Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ตาบัวหนังเหนียว (อ้อยขม พันธุ์ผาแอง)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ผู้ตั้ง
ข้อความ
admin
บัวทอง
เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886
ตอบเมื่อ: 05 มิ.ย.2006, 8:12 am
ตาบัวหนังเหนียว
โดย อ้อยขม พันธุ์ผาแอง
จากหนังสือ เงากรรม เล่มที่ ๓๑
ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานที่เกิดมาแล้ว ล้วนต้องดิ้นรนกระเสือกกระสน ไขว่คว้าหยิบฉวยหาเอาความสุขให้กับชีวิตของตน เท่าที่จะหาได้ทั้งนั้น การหาความสุขของคนก็มีมากมายหลายอย่าง บางคนก็หาอย่างเสงี่ยมเจียมตน ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม บางคนก็โกงหรือปล้นเอาของผู้อื่นมาดื้อๆ หาได้คิดใส่ใจต่อผู้อื่นไม่ นั่นก็คือปัญหาอันหลากหลายของสังคมมนุษย์ผู้หย่าร้างศีลธรรม
ไม่ว่าใครก็ตาม หากหันหลังให้ศาสนา ไม่เอาธรรมะมาเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตแล้ว บุคคลผู้นั้นย่อมจะหาความสุขให้กับชีวิตได้ยาก เพราะเส้นทางแห่งการทุจริตนั้น ไม่ใช่หนทางเดินไปหาความสุข อย่าว่าแต่ชาตินี้เลย ต่อให้ชาติหน้าหรือภพไหนๆ ก็อย่าได้หวังเลย
ความสุขใดที่ได้มาจากความทุกข์ของผู้อื่น หาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่ มันเป็นความสุขที่ลวงหลอกอำพรางความทุกข์เอาไว้ เพื่อให้คนชั่วหลงเท่านั้น ในที่สุดความสุขที่ได้จากการทุจริตนั้น ก็จักเป็นอาวุธทิ่มแทงเผาผลาญชีวิตตนเองอย่างทรมาน อันเป็นความสุดยอดของทุกข์ทั้งมวล ที่รวมพลังกันประหัตประหารอย่างสาสม
ผู้ที่ได้สัมผัสเท่านั้น จึงจะรู้รสของความทุกข์อันเกิดจากความชั่วนั้น แม้แต่ข้าพเจ้าเองผู้ไปพบเห็นมา ยังจินตนาการได้เลยว่า ถ้าเป็นเราก็คงทนไม่ได้แน่
ต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจะได้นำเรื่องราวของจอมโจรผู้มีนามกระเดื่องว่า ตาบัวหนังเหนียว มาเล่าสู่ท่านฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์และคติเตือนใจ และก็เพื่อเป็นการยืนยันหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสเอาไว้เมื่อก่อน ๒๕๐๐ ปีมาแล้วว่า ยาทิสัง วะปะเต พีชัง ตาทิสัง ละภะเต ผะลัง บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น ปัจจุบันพุทธธรรมข้อนี้ ยังเป็นสัจธรรมความจริงเหมือนเดิมทุกประการ
ตาบัว เป็นชื่อของชาวบ้านเขาผาแดงเรียกกัน บ้านช่องห้องหอของแกอยู่ที่ไหนไม่มีใครทราบแน่ชัด บางคนก็บอกว่าอยู่ห้วยบง บางคนก็บอกว่าอยู่เขาเสมา แต่ที่รู้แน่ๆ แกเป็นโจรที่ค่อนข้างจะแปลกไปกว่าบรรดาโจรทั้งหลาย คือ แกชอบปล้นคนเดียว ไม่เคยคบหมู่ คบพวก ไม่ว่าจะทำการปล้นที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าคนจะมากจะน้อยก็ไม่เคยเกรง กลางวัน กลางคืน ไม่เคยหวั่น แกจะปล้นได้ตลอดเวลาไม่เลือก
แกสะดวกเมื่อไหร่ก็เอาเมื่อนั้น ใครจะซุ่มยิง ซุ่มแทง แกก็เฉย ไม่สนใจใครทั้งนั้น อยากได้ควายไปฆ่ากินสักตัว แกก็จะเข้าไปในคอก แล้วก็จูงควายออกไปอย่างหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้คนส่วนมากเห็นแล้วไม่มีใครกล้าต่อสู้กับแกหรอก อำนาจแกมากเหลือคณา หรือเพียงแค่เห็นรอยเท้า ผู้คนก็ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว
ถ้าได้ยินเสียงว่า เสือบัวมาแล้ว ห้ามผู้ใดเอะอะหรือขัดขืน ผู้คนจะเงียบกริบเหมือนกับถูกมนต์ขลัง และมันก็น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าแกจะปล้น จี้ ลักขโมยที่ไหนก็ตาม แกไม่เคยใช้อาวุธเลย และอาวุธประจำตัวก็ไม่มี อย่างดีก็มีดแหลมเล่มเดียว คือ ส่วนมากแกจะใช้อาวุธข้างๆ ตัว เสียส่วนมาก เช่น เอาไม้ทุบหัวบ้าง กดคอจมน้ำบ้าง เอาเชือกรัดคอบ้าง หรือไม่ก็เอาอาวุธของเจ้าของทรัพย์นั่นแหละ ฆ่าเจ้าของทรัพย์ซะเอง เสือบัวจะถืออยู่อย่างหนึ่ง คือ แกจะฆ่าเฉพาะผู้ที่ขัดขืนหรือต่อสู้เท่านั้น ถ้ายินยอมเสีย เสือบัวก็จะไม่ทำอะไร และแกก็ไม่จับไปเป็นตัวประกันด้วย มาลักวัวลักควายใครแล้ว แกจะเอาเชือกผูกแล้วจูง หรือขี่หลังออกไปเฉยๆ
มีเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ คอกวัว คอกควาย บ้านใครที่คิดว่าทำคอกอย่างแน่นหนา เวลากลางค่ำกลางคืน อย่างตีลิ่ม ลงไลย ใส่กุญแจอย่างดี เพื่อป้องกันการลักขโมย พอตื่นเช้ามา ปรากฎว่าประตูถูกเปิดออกเฉยเสียอย่างนั้น โดยที่เจ้าของบ้านไม่รู้ตัว และไม่ได้ยินเสียงตีลิ่ม เปิดประตูคอกเลยด้วย นั่นแหละ คือ ผลงานของเสือบัวโดยไม่ต้องสงสัย ที่ทุกคนเชื่อเช่นนั้นก็เพราะว่าแกมี
คาถาสะเดาะลิ่มหรือกุญแจประตูนั่นเอง
บางครั้งออกปล้นเงินปล้นทอง แกจะบอกเจ้าทรัพย์ไปเอาออกมาให้ แล้วตัวแกก็จะนั่งดื่มน้ำรออย่างใจเย็น ทั้งนี้ เป็นเพราะความกลัวในกิตติศัพท์อันร้ายกาจของเสือบัวนั่นเอง เสือบัวสั่งอะไร อยากได้อะไร เจ้าทรัพย์ก็จะเอาออกมาให้จนหมด พอได้แล้วก็จะใช้ผ้าขาวม้าห่อเอา ถ้ามีควายด้วย แกจะขี่ควายไปด้วยทุกครั้ง
เสือบัวทำการปล้นอยู่อย่างนี้มาหลายปี ไม่มีใครฆ่าแกได้ และไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะเข้าถึง เพราะสมัยนั้นยังเป็นป่าเขาอยู่มาก ยากที่จะติดตามเจอ จึงไม่มีใครจับเสือบัวได้สักคน ทั้งที่แกถูกยิงถูกฟันจนไม่มีเสื้อจะใส่แล้ว เพราะใส่เสื้อปล้นทีไร ถูกยิงถูกฟันจนเสื้อขาดหมดทุกที มาระยะหลังแกออกปล้น จะไม่มีเสื้อใส่เลย จะมีก็แค่ผ้าขาวม้าผืนเดียวคาดเอว
ในที่สุดก็เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเสือบัว ไม่ว่าจะปล้นที่ไหน ถ้าคนที่ปล้นไม่ใส่เสื้อแล้ว ไม่มีใครหรอก นอกจากเสือบัวเท่านั้น แล้วก็ได้รับการขนานนามอีกว่า เสือบัวเทวดา เพราะไม่มีใครฆ่าหรือจับแกได้นั่นเอง
ชาวบ้านเขตอำเภอด่านขุนทด อำเภอสีคิ้ว อำเภอชัยบาดาล อำเภอปากช่อง อำเภอมวกเหล็ก ต่างก็รู้จักชื่อแกดีทั้งนั้น โดยเฉพาะชาวบ้านแถบเขาผาแดง ปางโก บ้านฉาง เขาน้อย ต่างก็รู้จักหรือจำตัวแกได้เป็นอย่างดี เห็นเพียงด้านหลังก็จำหน้าได้ ว่างั้นเถอะ เสือบัวจะใช้เขาแถบนั้นเป็นที่ซ่อนตัว มีบางคนบอกว่าบ้านของแกอยู่ในหุบเขาเสมา ตั้งอยู่หลังเดียวโดดๆ มีลูกมีเมียด้วย ข้าพเจ้าเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันว่า รังนอนของเสือบัวคงจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านข้าพเจ้านักหรอก เพราะเห็นแกบ่อยเหลือเกิน แต่เดิมทีนั้นแกเป็นคนมาจากทางสุรินทร์ หรือเป็นคนเขมรนั่นเอง
เสือบัวได้ทำอาชีพในการปล้นเขาเลี้ยงดูลูกเมียมาประมาณ ๑๓-๑๔ ปี แกก็ถึงคราวอวสานของชีวิต ถึงวาระที่จะต้องชดใช้กรรมที่ก่อเอาไว้อย่างมาก ประพฤติชั่วเสียจนไม่รู้ว่าดีนั้นเป็นอย่างไร ทำบาปเสียจนไม่รู้ว่าบุญนั้นเป็นอย่างไร ทำนองที่ว่า กัมมุนา วัตตะตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่มีใครที่จะอยู่เหนือกฎข้อนี้ไปได้
เมื่อมีคนเก่งก็ต้องมีคนมาปราบจนได้ เรียกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือสกุณายังมีนกอินทรี เสือบัวแกเข้าตำรานี้ แกจะเก่งอยู่คนเดียวไม่ได้ นี่เป็นหลักสัจธรรมที่ยืนยันได้ จึงเกิดมีอัศวินสองพี่น้องขี่ม้าขาวมาปราบแกจนได้
วันนั้น จำได้ว่ามันเป็นเดือน ๖ ข้างขึ้นด้วย เพราะมีพระจันทร์ขึ้นอยู่ครึ่งซีก กลางคืนก็มองเห็นป่าไม้ภูเขาขวางทะมึนอยู่รอบข้าง ลมที่เคยเงียบเหงาก็พัดกระหน่ำอย่างรุนแรง คล้ายกับจะมีอาเพทอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง ท้องฟ้าก็มืดมน เห็นหมู่เมฆลอยปกคลุมอยู่เหนือยอดเขา คล้ายกับจะมีฝนตกลงมา เพื่อชำระล้างเสนียดจัญไรอะไรสักอย่าง ที่รอโอกาสนี้มานานแล้ว ฉะนั้น
ตอนเช้า เสือบัวก็ออกตระเวณปล้นเป็นกิจวัตรของแกเช่นเดิม ขณะที่กำลังเดินครุ่นคิดอยู่ว่า จะไปลักวัวควายที่ไหนดี เหมือนกรรมบันดาล เพราะเสือบัวต้องไปเจอกับอัศวินสองพี่น้อง คือ ทิดหนอม กับ ทิดเนียม ซึ่งเป็นชาวบ้านปรางหูเสือ
ได้นำเอาควายออกมาเลี้ยงที่ไร่ของตนตามปกติ หลังจากเอาควายไปล่ามกินหญ้าริมคลองลำพญากลางแล้ว ทั้งสองพี่น้องก็ช่วยกันถางป่าขุดตอไม้ คุยกันไปตามประสาน้องพี่ผู้รักกันในสายเลือด หาได้คิดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตนเอง
ขณะคุยกันอยู่เพลินๆ นั้น ก็มีอีกาตัวหนึ่งบินไปจับที่ต้นไม้ ซึ่งไม่ห่างจากที่ล่ามควาย และที่ต้นไม้นั้นก็เป็นที่ไว้ของห่อข้าวด้วย ทิดหนอมก็บอกน้องชายให้ไปดูห่อข้าวว่า เฮ้ย..... ไอ้เนียม ลองเดินไปดูห่อข้าวที เอ็งเอาไว้ที่ไหน เดี๋ยวอีกาจะคาบไปกินเสียเท่านั้นแหละ
ทิดเนียมก็ชี้ไปที่ต้นตะคร้อที่อีกาจับอยู่พร้อมกับพูดว่า ก็ที่ต้นตะคร้อนั้นไงเล่า หรืออีกาจะเอาไปกินแล้วละมัง เดี๋ยวไปดูสักเดี๋ยวก่อน
พอพูดจบก็เดินออกไปดู ก็เห็นห่อข้าวอยู่เป็นปกติดี จึงได้เดินออกไปดูควายเพื่อย้ายที่เข้าร่ม เพราะจวนจะเที่ยงแล้ว แต่มันช่างบังเอิญเหลือเกิน พอทิดเนียมเดินออกไปหน่อยเดียวเท่านั้น ก็เห็นชายคนหนึ่งไม่ใส่เสื้อ กำลังขี่ควายของตนออกไปอย่างหน้าตาเฉย
ทิดเนียมแกเห็นแวบเดียวก็จำได้อย่างแม่นยำเลยเชียวล่ะ ผู้ชายหุ่นอย่างนี้ ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเสือบัวเท่านั้น พอเห็นเช่นนั้น ทิดเนียมแกก็วิ่งหน้าตื่นมาบอกพี่ชาย พี่ทิด..... พี่ทิด..... เร็วๆ เข้า โน่น ไอ้เสือบัวมันขี่ควายเราไปแล้ว
พูดจบแกก็วิ่งไปเอาปืนแก๊ปอาวุธคู่มือ ส่วนพี่ชายก็คว้ามีดที่กำลังถืออยู่ ก็ชวนกันวิ่งออกตามไป พอตามไปทัน สองพี่น้องก็ยังไม่จู่โจมโดยทันที พี่ชายบอกว่า..... ให้ตามไปเรื่อยๆ ก่อน ใจเย็นๆ อย่าวู่วาม เพราะเราต้องพึ่งตัวเองแล้ว จะไปขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้แล้ว ควายเราก็เหลือตัวเดียวเท่านั้น ถ้าหมดตัวนี้ก็หมดกันเท่านั้นแหละ ถึงอย่างไรเราก็ต้องพยายามเอาควายคืนให้ได้ เป็นไงเป็นกันล่ะ เราจะต้องแย่งชิงเอาคืนให้ได้
เมื่อทั้งสองพี่น้องตามไปได้พักหนึ่ง ก็ไปถึงทางขึ้นเขา ซึ่งเป็นทางยุทธศาสตร์ของทหารช่างในสมัยนั้น ทางเส้นนี้ลาดชัน และมีหินสลับซับซ้อนวกวน มีหินก้อนใหญ่ๆ ขวาง ทางก็คดไปคดมา กว่าจะถึงยอดเขาก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง แต่ทางเส้นนี้เกวียนพอจะขึ้นได้ เพราะชาวบ้านเขาจะใช้ทางเส้นนี้เป็นทางบรรทุกเอาพวกน้ำมันยางขี้ไต้ไปขายที่ตลาดสีคิ้วเป็นประจำ
พอถึงทางขึ้นเขา เสือบัวก็ลงจากหลังควาย แล้วก็เดินจูงควายไปตามทางขึ้นเขา จูงไปเรื่อยๆ ทางด้านสองพี่น้อง คือ ทิดหนอม กับ ทิดเนียม ก็แอบตามไปห่างๆ เพียงรอจังหวะโอกาสเหมาะๆ และก็ตามไปจนถึงยอดเขา ซึ่งตรงนั้นเป็นลานหินบริเวณกว้าง และมีหญ้าขึ้นเป็นหย่อมๆ อีกด้าาน หนึ่งก็เป็นหน้าผาเหวลึกยาวตลอดแนวเขา
เสือบัวแกก็หยุดเอาควายผูกกินหญ้า แล้วตัวแกก็นั่งพักใต้ร่มไม้ พอดีสองพี่น้องตามมาทัน เห็นแล้ว ไม่ฟังเสียง ด้วยความโมโหจึงส่องปืนแก๊ปที่ติดตัวมายิงใส่ทันที ควายตื่น เชือกขาดวิ่งลงเขาไป แต่เสือบัวไม่เป็นไร กระโดดเข้าใส่สองพี่น้องทันที สองพี่น้องมีปืนและมีด เสือบัวมีแต่ไม้ แต่ทั้งยิงทั้งแทงก็หาได้ระคายผิวเสือบัวไม่ ขณะเดียวกัน เสือบัวก็ทำอะไรสองพี่น้องไม่ได้เช่นกัน ต่างคนต่างก็กอดปล้ำกัน มาตอนหลังไม่ได้อาวุธแล้ว ต่างคนใช้มือเปล่าเข้าใส่กัน
ปล้ำกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่นาน โดยเฉพาะทิดหนอมกับทิดเนียมสองพี่น้อง ทำอย่างไรก็สู้เสือบัวไม่ได้ สองพี่น้องก็เหนื่อยถึงขนาดผลัดกันเข้าออก จนเสือบัวหมดแรง สองพี่น้องก็ช่วยกันจับมือ เอาเชือกควายที่ขาดติดอยู่กับต้นไม้มาผูกมือเสือบัวเอาไว้ แล้วน้องชายก็เอามีดไปตัดไม้รวกมาเสี้ยมให้แหลม จากนั้นก็ตอกเข้าไปในทวารของเสือบัว จนไม้รวกขนาดประมาณหนึ่งศอกจมมิด ทำเอาเสือบัวถึงกับร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ฟังดูเหมือนเสียงควายถูกตีหัวอย่างนั้น แล้วสองพี่น้องจึงช่วยกันจับเสือบัว ทิ้งลงเหวลึกตายอย่างน่าอนาถ
พอเสือบัวตายแล้ว ชาวบ้านต่างก็อนุโมทนา เพราะไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงอีกต่อไปแล้ว จะไปไหนมาไหนก็ไปได้อย่างสบาย ชาวบ้านก็อยู่อย่างเป็นสุข กรรมดี ถ้ากระทำก็ย่อมได้รับการสรรเสริญ ยกย่อง เชิดชูเกียรติ ทำนองเดียวกัน ถ้าใครทำแต่ความชั่วไว้ เขาย่อมได้รับแต่เสียงสาปแช่ง ก่นด่า อยู่เบื้องหลัง แม้จะละสังขารนี้ไปแล้วก็ตาม ดังเรื่องราวของเสือบัวผู้โด่งดังผู้นี้เป็นอาทิ
และเพราะตลอดชาติที่เขามาเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ประกอบแต่กรรมชั่วเป็นอาจิณ แม้เมื่อเขาตายไปแล้ว จึงยังต้องไปชดใช้กรรมอยู่อีกระยะหนึ่ง นั่นคือ ไม่มีกรรมดีพอที่จะส่งให้ไปผุดไปเกิดนั่นเอง จึงต้องเที่ยวเร่ร่อนขอส่วนบุญส่วนกุศล จนชาวบ้านต่างกลัวผีเสือบัวจนหัวหด ถึงกับต้องสร้างศาลเพียงตาให้เป็นที่สิงสถิตที่หน้าผา ตามความเชื่อมาตั้งแต่เดิมนั่นเอง ชาวบ้านจึงเรียกภูเขาลูกนี้ว่า
เขาเหวตาบัว
มาจนกระทั่งทุกวันนี้ เหวตาบัวอยู่ห่างจากถนนสายด่านขุนทด ลำนารายณ์ ประมาณ ๑ กิโลเมตร สถานที่แห่งนี้อยู่ระหว่างเขตแดนติดต่อของ ๓ จังหวัด คือ นครราชสีมา ลพบุรี และสระบุรี
.......................... เอวัง ..........................
_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 4:12 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
นายมัมคยายก
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 05 มิ.ย.2006, 8:15 am
พระธรรมคำสั่งสอนนั้นดีแล้ว แต่คนเราไม่ทำตามศาสนาถึงเสื่อม
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th