ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ส.ค. 2005, 10:42 pm |
  |
โดย...ปรีดา เรืองวิชาธร
ข้อคิดและประสบการณ์จากการอบรม“เผชิญความตายอย่างสงบ”
จัดโดยเครือข่ายชาวพุทธฯและเสมสิกขาลัย
คนที่มีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายคงตระหนักได้ดีว่า
ช่วงเวลาแห่งการดูแลเป็นช่วงที่เราไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
หลายคนเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจ
และหวาดกลัวต่อการพลัดพรากที่กำลังจะมาถึง
หลายคนอาจรู้สึกสับสนหรือเคว้งคว้างว่า
ทางข้างหน้าของชีวิตจะเป็นอย่างไร
หลังจากไม่มีเธอหรือเขาผู้นั้นอีกแล้ว
ขณะเดียวกันต้องเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยในการเฝ้าดูแล
และบางครั้งยังต้องเผชิญกับอารมณ์ของตน
ที่ยากจะยับยั้งเมื่อต้องปะทะกับอารมณ์ อันปรวนแปรของผู้ป่วย
ช่วงเวลาเช่นนี้จึงยากที่จะรักษาใจให้สงบมั่นคงได้
แต่ก็มีไม่น้อยเลยที่หลายคนสามารถเปลี่ยนแปลงภายใน
จากการสัมผัสความจริงของชีวิตอย่างลึกซึ้ง
เขาเหล่านั้นต่างประจักษ์ว่า ไม่ใช่เราผู้ดูแลเท่านั้นที่เป็นฝ่ายให้
แต่ผู้ป่วยก็เป็นฝ่ายให้โอกาสเราได้เรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ
ช่วงเวลาเช่นนี้เป็นโอกาสให้เราได้สัมผัสรับรู้ความดีงามภายใน
ที่เหมือนถูกเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึก
และสามารถผลิบานงอกงามได้อย่างน่าอัศจรรย์
เพราะช่วงเวลาดังกล่าวหากเราดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง
เราย่อมสัมผัสรับรู้ถึงความทุกข์ของเขา
ทั้งความเจ็บปวดทรมานทางกาย ความหวาดกลัว
ความสับสนและห่วงกังวลในเรื่องคนใกล้ชิดที่ยังต้องอยู่ต่อไป
ความรู้สึกผิดบาปที่คั่งค้างในใจ
ที่สำคัญก็คือรับรู้ถึงความรู้สึกโหยหาความรักและความเข้าใจจากคนที่เขารัก
ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึงเราบ้าง เราคงรู้สึกไม่แตกต่างไปจากนี้มากนัก
ดังนั้น ในระหว่างการดูแลหากเราตระหนักรู้ในข้อนี้มากขึ้นเท่าใด
ความดีงามภายในอย่างเช่น ความเห็นอกเห็นใจ ความรู้สึกที่ให้อภัย
ใจที่สามารถยอมรับอย่างที่เขาเป็น
โดยเฉพาะยอมรับอย่างใจกว้างต่อความผิดพลาดของมนุษย์ เป็นต้น
ก็จะผลิบานออกมาจากใจ ซึ่งเราอาจคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
เป็นธรรมดาอย่างยิ่งที่เมื่อจิตใจของเราเริ่มรู้สึกอยากเห็นเขาเป็นสุข
หรือพ้นจากความทุกข์ทรมาน (แม้เขาจะดีหรือร้ายเพียงใด)
ผู้ป่วยย่อมสามารถสัมผัสรับรู้ถึงความรัก
และพร้อมที่จะอ้าแขนรับการปฏิบัติดูแลด้วยดี
ทั้งยังทำให้เขาไว้วางใจเพื่อระบายความในใจออกมา
ให้เราได้รับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นกุญแจดอกสำคัญ
ที่จะไขไปสู่ความชัดเจนในการปฏิบัติดูแล
หรือช่วยจัดการได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
ดังนั้น การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง
จึงเต็มไปด้วยคุณภาพ ซึ่งรวมเอาความรักและมิตรภาพอันลึกซึ้ง
ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นไว้ด้วย
นอกจากสัมผัสรับรู้ถึงความดีงามที่เกิดขึ้นภายในแล้ว
ผู้มีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายหลายคนได้ถ่ายทอด
เสียงสะท้อนจากภายในอันเป็นข้อคิดคำนึงดีๆ สำหรับชีวิตและสังคม
ที่อยากจะแบ่งปันให้เราทั้งหลายที่ยังต้องอยู่ต่อไปดังนี้
เสียงแรก ฉันโชคดีมากที่มีโอกาสได้ดูแลลูกที่เพิ่งจากไปไม่นาน
แม้ช่วงเวลานั้นจะขมขื่นที่สุดเท่าที่ฉันเคยประสบมา
การได้อยู่กับเขาในช่วงเวลานั้น
มันเหมือนกับเรียกความรู้สึกผูกพันอันลึกซึ้งคืนกลับมาอีกครั้ง
ซึ่งได้ห่างหายไปนาน
นับตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ
แต่ต่างกันมากอย่างหนึ่งก็คือ
การดูแลช่วงที่เขาป่วยหนักจนถึงวันที่เขาจากไป
มันทำให้ฉันเข้าใจความจริงของชีวิตและยอมรับได้มากขึ้น
การเกิดและจากไปของชีวิตซึ่งกินช่วงเวลาไม่นานนัก
ทำให้ฉันได้ใคร่ครวญภายในมากขึ้นว่า
วันเวลาที่เหลืออยู่ฉันจะตั้งหน้าตั้งตาแสวงหา
เงินทองทรัพย์สินไปมากมายล้นพ้นทำไมกัน
ถึงจะมีอยู่มากเพียงใดก็ยังไม่สามารถแบ่งเบาความขมขื่น
จากการพลัดพรากได้แม้สักนิด
ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ฉันอยากจะให้ชีวิตได้สัมผัสความสุขเย็นภายในมากขึ้น
อยากจะหยุดแสวงหาวัตถุทั้งหลายลงบ้าง
ทุกวันนี้การทำจิตใจให้สงบด้วยสมาธิช่วยให้ชีวิตสงบนิ่ง
มีความมั่นคงภายในมากขึ้น
ช่างแปลกดีนะที่จิตใจอันสงบมั่นคงนี้
ทำให้เรามองเห็นรอยยิ้มและความสุขของคนอื่นได้ชัดเจนขึ้น
และมันทำให้ฉันพลอยรู้สึกปลื้มไปด้วย
เพราะที่ผ่านมาฉันแทบไม่เคยใส่ใจรับรู้
คงเป็นเพราะชีวิตวุ่นวายสับสนเกินไป
อีกอย่างหนึ่งที่ฉันรู้สึกดีกับตัวเองมากคือ
การได้รับฟังเสียงความทุกข์ภายในจากคนรู้จักหลายคน
ที่หาใครปรับทุกข์ไม่ได้
เขาก็เลือกฉันนี่แหละ คงคิดว่าฉันปลงตกกับชีวิตได้
แต่ฉันว่าเป็นเพราะใจมันเปิดกว้าง
พร้อมที่จะรับฟังเรื่องราวได้มากขึ้นต่างหาก
ฉันไม่ได้ให้ข้อคิดกับเขามากมายหรอก
เพียงแค่รับฟังและให้กำลังใจเล็กน้อยเท่านั้น
รอยยิ้มน้อยๆ ของเขาที่บ่งบอกถึงความรู้สึกดีเป็นสิ่งตอบแทน
ที่ทำให้ฉันมีความสุขในอีกด้านหนึ่ง
ซึ่งแม้ว่าฉันจะไม่มีความสามารถอื่นใดมากมาย
เพียงเป็นส่วนหนึ่งของความสุขผู้อื่นฉันก็พอใจแล้ว
เสียงที่สอง ฉันกับเพื่อนที่อยู่ห้องดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
ได้เห็นมาตลอดว่า ความทุกข์ทรมานจากความตายนั้นมีมากมายเหลือเกิน
แต่ทุกวันนี้ทำไมทั้งในบ้านเราและที่อื่นกลับเต็มไปด้วยการใช้ความรุนแรง
เข่นฆ่ากันมากขนาดนี้
ทำเหมือนกับความตายของคนไม่มีความหมายอะไร
เหตุการณ์การใช้ความรุนแรงต่างๆ ในขณะนี้
มันช่วยกระตุ้นเตือนให้พวกเราที่ทำงานใกล้ชิดกับความตาย
ได้ตระหนักมากขึ้นว่า จะพยายามหลีกเลี่ยงการเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรง
หากเป็นไปได้อยากจะร่วมมือเพื่อหยุดยั้งการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ
อาจเริ่มที่การใคร่ครวญสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมีวิจารณญาณ
จะได้ไม่ตกไปสู่หลุมพรางของความรุนแรง
และอยากให้ช่วยกันสะกิดเตือนกันให้ใจกว้างต่อความแตกต่างหลากหลาย
ที่แม้เขาจะคิดและเป็นไม่เหมือนคนส่วนใหญ่
และช่วยกันสนับสนุนทางเลือกออกจากปัญหาต่างๆด้วยสันติวิธี
เสียงสุดท้าย การร่วมเผชิญความตายของคนที่เรารักหรือผูกพันใกล้ชิดนั้น
เป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้เราฉุกคิดและทบทวนย่างก้าวของชีวิตที่เหลืออยู่ว่า
ชีวิตที่มีคุณค่าความหมายที่ดีงามควรเป็นอย่างไร
และเราจะใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทได้อย่างไร
เราจำต้องเตือนสติตัวเองอยู่เสมอว่าชีวิตนั้น
อีกไม่นานก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ
ดังนั้นหากมีกิจสิ่งใดที่จะนำไปสู่ความสุขกายสบายใจ
เราจะไม่ผัดผ่อนแต่จะขวนขวายทำไปอย่างต่อเนื่อง
แม้จะทำได้ทีละเล็กทีละน้อยก็ตาม
โดยเฉพาะการฝึกฝนเพื่อเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ
ด้วยการหมั่นทำจิตใจให้สงบตั้งมั่น จะเป็นการทำสมาธิแบบไหนก็ได้
ที่เหมาะสมกับเรา รวมถึงฝึกฝนจิตใจให้คลายจากความรู้สึกว่ามีตัวเรา
มีของของเรา ซึ่งใจที่รู้สึกยึดมั่นถือมั่นนี้มีอยู่ในทุกเรื่อง
ทั้งในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง อาชีพการงาน ครอบครัว
คุณงามความดี หรือแม้แต่ยึดตัวเองไว้
ดังนั้นชีวิตที่เหลืออยู่หากได้ฝึกคลายความยึดมั่นไปทีละเล็กละน้อย
ก็เท่ากับเราเริ่มเตรียมตัวที่จะเผชิญความตาย
ด้วยใจที่สงบแล้ว เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึง
เราย่อมพร้อมมากขึ้นในการเผชิญความจริงชีวิตที่เราเคยหวาดกลัวกันมาตลอด
http://budnet.info/alive/alive_exper/ex01.htm
|
|
|
|
   |
 |
สายลม
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245
|
ตอบเมื่อ:
02 ก.ย. 2005, 2:32 pm |
  |
สาธุ ๆ ๆ
เป็นบทความที่ดีมากครับ
 |
|
|
|
    |
 |
|