ ละทิ้งไม่ได้ แต่ต้องหาเหตุแห่งปัญหาว่า อะไรทำให้ปวดท้อง อ๋อ ท้องเสีย เมื่อเจอสาเหตุแล้ว ก็กินยาแก้ท้องเสียซะ พระพุทธเจ้าท่านสอนเช่นนี้ครับ

 
Jr_m
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 17 ต.ค. 2005
ตอบ: 7

ตอบตอบเมื่อ: 17 ต.ค.2005, 12:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องของทุกข์นี่ เป็นเรื่องใหญ่จริงๆนะครับ การอธิบาย ทุกข์ เรื่องของทุกข์ เหตุ แห่งทุกข์พระพุทธองค์ท่านทรงอธิบายไว้แล้วโดยละเอียด แต่ที่มีปัญหา เกิดปัญหา ทำให้คิดค้นถึงปัญหา มันมีมากมายก่ายกอง ปัญหาของความทุกข์ เกิดชึ้นกับทุกคนแหละครับ ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เพราะมนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียว ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แรกเกิดก็ต้องประคบประหงมกันชุลมุน กว่าจะโต โตแล้วก็ยังช่วยตัวเองไม่ได้อยู่ดี ใครที่บอกช่วยตัวเองได้ ไม่พึ่งพาอาศัยใคร ผมยังไม่เคยเห็นเลยซักคนเดียว การที่มนุษย์ไม่สามารถช่วยตัวเองได้นี่แหละ เหตุแห่งทุกข์อันยิ่งใหญ่ ในยุคดึกดำบรรพ์ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พายุ แผ่นดินถล่ม มนุษย์ต้องวิงวอนร้องขอ ขอต่ออำนาจที่มองไม่เห็น ยกให้สิ่งที่มองไม่เห็นเป็นผุ้ที่มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ วิงวอนร้องขอ เซ่นไหว้ บูชา เพื่อให้ตัวเองพ้นทุกข์ แล้วเจ้าความคิดดึกดำบรรพ์นี่แหละ ที่ติดตัวมนุษย์มาจนถึงทุกวันนี้ แม้พระพุทธองค์ทรงค้นพบ วิธี ดับทุกข์ แล้วนำมาบอกกล่าว คนก็ยังไม่เข้าใจ ยังเชื่อสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นอำนาจสูงสุดที่ควรบูชา เป็นไปได้มั้ยครับ ว่า คน ไม่เข้าใจคำสอนพระพุทธองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาจารย์ในปัจจุบัน ที่นำคำสอนพระพุทธองค์ มาเผยแผ่ แต่เอาความคิดเห็นของตัวเอง ใส่ลงไป เต็มไปด้วยศัพท์แสงวิชาการอันสลับซับซ้อน ทำให้คนไม่เข้าใจ เบื่อหน่าย ทีนี้ลองย้อนกลับไปดู แล้วพิจารณาวิธีการของพระพุทธองค์ เหตุใด พระองค์ถึงใช้ภาษา...มคาธี..(บาลี)...ไม่ใช้..สังสกฤต..(สันสกฤต)..ทั้งๆที่พระองค์อยู่ในวงศ์กษัตริย์ ใช้ภาษา สังสกฤต เป็นหลัก ก็เพราะพระองค์ต้องการสื่อความหมายง่ายๆ กับชาวบ้าน ภาษาที่ใช้ เปรียบคำว่า คุณ ท่าน เป็น เธอ ฉัน กิน ก็บอก กิน ไม่ต้องรับประทาน อย่างนี้เป็นต้น คนยุคนั้น จึงเข้าใจง่าย กับคำสอน ต่างกันกับสมัยนี้ การสอนกลัวไม่ขลัง ก็เลยต้องคิดค้นหาศัพท์แสง ที่มันวิจิตรพิศดาร คนก็เลยเข้าใจยาก เลยไม่รู้จักว่า อะไรคือทุกข์ อะไรคือการดับทุกข์....ทุกข์...มันจะเกิดได้....ดับได้....อยู่ที่ตัวเราเองแหละครับ ไม่มัใครทำให้เกิด และก็ไม่มีใคร มาดับ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น....ขอย้ำ.....ตัวเราเองเท่านั้น...คาถาที่ดับทุกข์ได้สำเร็จคือ.....พิจารณา....พิจารณา....พิจารณา....ท่องไว้ครับ...แล้วทุกข์ จะหมดไปโดยสิ้นเชิง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
เจ้าของกระทู่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 ต.ค.2005, 2:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอกล่าวถึงทุกข์ ของดิฉันก่อนนะค่ะ

เมื่อดิฉันแต่งงานเข้ามาบ้านสามี สามีและดิฉันต้องรับหนี้ต่อจากทางบ้านซึ่งเค้าแบ่งกันไว้แล้วจำนวนโขอยู่ (ประมาณร้อยกว่าล้านบาท) ส่วนพี่น้องของสามีคนอื่นเค้าก็แบ่งไปเช่นกัน แต่พี่น้องของเค้าต่างได้ทรัพย์สินติดมาด้วย เช่นว่าที่เอาเข้าจำนองกับธนาคาร แต่ที่เป็นชื่อของน้องเค้า ต่างกับดิฉันที่รับหนี้ จากธนาคารมาแต่ที่ดินยังเป็นชื่อแม่และบางแปลงชื่อน้องสาวสามีเสียนั่น แต่ละเดือนดอกเบี้ยก็มากยู่แล้ว ทางที่จะลดต้นเงินยิ่งยากมาก ซึ่งเมื่อที่กู้ธนาคารมา ดิฉันก็ไม่มีโอกาสได้ใช้จ่ายเงินอยู่แล้ว แต่ต้องมารับภาระหนี้ก้อนโตที่ไม่ได้ก่อ ส่วนสาเหตุที่เป็นหนี้บางส่วนเกิดจาก กู้ธนาคาร พอได้มาแล้วน้องสาวซึ่งขณะนั้นดูแลเรื่องบัญชี ก็นำเงินไปซื้อที่และใส่ชื่อตัวเองแล้วเอาเข้าธนาคารโดยให้ หจก.ของดิฉันในขณะนี้เป็นผู้กู้ น้องสาวในฐานะเจ้าของที่ดิน เป็นคนค้ำ ..ถึงวันนี้ดิฉันต้องนั่งหาเงินใช้ดอกเบี้ยธนาคาร แต่ละเดือนก็หลายแสน รายได้ที่หามาได้จากการรับเหมาก่อสร้าง(อาชีพของดิฉัน)นับวันลดน้อยลง

ดิฉันมองเห็นอนาคตแล้วล่ะ แต่จะให้ละปัญหาไปเช่นไร คุยกับธนาคารเรื่องปรับโครงสร้างก็ตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายดิฉันก็ทำไม่ได้เอง..เขียนมายาวมากแล้วค่อยรบกวนอ่านและชี้แนะด้วยค่ะ
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 ต.ค.2005, 4:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แนะนำให้ไปอ่านหนังสือ เข็มทิศชีวิต ของคุณ ฐิตินารถ ณ พัทลุง นะครับ เพราะเธอเคยมาออกรายการเจาะใจ ของคุณดู๋ สัญญา คุณากร



เธอประสบปัญหาชีวิตภายในคืนเดียว คือ คืนวันที่สามีเธอตาย และเจ้าหนี้สามีทั้งหลายมาบอกเธอว่า สามีเธอเป็นหนี้ ร้อยล้าน เธอคิดอยากตาย แต่ห่วงลูก ในที่สุด มีผู้แนะนำเธอว่า ให้ไปปฏิบัติธรรม เธอไม่เชื่อหูตัวเอง แต่เขาบอกอย่างนั้นจริงๆ เธอไม่มีทางเลือก จึงไปลองปฏิบัติดู (น่าจะเป็นสายยุบหนอ พองหนอ)

ผลปรากฏว่า หลังจากไปปฏิบัติธรรม 7 วัน เธอกลับมาใหม่ด้วยกำลังใจเปี่ยมล้น ค่อยๆ แก้ปัญหาไปทีละเปาะ ปัจจุบันเธอใจหนี้หมดเกลี้ยงแล้ว และมาออกรายการคุณดู๋ ไงล่ะครับ

 
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 ต.ค.2005, 5:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

1.ยังอยู่เป็นครอบครัวใหญ่หรือไม่ ถ้าเป็นต้องหาทางแยกออกมาเป็นครอบครัวเดี่ยวให้ได้

ถ้าแยกไม่ได้ คงต้องใช้คติว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คนเราเกิดมาก็ไม่มีอะไรติดตัวมาอยู่แล้ว ปัจจุบันเชื่อว่าคุณยังมีกินอิ่ม 3 มื้อ มีรถยนต์ขับ ยังดีกว่ามนุษย์หลายคนในโลกนี้ ที่มีกินบางมื้อ บางวันไม่ได้กินเลยก็มี

2.ถ้าเป็นครอบครัวเดียวแล้ว สามี บุตร ร่างกายครบ 32 สมบูรณ์ ก็ดีกว่าหลายครอบครัวแล้ว ลองคำนวณบัญชี ทรัพย์สิน -หนี้สิน ยังมีเหลือสักเท่าไร รายรับของแต่ละเดือน หักด้วยรายจ่ายของแต่ละเดือน ต้องทำให้รายจ่ายน้อยกว่ารายรับให้ได้

คุณรู้ไหมค่าแรงขั้นต่ำของคนไทยวันละเท่าไร คนไทยจำนวนเท่าไรที่มีรายรับเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ หรือน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำด้วยซ้ำ คนเหล่านั้นทำไมมีความสุขอยู่ได้

3.ความทุกข์ของคุณคือกลัวว่าฐานะความเป็นอยู่จะตกต่ำกว่าที่เป็นอยู่ใช่หรือไม่

กลัวอับอายคนรู้จักที่ตัวเองยากจนลงใช่หรือไม่

4. คุณและครอบครัวรักษาศีล 5 ได้ปรกติดีหรือไม่ และมีใครข้องเกี่ยวกับอบายมุขหรือไม่

คุณลองมองรอบตัวคุณว่า คนทีรักษาศีล ไม่ยุ่งเกียวกับอบายมุข มีใครที่ชีวิตนี้ไม่มีปัจจัย 4 ในการดำรงชีพไหม หรือเป็นคนไม่มีความสุขบ้าง

5.ขอจงใช้ปัญญาไตร่ตรอง หวังว่าคุณคงมองเห็นปัญหาที่แท้จริงได้
 
เจ้าของกระทู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 ต.ค.2005, 12:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การละทิ้งทุกอย่าง ของดิฉันที่มีอยู่ไม่ว่า จะเป็นภาระกิจการ หนี้สิน บรรดาลูกน้อง

คือการแก้ปัญหาหรือเปล่า

เพราะขณะนี้ดิฉันคิดว่าเหล่านี้คือปัญหา.....

ถ้าละทิ้งคือการแก้ปัญหาหรือไม่ แต่ดิฉันคิดไว้ว่าสุดท้ายก็คือไม่เหลืออะไร หากละทิ้งเสียตอนนี้ หนี้สินก็คง หากไม่ถูกขายใช้เจ้าหนี้ เจ้าหนี้ก็คงมายึด แน่นอน หากต้องทำงานใช้ดอกเบี้ยธนาคารอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีโอกาส เห็นแสงเช่นคนอื่นเขา

จริงอยู่ปัจจุบัน ดิฉันมีครอบครัวที่อบอุ่น มีสามีและลูกที่น่ารัก

หลายครั้งดิฉันพยายามมองโลกในแง่ดี และพยายามหาทางออกอยู่ตลอด

แต่การต้องอยู่ร่วมกับปัญหา เหล่านี้มิใช่เรื่องสนุก แต่หากต้องละทิ้งทุกอย่างที่มี มันก็เหมือนคนไม่สู้กับปัญหาใช่หรือไม่ (ดิฉันเองก็เริ่มสับสน)

ขอรบกวนเพียงเท่านี้ก่อน และขอผู้รู้หรือมีประสบการณ์ชี้แนะด้วยค่ะ

 
เฟ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 ต.ค.2005, 12:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นกำลังใจให้ค่ะ เจอพอๆ กันเลย แต่ของเฟ น้อยกว่าแยะ แต่ตังที่นะไปใช้หนี้ไม่มีเหมือนกันค่ะ แล้วก็ไม่ได้เป็นหนี้ที่ตัวเองก่อขึ้นด้วยซิ



ทำเงินให้คนอื่นใช้ เป็นความเจ็บปวด เป็นเหตุแห่งทุกข์ของคุณรึเปล่าค่ะ จากที่อ่านมา ถ้าใช่ก็แผ่เมตตาให้เค้าซะ คิดซะว่าเราเป็นคนใจบุญช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ เค้าจะมีความสุขยิ่งกว่าเรา เราก็ยินดีในความสุขนั้น ถ้าเราสบายใจตรงนี้แล้วก็ทำให้ดีที่สุด ช่วยเค้าเท่าที่เรามีกำลังช่วยได้ ช่วยไม่ไหวก็ลองคุยกะเค้าด้วยความเมตตา เผื่อความเมตตาที่เราให้เค้า เค้าจาเมตตาเราตอบกลับมาบ้าง เช่น แสดงความเห็นใจ เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน เหมือนเรารักใครแล้วได้ความรักตอบเราก็มีความสุขอย่างหนึ่ง



แต่ถ้าไม่ใช่ อะไรกันแน่คะที่ทำให้เราเป็นทุกข์



ถ้าเป็นทุกข์เหตุจากความรับผิดชอบทั้งหลายทั้งมวลนั้น เกิดแต่เราได้ตัดสินใจเสียสละมันตั้งแต่แรกแล้ว เราต้องตั้งใจทำให้สำเร็จ ลำบากมากกว่าข้อสัณนิฐานถึงเหตุแห่งทุกข์ในตอนแรกที่เฟตอบไปมาก อันนี้ต้องทำกำลังใจให้เข้มแข็ง เป็นหญิงเหล็ก ฝ่าฝันมันไปให้ได้ชนิดต้องร้องเพลง ต้องมีสักวันกันเลยที่เดียว



อดทนไว้นะคะ จะเป็นกำลังใจให้ นี่เป็นตัวเองหาเหตุแห่งทุกข์ค่ะ แต่ไม่ได้หาทางแก้ปัญหา อิอิ....คือว่าไม่มีปัญญาจาช่วยเหมือนกันค่ะ เห่อๆๆๆๆๆๆ
 
เฟ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 ต.ค.2005, 1:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อายจังพิมพ์ผิดแยะเชียว

เป็นกำลังใจให้ค่ะ เจอพอๆ กันเลย แต่ของเฟ มีหนี้น้อยกว่าแยะ แต่ตังที่จะนำไปใช้หนี้ไม่มีเหมือนกันค่ะ แล้วก็ไม่ได้เป็นหนี้ที่ตัวเองก่อขึ้นด้วยซิ



ทำเงินให้คนอื่นใช้ เป็นความเจ็บปวด นี่เป็นเหตุแห่งทุกข์ของคุณรึเปล่าค่ะ เดาจากที่อ่านมา ถ้าใช่ก็แผ่เมตตาให้เค้าซะ คิดซะว่าเราเป็นคนใจบุญช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ เค้าจะมีความสุขยิ่งกว่าเรา เราก็ยินดีในความสุขนั้น ถ้าเราสบายใจตรงนี้แล้วก็ทำให้ดีที่สุด ช่วยเค้าเท่าที่เรามีกำลังช่วยได้ แต่ถ้าช่วยไม่ไหวก็ลองคุยกะเค้าด้วยความเมตตา เผื่อความเมตตาที่เราให้เค้า เค้าจาเมตตาเราตอบกลับมาบ้าง เช่น แสดงความเห็นใจ เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน เหมือนเรารักใครแล้วได้ความรักตอบ เราก็มีความสุขอย่างหนึ่ง



แต่ถ้าไม่ใช่ อะไรกันแน่คะที่ทำให้เราเป็นทุกข์



ถ้าเป็นทุกข์เหตุจากความรับผิดชอบทั้งหลายทั้งมวลนั้น เกิดแต่เราได้ตัดสินใจเสียสละที่จะทำมันตั้งแต่แรกแล้ว เราต้องตั้งใจทำให้สำเร็จ ลำบากมากกว่าข้อสัณนิฐานถึงเหตุแห่งทุกข์ในตอนแรกที่เฟตอบไปมาก อันนี้ต้องทำกำลังใจให้เข้มแข็ง เป็นหญิงเหล็ก ฝ่าฝันมันไปให้ได้ชนิดต้องร้องเพลง ต้องมีสักวันกันเลยที่เดียว



อดทนไว้นะคะ จะเป็นกำลังใจให้ นี่เป็นตัวอย่างหาเหตุแห่งทุกข์ค่ะ แต่ไม่ได้หาทางแก้ปัญหา อิอิ....คือว่าไม่มีปัญญาจาช่วยเหมือนกันค่ะ เห่อๆๆๆๆๆๆ พิมพ์ผิดไว้แยะอายจัง
 
Jr_m
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 17 ต.ค. 2005
ตอบ: 7

ตอบตอบเมื่อ: 18 ต.ค.2005, 2:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกข์.....ที่เกิดจากทรัพย์สิน.....ต้องหาทางแก้ทุกข์ ด้วย ทรัพย์สิน หมายถึงว่า เป็นหนี้ ก็ต้องใช้หนี้..

แต่.....ทีนี้ การหาทางใช้หนี้ ก็ต้องทำงานหาเงิน กว่าจะได้เงินมา ก็ต้องทำงานหนัก

เมื่อทำงานงานหนัก ร่างกายก็อ่อนแรง เมื่อยล้า ท้อถอย



การที่จะไม่ท้อถอย ก็คือ กำลังใจ คำว่า กำลังใจ นี้ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่าย ก็ง่าย

ถ้าจะยึดหลักธรรมของพระพุทธองค์ ก็ต้องเริ่มที่ สร้างขวัญกำลังใจของตัวเองเป็นอันดับแรก เพื่อเป็นการเอาชนะความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง



สร้างอย่างไร?



..........ถ้าจะพูดว่าให้ถือศีล ปฏิบัติธรรมก็ดูจะกว้างไปหน่อย อาจจะคิดว่า ถือศีลปฏิบัติธรรม แล้วหนี้สิน มันจะหมดไปได้อย่างไร?.........จริงอยู่ หนี้สินมันจะหมดไปไม่ได้ถ้าเอาแต่นั่งหลับตา ภาวนา.........แต่.........มันจะเกิดภูมิคุ้มกันให้กับตัวเรา คุ้มกันให้กับใจเรา..



ที่หลายท่านแนะให้ปฏิบัติธรรมนั้น ถูกต้องแล้ว แต่ปฏิบัติ อย่างไร ? ปฏิบัติแล้วได้อะไร?

ความสงบ.....ความสงัด....ความนิ่งของจิต....ความไม่ฟุ้งซ่านของจิต ทำให้จิตนิ่ง เมื่อจิตนิ่งแล้ว ปัญญาจะเกิด



เกิดอย่างไร?...เกิดอะไร?...

..........เกิดการมองเห็นปัญหาไงครับ ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เป็นหนี้ใคร เป็นหนี้ที่ต้องชดใช้ทั้งสิ้น ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง ที่ต้องใช้หนี้ หนี้เวร หนี้กรรม หนี้ชีวิต หนี้ทรัพย์สิน เป็นหนี้ที่ต้องชำระทั้งสิ้น เป็นทุกข์ เราหาเหตุแห่งทุกข์พบแล้ว ก็ต้องหาทางคลายทุกข์นั้น จากมาก ให้เหลือน้อย จากน้อย ให้หมดไป



...........มองดูที่ตัวเอง มองที่ใจตัวเอง แล้วจะเห็นสภาพของชีวิตมนุษย์ในโลกนี้อย่างท่องแท้ คุณไม่ได้โดดเดี่ยว คุณไม่ได้มีหนี้สินแต่เพียงลำพังคนเดียว แต่คุณ มีคนทั้งโลกเป็นเพื่อนคุณ คุณมีคนทั้งโลก ที่เป็นหนี้ เหมือนคุณ (ไม่มีใครมีชีวิตอยู่ในโลกโดยปราศจากหนี้สิน...ขอย้ำ)



เมื่อคุณพิจารณาความเป็นไปของโลกอย่างถี่ถ้วนแล้ว ความท้อถอยในใจคุณก็จะไม่เกิด คุณจะยิ้มสู้โลกได้อย่างภาคภูมิ



เดินหน้าเข้าหา เจ้าหนี้ เดินเข้าไปยิ้มกับเจ้าหนี้ เอาความจริงใจของคุณพบกับเจ้าหนี้ พบปะเจ้าหนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ มีมากให้มาก มีน้อยให้น้อย ไม่มี รอก่อน การพบเจ้าหนี้แต่ละครั้ง พบด้วยใจ สินน้ำใจเล็กน้อย ควรพึงมี ขนมซักห่อ ผลไม้ซักถุง แสดงความใส่ใจ ห่วงใยต่อสภาวะหนี้สินที่คุณพึงมี นี่หมายถึงเจ้าหนี้ที่เป็นบุคคล



แต่ถ้าเป็นเจ้าหนี้ที่เป็นสถาบัน ยิ่งง่าย...ไม่มีสถาบันไหนที่บีบคั้นลูกหนี้จนตายคามือหรอก ผมมีหนี้ อยู่สองล้าน ผมยังผ่อนเดือนละ 300 ร้อยเลย แต่สิ่งที่ทำ คือ พบเจ้าหนี้ อย่าขาดการติดต่อ ใจต้องมั่นคง ความบริสุทธิ์ใจต้องมีให้มั่น



.....นี่คือผลของการที่หลายท่านแนะให้ปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงนั้น ไม่ใช่กการนั่งหลับตา ภาวนาอย่างเดียว ต้องมีทั้ง ศีล สมาธิ สติ ปัญญา แล้วคุณจะมองโลกได้อย่างรื่นรมย์



ขอความสุข จงมีแด่คุณ



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
เจ้าของกระทู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 ต.ค.2005, 3:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขณะที่อายุยังน้อย เมื่อจบการศึกษาใหม่ๆ

ดิฉันคิดว่าชีวิตนี้เป็นของเรา หากจะทำอะไรแล้ว ไม่กระทบกับใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

ดิฉันก็จะทำ และสิ่งที่ทำไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนด้วย

ใน 1 วันมีเพียง 24 ชม.ทำไมเราจะต้องทำให้ตัวเราขุ่นข้อง หมองใจกับเรื่องต่างๆด้วยเล่า

แต่เมื่อประสบกับปัญหา ณ วันนี้

ดิฉันไม่รู้ว่า ชีวิตนี้เป็นของใคร...

ที่ต้องมาแบกปัญหา อันหนักไว้

หากจะวางปัญหาลง และบอกให้ทำใจ ทำสิ่งที่ดีที่สุด

แก้ปัญหาไปเรื่อย ๆ แก้ปัญหาใหญ่ไม่ได้ก็ให้แก้ปัญหาเล็กๆ ที่พอจะแก้ได้ไปก่อน

ซึ่งก็ได้ปฏิบัติเช่นนี้มา เจ้าหนี้บางคนก็ใจดียอมผ่อนปรนให้เราบ้าง แต่เราเองก็ทำไม่ได้ตามที่ได้บอกกับเจ้าหนี้ไว้เสียเอง เพราะมีเจ้าหนี้หลายคน และเป็นตัวเงินที่ค่อนข้างมาก

ก็เป็ฯเช่นนี้มาเรื่อยๆ หมายศาล เห็นจนชินตา

ขึ้นศาลหลายเรื่องหลายคดี ทั้งแพ่งและอาญา (ที่เกี่ยวกับเช็ค)

ถ้าจะต้องมานั่งปนอยู่กับปัญหา (ซึ่งก็ผ่านมานาน)

....ชีวิตนี้เป็นของใคร....
 
Jr_m
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 17 ต.ค. 2005
ตอบ: 7

ตอบตอบเมื่อ: 18 ต.ค.2005, 9:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

..............ชีวิตนี้เป็นของใคร.........



ถ้าจะตอบแบบชาวโลก มันก็เป็นของเรานั่นแหละ เพราะเราต้องดูแล หาอาหาร ป้อนข้าว ป้อนน้ำ เพื่อให้มีลมหายใจ ยังชีพอยู่ได้ เพราะถ้าเราไม่ดุแล ไม่ให้อาหาร ไม่ให้สารหล่อเลี้ยง มันก็เฉา แล้วก็ตาย ทุกสิ่ง ทุกอย่างของการมีชีวิต อยู่ที่เรา เป็นผุ้กำหนด เราเป็นผู้ลิขิต



.....แต่....ถ้าจะตอบโดยอิงหลักธรรม หลักของความเป็นจริงไม่เสแสร้งมายา มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ เรื่องของความเป็นไปธรรมดาๆ ที่เป็นธรรมชาติ ของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง



..........ท่าน "พุทธทาส" พูดอยู่เสมอ เรื่องตัวกู - ของกู นั่นคืออะไร หมายความว่า อย่ามีตัวกู - ของกู....เพราะมันไม่มี ไม่ใช่ เป็นของธรรมชาติ ที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ทำให้เป็นไปตามธรรมดาของมันเอง....



ในหลักของภาษา..........ธรรมชาติ คือ ธรรมดา + ชาตะ แผลง อะ เป็น อิ ตามเทคนิคของภาษา อ่านว่า ทำ มะ ชาด หมายถึง การเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมดาของมันเอง แล้วก็มีปัจจัยปรุงแต่ง ให้เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ อยู่ได้ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็สิ้นสลายไป ไม่มีอะไรคงทนถาวร เรียกว่า ทุกข์ คำว่า ทุกข์ คือ ทุกขะ ทุก ขะ มะ หมายถึง ทนอยุ่ยาก พุดเป็นภาษามนุษย์ ก็คือยาก ที่จะทานทน ไม่คงทน ไม่ถาวร



เห็นมั้ยครับ ความเป็น ธรรมชาติ ไม่มีอะไรคงทน ไม่มีอะไรถาวร หนี้สินที่คุณมีอยู่ คุณเองก็ไม่ได้ปฏิเสธในการชำระ ยอมรับสภาพ มีก็จ่าย ไม่มีก็ยังไม่จ่าย ทำมาหากินไป หาได้ก็มาเอาไป หาไม่ได้ ก็รอก่อน



ที่สำคัญ คือใจ ต้องมั่นคง ยิ้มเสมอ มองทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นเรื่องธรรมดา ของสิ่งมีชีวิต ที่อยุ่ภายใต้กฏเกณฑ์ของธรรมชาติ



ชีวิตนี้เป็นของใคร?..............ไม่มีชีวิต !..........ไม่มีใครเป็นเจ้าของ.........!! มันเป็นของมันเอง เป็นไปตามธรรมดา ของธรรมชาติ



ขอความสุข จงมีแด่คุณ

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
เฟ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 ต.ค.2005, 12:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เครียดจัง



มันยากจริงๆ นะคะเนี่ย ใครไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้ ใครจาบอกให้ทำใจให้สบายยังงัย เราก็ไม่เคยสบายใจเลยเวลามีทุกข์เนี่ย



แล้ววิธีการแก้ปัญหาแต่ละอย่างเหมือนกันมั้ยค่ะ เช่น ต้องพิจารณาผลกระทบของวิธีการที่เราจะทำ เหตุผล 108



อย่างของเฟ มีหนี้ที่ไม่ได้ก่อ ถึง 5 เท่าของเงินเดือนตัวเอง ดอกเบี้ยก็นะตามแทบจาทบต้น เหลือตังไว้กินไว้ใช้แค่นิดเดียวเอง อยากหนีหนี้เหมือนกันนะเนี่ย



แต่เฟ ไม่ยกชีวิตให้ใครหรอก เราเกิดมาใช้ชีวิตของเราคนเดียวทีละปี ทีละปี แถวไม่รู้ด้วยว่าเราได้ชีวิตมาใช้กี่ปีกันนะชาตินี้ พี่เจ้าของกระทู้อย่าไปยกชีวิตให้ความทุกข์ซิคะ ตอนนี้เฟก็เครียด บางทีก็ท้อ เดือนไหนต้องใช้เงินด้วย ใช้หนี้ด้วย แทบบ้าตายเลย แต่ตอนนี้ขอหนีไปบวชชีพราหมณ์ 3 วัน พักซะหน่อยเดี๋ยวกลับมาใช้หนี้ต่อ.....555555
 
เจ้าของกระทู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 ต.ค.2005, 2:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณเฟและทุกๆ ท่านที่กรุณาชี้แนะ

เคยคิดเหมือนกันค่ะ ครั้นเมื่อก่อน ว่าชีวิตเป็นของเราจะทุกข์เศร้าอะไรอยู่ใย

แต่หากไม่ละเหตุแห่งทุกข์ ในตอนนี้

ชีวิตของดิฉัน ในแต่ละวันต้องนั่งคิดแก้ปัญหา ดำเนินวิถีชีวิต บนหนี้สินกองโต

ทำใจให้สบายไม่ได้หรอกค่ะ

จนดิฉันคิดว่า ...........ชีวิตเป็นของปัญหา และครอบครัว แต่ไม่สุขใจเลยค่ะ ถึงจะทำหน้ายิ้มก็เถอะ
 
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 ต.ค.2005, 4:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขายทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เช่นเครื่องประดับให้หมด ทรัพย์สินที่เกินความจำเป็นของชีวิตก็ต้องขายให้หมดเพื่อลดหนี้สิน และลดดอกเบี้ย บ้านถ้าหลังใหญ่เกินก็คงต้องเปลี่ยน

ตัวผมเองเป็นเจ้าหนี้ มีลูกหนี้หลายคนที่ไม่ยอมใช้หนี้และไม่มีจะใช้ บางคนบอกว่าไม่มีจะใช้หนี้แต่การใช้จ่ายประจำวันดูจะมากกว่าตัวเจ้าหนี้เสียอีก ถ้าเราทำงานเต็มที่แล้วอย่างมากที่สุดเจ้าหนี้ก็ฟ้องยึดทรัพย์ หรือล้มละลาย ถ้าเรามีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินก็อย่างที่บอกตอนแรก ทรัพย์สินที่ไม่ได้เกี่ยวกับการทำมาหากิน หรือทรัพย์สินที่ทำรายได้น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยก็ควรจะขายใช้หนี้ไปซะ เจ้าหนี้ทั้งหลายถ้าพิจารณาดูแล้วว่าลูกหนี้ไม่มีจริง ๆ จะไปฟ้องให้เสียค่าทนาย ค่าศาลทำไมให้ยุ่งยาก ยกเว้นพวกสถาบันการเงินที่ต้องฟ้องเพื่อนำคำสั่งศาลไปแสดงเป็นหนี้สูญ

คุณเคยอ่านหนังสือเรื่องพระมหาชนกไหม การกระทำที่บุคคลทั่วไปมองเห็นว่าทำไปทำไมไม่เห็นมีหนทางพบแสงสว่าง แต่ยังอดทนทำไปด้วยความวิริยะ ผมเชื่อว่าถ้าคุณตั้งใจทำงานและมั่นคงอยู่ในศีลธรรมแล้ว ความสุขจะเป็นของคุณแน่นอน

การละทิ้งปัญหามิใช่การแก้ปัญหา ปัญหามีไว้แก้หวังว่าคุณคงประสบความสำเร็จในไม่ช้า

"ทุกข์สุขอยู่ที่ใจมิใช่หรือ ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุขใส

ใจไม่ถือก็เป็นสุขไม่ทุกข์ใจ ท่านจะเลือกเอาทุกข์หรือสุขเอย"

บทกลอนนี้จำมาจากที่อื่นโดยมิได้ขออนุญาตเจ้าของต้องขออภัยไว้ณ.ที่นี้ด้วย
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง