Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เวรกรรมมีจริงหรือเปล่า.. อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
น้องแต้ม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2005, 7:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



เขาว่ามี สวรรค์และนรก เป็นแค่จินตนาการหรือ มีจริงhttp://www.thaiinfonet.com/user/Ed/รอตอบที่เว็บนี้



 
กชพร
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2005
ตอบ: 8

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2005, 8:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สวรรค์และนรก ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์ คือสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้นะคะ แต่ถ้าเป็นทางศาสนา ศาสดาแสดงไว้เพื่อให้เห็นภาพของการทำดีและทำชั่ว และเพื่อให้ผู้ปฏิบัติเกิดความเกรงกลังต่อการทำชั่ว แต่ขณะมีชีวิตคำว่าสวรรค์ในอก นรกในใจนั้น ยังคงพอสัมผัสได้ นั่นคือความสุขและความทุกข์ของเรานั่นแหละค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2005, 11:28 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิธีสาธิตธรรมะนั้น ถ้าพูดถึงในแง่ของหลักธรรมทางศาสนา เกี่ยวกับเรื่องหิริ-โอตตัปปะแล้ว สวรรค์และนรกคือภาพประกอบในการสาธิต เคยคิดพิจารณาหรือไม่ว่า ทำไมคนโบราณจึงได้วาดภาพต่างๆ ทั้งรูปเทวดา ทั้งรูปสัตว์นรกไว้ ตามฝาผนัง ตามวัดวาอาราม ผนังโบสถ์ ผนังวิหาร ผนังศาลาการเปรียญอะไรต่างๆ



ภาพเกี่ยวกับเรื่องมาลัยสูตรที่มีปรากฎอยู่ในคัมภีร์เก่าๆ เราจะพบบ่อยๆ ท่านได้แสดงถึงเรื่องนรกแต่ละขุมๆเอาไว้ โบราณท่านก็ถ่ายทอดออกมาด้วยจินตนาการ คนวาดก็ไม่ใช่เป็นคนที่เห็นนรก ไม่ใช่เป็นคนที่เคยเห็นสวรรค์ แต่ก็อาศัยมโนภาพที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงไว้ปรากฏเป็นอักษรสมัย



และเมื่อเรารู้ เราเข้าใจเราก็วาดมโนภาพขึ้น และบรรจงการขีดเส้นลงไปให้เป็นรูปร่างลักษณะต่างๆด้วยความวิจิตรพิสดาร ซึ่งเกิดมาจากการศึกษาค้นคว้าให้เข้าใจในหลักธรรมทางศาสนา โบราณจึงนิยมสร้างภาพต่างๆที่น่ากลัวที่สุด เราจะพิจารณาได้ว่า ผลจากสัตว์กระทำความชั่วลงไป เขาจะต้องได้รับผลอย่างนี้ แล้วก็มีความทุกข์ทรมานอย่างนี้



ภาพนรก สวรรค์ ถึงแม้จะเป็นภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยจินตนาการ แต่คนที่ได้เห็นได้อ่าน ก็รู้สึกกลัวว่านี่เป็นผลจากคนๆนี้ที่ได้ทำความชั่วลงไป จึงต้องประสบกับผลกรรมชั่วเช่นนี้ ซึ่งไม่คุ้มค่ากันเลย แต่อย่างน้อยที่สุด ภาพเหล่านี้ก็ยังมีส่วนที่จะเหนี่ยวรั้งจิตใจได้มากที่สุด และก็มีความเกรงกลัวต่อผลที่จะต้องได้รับผลกรรม เมื่อเกรงกลัวก็เป็นเหตุทำให้ไม่กล้าทำบาป



โบราณท่านสาธิตหลักธรรมทางศาสนานี้ให้เราดู ให้กลัวถึงเรื่องของวิบากกรรมที่ไม่ดี ถามว่าเป็นเรื่องโกหกหรือไม่ หากปฏิบัติก็จะทราบได้ว่า ไม่ใช่เรื่องโกหก การค้นหาสถานที่เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ แต่การสาธิตหลักธรรมในภาพของนรก-สวรรค์ ให้บุคคลละอายเกรงกลัวต่อบาป เป็นเรื่องการถ่ายทอดหลักธรรมทางศาสนา



ธรรมะสวัสดี



มณี ปัทมะ ตารา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ขอบอก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2005, 11:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สวรรค์นรกมีจริง บาปบุญคุณโทษมีจริง เวรกรรมมีจริง ทำดีได้ดีมีจริง และทำชั่วได้ชั่วก็มีจริงๆ ด้วยนะ คนทำดีในเมืองมนุษย์ก็ยังเห็นเค้าได้ดีจริงนี่นะ เช่นพระสงฆ์องคเจ้าที่มีศีลวัตรงดงามตลอดเวลาทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ท่านมีความสุขความเย็น สะท้อนออกมาทางสีหน้าและวาจา น้ำเสียง ของท่าน ลองไปฟังดูก็ได้ คนอยู่ใกล้ยังพลอยมีความสบายใจไปด้วย และคนทำชั่วในเมืองมนุษย์ก็เห็นเค้าได้ชั่วจริงๆ ดูอย่างโจรปล้นฆ่าซิ ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไม่นานก็ถูกจับได้ถูกนำตัวไปรับโทษประหารชีวิต....ที่เห็นตัวอย่างทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วในเมืองมนุษย์ดังกล่าวมาแล้วนั้น เป็นเพียงแซมเปิ้ลเท่านั้นนะ ของจริงต้องได้เจอแน่ตอนตายไปแล้ว สวรรค์ก็จะได้เห็นจริง(หากทำแต่ความดี) นรกก็จะได้ไปตกจริงๆ(หากก่อแต่กรรมชั่ว)
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2005, 12:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปัจจุบันมีทฤษฎีที่วิทยาศาสตร์เชื่อมั่นว่าเป็นจริง เพราะเจ้าของทฤษฎีเป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก คือ อัลเบริต์ ไอสไตน์ แต่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ คือ ทฤษฎีสัมพันธภาพ E = mc ยกกำลัง 2 E คือ พลังงาน m คือ มวล(วัตถุ) และ c คือ ความเร็วของแสง

ทฤษฎีนี้หมายความว่า ถ้ามีมวลวัตถุใดก็ตาม มีความเร็วเหนือแสงขึ้นไป มวลวัตถุนั้นจะกลายเป็นพลังงาน อีกทั้งเขายังจะสามารถไปเห็นภาพนักรบโรมันในอดีตรบกัน



ปัจจุบันยังพิสูจน์ทฤษฎีนี้ไม่ได้ เพราะยังไม่มีใครสามารถสร้างยานที่มีความเร็วเท่ากับแสงได้ แต่ทุกคนก็เชื่อทฤษฎีนี้ เพราะถ้ามียานไหนไปถึงสภาวะนั้นได้จริง มันจะต้องมหัศจรรย์มากจนไม่มีความต่างต่างระหว่างมวลกับพลังงาน (กายกับใจ) และตามกฏของพลังงาน ว่าพลังงานไม่มีวันสูญหายไปไหน ดังนั้น แสงในอดีตก็ยังอยู่ และถ้าใครเร็วได้เหนือแสง เขาย่อมไปเห็นภาพแสงในอดีตได้ (ระลึกชาติ)



แต่ในพระพุทธศาสนา มียานที่ว่านั้นจริง และมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน นั่นคือ ใจของเราเอง ใจของเราเร็วกว่าแสง เราลองคิดถึงดวงอาทิตย์สิ ใช้เวลาชั่วกระพริบตา แต่กว่าแสงจะเดินทางจะดวงอาทิตย์มายังโลกเรา ใช้เวลาตั้ง 8 นาทีกว่า

เพียงแต่ว่า จิตที่ยังไม่ฝึกนั้น จะฟุ้งซ่านไปในเรื่องราวต่างๆ ไร้ซึ่งพลัง ส่วนจิตที่ฝึกดีแล้ว จะทรงพลัง และทำสิ่งมหัศจรรย์ให้บังเกิดขึ้นได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ เพราะกายเบาเท่ากับใจแล้ว (มวลกลายเป็นพลังงานแล้ว) หรือแม้แต่การระลึกชาติ ดังนั้น เมื่อสิ่งเหล่านี้ เช่น ล่องหน หายตัว เหาะเหินเดินอากาศ หูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติ ยังมี ดังนั้น ทำไมสิ่งอื่นที่กล่าวไว้ในพระพุทธศาสนา เช่น นรกสวรรค์ นิพพานจะไม่มีล่ะครับ



ปัจจุบันในต่างประเทศ นักวิทยาศาสตร์ กำลังศึกษาวิจัยเรื่องจิตนี้อย่างจริงจัง เช่น โทรจิต คุยข้ามประเทศกันโดยไม่ใช้มือถือ เทเลโพส ย้ายของจากที่หนึ่ง ไปอีกที่หนึ่ง โดยใช้จิต ไม่ใช่มือ เป็นต้นครับ



 
คณิตตา
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 04 เม.ย. 2005
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2005, 9:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่มีใครพิสูจน์ได้ เพราะตายไปแล้ว ไม่สามารถติดต่อได้เลย

จึงเป็นปัญหาโลกแตก ซึ่งวิทยาศาสตร์ก็ยังยอมแพ้

แต่อย่างไรก็ตาม สวรรค์ หรือ นรก อยูที่ใจ

ทำไม่ดี ก็ต้องทุกข์ใจหาทางปิดบังความชั่วตลอดเวลา

ทำดี ก็สุขใจ เพราะไม่เดือดร้อนใคร

ดังนั้น ไม่ต้องค้นหาคำตอบว่า นรก หรือสวรรค์อยู่ที่ไหน

เพราะเคยเห็นคนเขาทุจริตเงินหลวง

ณ วันหนึ่งความจริงปรากฎ พี่เขานอนไม่ได้เลย

ผุดลุก ผุดนั่ง ทั้งคืน เลย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว

ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 13 เม.ย.2005, 11:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
เมย์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2005, 4:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
op
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 ม.ค. 2006, 1:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง