ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 6:05 am |
  |
มีผู้กล่าวไว้ว่า หากอยากรักษาไมตรีกับใคร ก็อย่าคุยเรื่องการเมือง เพราะลักษณะของการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มักจะทำให้เกิด คู่ ความขัดแย้ง ที่เห็นแตกต่างกันคนละขั้วอยู่เสมอนำไปสู่การแยกเขา-แยกเรา ความเครียด ความโกรธ เกลียด อยากเอาชนะ ฯลฯ เกิดความไม่สบายใจ
ซึ่งหากไม่รู้จักวิธีการผ่อนและคลายก็จะสะสมกลายเป็นความทุกข์ก่อผลร้ายแก่ร่างกายและจิตใจ ข่าวจากการทำโพลระบุว่า คนไทยไม่น้อยกำลังเครียด และทุกข์จากวิกฤตการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน ไม่ว่าในที่ทำงาน ที่บ้าน ฯลฯ
วิธีการต่อไปนี้สามารถช่วยให้เรามีสภาพจิตใจและร่างกาย ที่ไปพ้นจากความเครียดความทุกข์ ที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองได้ หากทดลองปฏิบัติกันดู คือ
๑. เปิดใจกว้างไม่มองผู้ที่เห็นต่างจากเราเป็นศัตรู คนเรานั้นเห็นต่างกันได้ จึงเป็นธรรมดาที่มีบางคนหรือหลายคนยังนิยมชมชื่นคนที่เราไม่ชอบ การที่เขาเห็นต่างจากเราเพราะได้รับข้อมูลต่างจากเรา หรือเพราะมีเกณฑ์วัดความดีหรือความสำเร็จไม่เหมือนเรา ฯลฯ จะเป็นเพราะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ข้อสำคัญก็คือคนที่เห็นต่างจากเราไม่ใช่คนเลว คนดีก็มีสิทธิเห็นต่างจากเราได้ ดังนั้นจึงไม่ควรเห็นเขาเป็นศัตรู ขอให้ระลึกว่า เขาอาจเห็นต่างจากเราในเรื่องนี้ แต่เรื่องอื่นอาจเห็นเหมือนกับเรา และเรื่องที่เห็นเหมือนกันนั้นอาจมีมากกว่าเรื่องที่เห็นต่างกันก็ได้
๒. มองให้ไกล แล้วช่องว่างจะลดลง แม้สองฟากถนนจะห่างกัน แต่เมื่อมองไกลสุดสายตา ทั้งหมดก็ไปบรรจบที่จุดเดียวกัน ฉันใดก็ฉันนั้น วันนี้เรากับเขาอาจอยู่คนละมุม แต่พรุ่งนี้เรากับเขาอาจร่วมมือร่วมใจกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ (ปรากฏการณ์ที่เห็นชัดที่สุดคือ ตอนที่คนไทยร่วมใจกู้ภัยสึนามิ) เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งทะเลาะกันจนมองหน้าไม่ติด วันพรุ่งนี้ยังรอให้เรามาจับมือกันทำงานใหญ่ก็ได้ อย่าลืมว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนไทยเช่นเดียวกับเรา มิหนำซ้ำบางคนก็เป็นคู่รักและผู้มีพระคุณกับเรา บุคคลที่เป็นชนวนให้เกิดความเห็นแตกต่างกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องไป (จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่) แต่เราทุกคนที่เหลือยังจะต้องอยู่ร่วมกันบนผืนแผ่นดินนี้ และบางคนก็ยังต้องอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ร่วมสำนักงานเดียวกัน ในเมื่อเราทุกคนยังจะต้องอยู่ร่วมกันไปอีกนาน ดังนั้นจะทะเลาะวิวาทกันไปทำไม อย่าให้ใครคนเดียว มาเป็นเหตุให้เราต้องเหินห่างหมางเมินกับคู่รัก พ่อแม่พี่น้อง หรือมิตรสหายเลย สายสัมพันธ์ของเรามีค่ากว่านั้นมาก
๓. เอาคู่ตรงข้ามออกจากใจบ้างอย่าให้คู่ตรงข้ามที่เราไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย ยึดครองจิตใจของเรา จนไม่มีที่ว่างให้กับเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญเลย ชีวิตเรายังมีอีกหลายเรื่องที่สำคัญ เอาเขาออกไปจากใจของเราเสียบ้าง จิตใจของเราจะได้โปร่งโล่งหายอึดอัดกลัดกลุ้ม อย่างน้อยเวลากิน เวลานอน ก็อย่าไปหมกมุ่นครุ่นคิดว่า ใครจะอยู่หรือไป ใครแพ้ใครชนะ เวลาทำงานก็ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ อย่าเอาเขามาเป็นอารมณ์จนไม่เป็นอันทำงานหรือเสียสมาธิ ข่าวสารการเมืองจากหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ เป็นสิ่งที่เราควรสนใจก็จริงอยู่ แต่อย่าเสียเวลากับข่าวเหล่านั้น จนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น อย่าลืมว่าการเมืองไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเรา หากเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ชีวิตเรายังมีอีกหลายเรื่องที่ควรใส่ใจ
๔. แผ่เมตตาให้คู่ตรงข้ามบ้าง ความโกรธเกลียดไม่เป็นผลดีแก่จิตใจของเรา ทุกครั้งที่เรารู้สึกโกรธเกลียด มีจิตปรารถนาร้ายต่อใคร คนแรกที่ถูกทำร้ายคือเรา ความโกรธเกลียดนั้นทำร้ายเราก่อนที่จะไปทำร้ายคนอื่นเสียอีก เพียงแค่คิดถึงเขาก่อนนอน ก็อาจทำให้เรานอนไม่หลับ เกิดความเครียด ความดันโลหิตขึ้น อย่าปล่อยให้ความโกรธเกลียดบั่นทอนจิตใจของเรา ขับไล่ความโกรธเกลียดไปด้วยการแผ่เมตตา ทุกคืนก่อนนอน ลองแผ่เมตตาให้คู่ตรงข้ามกับความคิดของเรา อธิษฐานด้วยความปรารถนาดี ขอให้เขาหลุดพ้นจากวังวนแห่งความทุกข์ ขอให้ความโลภ โกรธ หลงอย่าได้เกาะกุมจิตใจเขาเลย ขอให้เขามีสัมมาทิฏฐิ และมีโอกาสเข้าถึงความสงบสุขที่ลึกซึ้งในชีวิตด้วยเทอญ เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ หรือดูโทรทัศน์พบเห็นภาพของคู่ตรงข้ามที่เราไม่ชอบใจ ก็แผ่เมตตาทำนองนี้ให้เขาด้วยก็ดี อย่างน้อยใจเราจะได้ไม่เร่าร้อนหรือถูกเผาลนด้วยความโกรธเกลียด
๕. ผ่อนคลายด้วยลมหายใจ เมื่อมีความเครียดหรือรู้สึกโกรธเกลียด ลองดับความเร่าร้อนด้วยลมหายใจดูบ้าง โดยหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ หายใจออกยาวๆ ช้าๆ น้อมใจมาอยู่ที่ลมหายใจทั้งเข้าและออก ให้ใจอิงแอบอยู่กับลมหายใจอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง พร้อมกับนับทุกครั้งที่หายใจออก เริ่มจาก ๑ ไปถึง ๑๐ จะทำกี่รอบก็ได้ ยิ่งนานยิ่งดี บางครั้งใจจะเผลอแวบไปนึกเรื่องอื่น รู้ตัวเมื่อไร ก็ดึงจิตกลับมาที่ลมหายใจ ถ้าจำไม่ได้ว่านับไปถึงไหนแล้ว ก็ให้เริ่มนับ ๑ ใหม่ วิธีนี้ทำได้ทุกที่ ระหว่างชุมนุมก็ได้ ดูทีวี หรือระหว่างนั่งรถก็ได้ หรือระหว่างที่กำลังฟังคนที่เห็นต่างจากเราก็ได้ วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย หายเร่าร้อนแล้ว ยังทำให้เกิดความสงบภายใน และช่วยให้สมองปลอดโปร่ง คิดอะไรได้ดีขึ้น
๖. พักผ่อนให้เต็มที่ อย่าให้การเมืองแย่งเวลาของการพักผ่อนและนอนหลับอย่างเต็มที่ การอดนอนอย่างสะสมจะทำให้สมองตื้อและเครียด หงุดหงิดฉุนเฉียวได้ง่าย เรื่องเล็กอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นควรหาเวลาพักผ่อน ไม่จดจ่อแต่การเมือง การอยากเอาชนะ การจัดเวลาจึงมีความสำคัญ นอกจากการพักกายแล้ว ก็ควรพักใจด้วย โดยการปล่อยวางจากเรื่องที่เคร่งเครียดบ้าง หรือถอนตัวออกจากเหตุการณ์ที่วุ่นวายสักระยะหนึ่ง จะใช้ลมหายใจช่วยด้วยก็ได้ เมื่อจิตใจปลอดโปร่ง ตั้งหลักให้สบายคลายเครียดแล้ว ค่อยมาติดตามต่อไป หากทำได้อย่างนี้ ก็จะอยู่อย่างไม่ทุกข์ หรือทุกข์น้อย ทุกข์ไม่นาน กับสถานการณ์ความขัดแย้งในวิกฤตการณ์ปัจจุบัน และยังอาจมีพลังของการสร้างสรรค์สิ่งดีงามได้อีกด้วย
คัดลอกจาก
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=11413 |
|
|
|
  |
 |
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 6:15 am |
  |
นี้ก็อีกข้อคิดหนึ่ง ที่นำมาฝากทุกท่านครับ
------------------------------------------------
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=11410
เรามีชีวิตอยู่อย่างไร? ทางนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเราที่ทุกคนมานั่งอยู่ในห้องนี้ มาใช้เวลาให้หมดไปกับการสวดมนต์ทำวัตรเช้า ฟังเรื่องราวที่เป็นกุศล แล้วสร้างสิ่งที่จะมาบันดลชีวิตของเราให้เป็นผู้ประเสริฐได้ในอนาคตก็คือ การรู้พระอภิธรรมปิฎกและการปฏิบัติธรรม ซึ่งต่างจากผู้ที่อยู่นอกห้องนี้หรือในขณะที่เราไม่ได้อยู่ในห้องนี้ที่ไม่สามารถไปรับประกันได้ว่าจะกลับไปอยู่กับกิเลสอีกไหม หรือจะมีเรื่องวุ่นวายอะไรอีก
เพราะขณะนี้ประเทศไทยทั้งประเทศร้อนเป็นเพลิง เราจึงได้มาสวดมนต์กันเพื่อแผ่เมตตาไปทั่วทิศ และเราก็ทำได้แค่นี้จริงๆ นอกจากนี้ก็อยู่นอกเหนือความสามารถ ถามว่าตัวเองอยากได้อะไร? อยากให้ประเทศไทยสงบ ทำไมจึงอยากให้ประเทศสงบ? ก็ต้องบอกว่า เป็นห่วงในหลวงมาก เพราะพระองค์ท่านเป็นบุคคลที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เราเกิดมาที่เราได้เห็นพระองค์ทำสิ่งต่างๆ แต่มาบัดนี้สิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์ท่านเป็นสิ่งที่ไม่น่ารื่นรมย์เลย
เรื่องของกรรมที่จำเพาะเจาะจงไม่มีใครหลบหลีกได้ เวลาที่จะส่งผลให้นั้นไปว่าจะอยู่ที่ไหนกรรมก็ส่งไปให้ได้ทั้งฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ สิ่งที่เราจะช่วยได้ในตอนนี้ก็คือต้องเป็นคนดีคนหนึ่งของประเทศ หรือเป็นคนดีหมู่หนึ่งกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่เร่าร้อนไปกับเพลิงกิเลสหรือสิ่งยั่วยุเหล่านั้น แล้วไม่ทำตัวเป็นผู้เลือกที่รักผลักที่ชัง แต่รักตัวเองด้วยการมาหาความรู้
ฉะนั้นบางคนจึงอย่าคิดว่าตัวเองฉลาด ซึ่งได้เขียนไว้ว่า ..จึงไม่ฉลาดเลยที่จะเชื่อในปัญญาความสามารถของตนจนเกินไปว่าข้าแน่แล้ว ดีแล้ว รู้หมดแล้ว แต่เป็นการดีที่จะพึงสังวรไว้เสมอว่า ผู้ที่เข้มแข็งที่สุดอาจจะอ่อนแอลงได้ และผู้ที่ฉลาดที่สุดอาจจะพลาดพลั้งได้ ซึ่งไม่ควรประมาทในชีวิตและความมีของตนเองเลย ..
เพราะคนฉลาดไม่ได้หมายถึงว่าคนนั้นเป็นคนที่มีปัญญาเสมอไป คนมีปัญญาก็ไม่ได้แปลว่า คนนั้นจะฉลาดเสมอไป แต่เมื่อใดคนมีปัญญาแล้วฉลาดรู้ ฉลาดทำ ฉลาดคิด คนนั้นก็จะมีชีวิตที่ไปได้โลดและเอาตัวรอด
ดังนั้น จะมีความฉลาดเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะมีปัญญาเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะอาจพูดไปในสิ่งที่เขารับฟังไม่ได้ หรือเอาธรรมะไปสอนที่เขายังรับฟังไม่ได้เรียกว่าเป็นความไม่ฉลาดใช้ให้เหมาะกับกาลเวลา จึงต้องมีทั้งความฉลาด มีปัญญา มีไหวพริบปฏิภาณ และโดยเฉพาะการรู้รักษาความสงบใจของตนเองไว้ให้ได้
บางคนที่มีความประมาทเราก็จะเห็นจากการแสดงของเขาที่ชอบพูดว่า คนนั้นดี คนนี้ดี ฉันนี่แหละดี ฉันนี่แหละเก่ง ..นี่เป็นความประมาทเกินไป เพราะคนที่เก่งกว่าเรายังมีอีกเยอะแยะ คนทีดีกว่าเราก็ยังมีอีกมากมาย ..เราเป็นเพียงผู้ที่เดินตามหลังมาเท่านั้น การที่เรามองว่า "ไม่เห็นมีใครฉลาดเลยสู้ฉันไม่ได้" ตรงนี้แหละคิดผิด
แต่ถ้าเรายังไม่เห็นใครฉลาดจริงๆ ก็จงนึกถึงผู้ที่เขาฉลาดกว่าเรา เช่น ท่านอาจารย์บุญมี หลวงพ่อแสวง หลวงพ่อเสือ ..ความลำพองอหังการ์ของเราก็จะยวบลงมาได้ ไม่ร้องแต่เพลงเย้ยฟ้าท้าดิน "เย้ยทั้งฟ้า ท้าทั้งดินสิ้นยำเกรง หรือใครเก่งเกินข้าฟ้าดินกลัว" เพลงนี้อยู่เพลงเดียว
ถ้าหากใครที่มีความรู้สึกอย่างนี้อยู่คิดว่าฉันเป็นฮีโร่ (ที่ไม่ได้ยี่สิบห้าล้านไม่มีใครให้เหรียญทอง) ไม่มีใครเทียบเราได้ ก็ให้หันกลับไปมองผู้ที่เราศิโรราบได้ เช่น บรรพบุรุษของเราผู้ที่สร้างบ้านสร้างเมืองไว้ให้ แม้ใครจะมาสร้างตอนนี้ก็สู้บรรพบุรุษไม่ได้เพราะท่านสร้างแผ่นดินไว้ให้ แล้วแผ่นดินนี้จึงค่อยมาปลูกสิ่งก่อสร้างขึ้นในภายหลัง ..ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้ที่ดีกว่าเรามากมาย การที่ฉลาดคิดฉลาดทำเช่นนี้ก็จะทำให้เราลดความเร่าร้อนลง ลดความมานะลำพองลงไปได้
ผู้ที่เข้มแข็งที่สุดอาจจะอ่อนแอลงได้ ..จึงเป็นการดีที่เราจะพึงสังวรเสมอว่า ผู้ที่แข็งเรงที่สุดอาจจะอ่อนแอลงได้ดังเช่นพญาช้างสารที่ยังล้มลงได้เลยในยามป่วย ยามถูกอาวุธ ซึ่งเราก็จะเห็นเลยว่าคนที่แข็งแรงที่สุดเมื่อเข้าสู่วัยชราความแข็งแรงก็เสื่อมไป
และก็เคยเห็นคนที่แข็งแรงมากๆ อยู่คนหนึ่งและก็เพิ่งได้ไปพบมาเมื่อวันศุกร์นี้ เป็นผู้หญิงที่ทั้งร่างกายก็แข็งแรง ความคิดก็ว่องไว การศึกษาก็สูงจบปริญญาโทจากต่างประเทศ มีความรู้ความสามารถมาก ทั้งยังพูดจาไพเราะมากเวลาทำรายการโทรทัศน์ของตนเองก็ยังพากษ์เสียงเองด้วย แต่ตอนนี้มีสุขภาพที่แย่มากสภาพความแข็งแรงหายไปหมด เดินไม่ค่อยคล่องเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นผู้หญิงเก่งมาก สำหรับตนเองนั้นก็เคยคิดนะว่า ความสามารถเท่ากับผู้หญิงคนนี้ก็คงจะดีนะ เราคงเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้มากกว่านี้อีก เพราะคนนี้พูดภาษาอังกฤษเป็นไฟเลย แล้วก็รู้จักทุกวงการ แต่ตอนนี้บวชเป็นแม่ชีซึ่งมีสุขภาพที่อ่อนแอ
ผู้ที่ฉลาดที่สุดอาจจะพลาดพลั้งได้ ....เช่น ขงเบ้งที่ดูแลชีวิตคนอื่นแต่ลืมดูตนเองกว่าจะมามองดูดาวแล้วก็ไม่ทันแล้วและขนาดดูแล้วก็ยังตาย รัสปูตินก็พลาดไปกินแซนด์วิชผสมยาพิษ เราจึงไม่ควรประมาทในชีวิตและความมีของตนเองเลยว่าปัญญาวุธน่ะมีพอแล้ว อาวุโสมีพอแล้ว ความไหวพริบมีพอแล้ว ..เพราะนั่นแหละคือความประมาทและความกล้าเสี่ยงที่สุด
---------------------------------------------------------
แม้ไม่ได้ เข้าร่วมสวดมนต์ไหว้พระ กับท่านเหล่านั้น แต่ก็ได้รับอานิสงส์ ให้จิตไม่เร่าร้อนจนเกินไป มีหลักการวางใจ
ดูข่าว ตอนมีการยึด ประกาศ ภาวะฉุกเฉิน มี บางท่านเสนอให้ไปนั่งสมาธิ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งผมถือว่าทำได้ลำบาก
มาลดความเร่าร้อน จากเพลิง โลภะ โทสะ โมหะ ในใจของแต่ละท่านดีกว่าครับ |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 6:51 am |
  |
ก็พูดยากอะเนาะ
ผมมีเพื่อนสนิท อยู่สุดกู่ทั้งสองข้าง
อยู่กันมาดีๆ
จนวัน พรก ฉุกเฉิน
คนหนึ่งเครียดอยู่ทั้งวัน
หลงอารมณืเกิดเคร้าหมองกดดันทั้งวัน
ธรรมชาติเรื่องที่เครียด ก็ไม่ใช่เรื่องจะคุยกันกับใครง่ายๆ
อดจนทนไม่ไหวก็หลุดปากออกมา
อีกฝ่ายก้ตอบโต้อัตตาทันที
ครั้นเราจะพูดให้เจริญสติ ... กลัวคนพูดโดนไม่ใช่น้อย
จะพูดให้มีศีล ... กลัวคนพูดโดนไม่ใช่น้อย
จะแก้ไขด้วยความคิด ก็ยิ่งยุ่งไปกันใหญ่ มีแต่คนอยากจะพุด ไม่มีคนอยากฟัง
........
เอาตัวรอดละฟะ...งานนี้ .. ดัวยตนของตน
เหลือวิสัยก้ กรรมใครกรรมมัน
ปรุงมากก้ทุกข์มาก ปรุงน้อยก้ทุกข์น้อย |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 7:29 am |
  |
คุณเฉลิมศักดิ์ตั้งกระทู้เข้ากับสถานการณ์นะครับ
เพื่อความเข้าใจธรรมะกว้างขึ้น ขอฝากข้อธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน
ให้พิจารณาดังนี้
ปฏิจจสมุปบาทในฐานปัจจยาการทางสังคม
ในมหานิทานสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักปัจจยาการ ทั้งที่เป็นไป
ภายในจิตใจของบุคคล และที่เป็นไปภายในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
หรือในทางสังคม
ปฏิจจสมุปบาทแห่งทุกข์ หรือ ความชั่วร้ายทางสังคม ก็ดำเนินมา
ตามวิถีเดียวกันกับปฏิจจสมุปบาทแห่งทุกข์ของชีวิตนั่นเอง แต่เริ่ม
แยกออกแสดงอาการที่เป็นไปภายนอกต่อแต่ตัณหาเป็นต้นไป
แสดงพุทธพจน์ เฉพาะช่วงตอนนี้ ดังนี้
อานนท์ ด้วยประการดังนี้แล อาศัยเวทนาจึงมีตัณหา อาศัย
ตัณหาจึงมีปริเยสนา อาศัยปริเยสนาจึงมีลาภะ อาศัยลาภะจึงมี
วินิจฉัย อาศัยวินิจฉัยจึงมีฉันทราคะ อาศัยฉันทราคะจึงมีอัชโฌสาน
อาศัยอัชโฌสานจึงมีปริคคหะ อาศัยปริคคหะจึงมีมัจฉริยะ
อาศัยมัจฉริยะจึงมีอารักขะ อาศัยอารักขะสืบเนื่องจากอารักขะ จึงมีการ
ถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ แก่งแย่ง วิวาท การด่าว่า
มึง มึง การส่อเสียด มุสาวาท บาปอกุศลธรรมทั้งหลายเป็นเอนก
ย่อมเกิดมีพรั่งพร้อมด้วยอาการอย่างนี้... (ที.ม.10/59/69)
แสดงกระบวนธรรมที่แยกเป็น 2 สาย ให้ดูอย่างง่ายๆ ดังนี้
อวิชชา => สังขาร=> วิญญาณ => นามรูป =>สฬายตนะ => ผัสสะ
=> เวทนา => ตัณหา => อุปาทาน => ภพ => ชาติ => ชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ฯลฯ = ทุกข์ของชีวิต
ฯลฯ...เวทนา => ตัณหา => ปริเยสนา => ลาภะ => วินิจฉัย
=> ฉันทะราคะ => อัชโฌสานะ => ปริคคหะ => มัจฉริยะ
=> อารักขะ => การทะเลาะ แก่งแย่ง วิวาท
ส่อเสียด มุสาวาท ฯลฯ = ทุกข์ของสังคม |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 8:04 am |
  |
กระทู้ถามว่า อยู่กับความขัดแย้งทางการเมือง....อย่างไรไม่
ให้ทุกข์
ปัญหาใหญ่ คือ คำว่า ทุกข์ เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอน
เรื่องทุกข์และความดับทุกข์
เมื่อดับทุกข์ได้ก็เท่ากับแก้ปัญหาทุกข์อริยสัจได้ แก้ทุกข์ลักษณะใน
ไตรลักษณ์ได้
ในเมื่อเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาสำคัญอย่างนี้ จึงขอเชิญชวนหมู่มวล
สมาชิก และขออนุญาตเชิญท่าน admin ร่วมสนทนาชี้แนวทางพ้นทุกข์
ด้วยจะเป็นคุณูปการแก่สาธุชนผู้แสวงทางพ้นทุกข์ด้วยครับ  |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
dd
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2008
ตอบ: 179
ที่อยู่ (จังหวัด): overseas
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 3:00 pm |
  |
สาธุครับคุณเฉลิมศักดิ์ ทันเหตุการณ์ดีครับ เวลานี้เป็นเวลาที่ต้องหาข้อธรรมะเพื่อหยุดความฟุ้งซ่าน อันเกิดจากเหตุการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติขณะนี้ครับ  |
|
_________________ ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ |
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 8:18 pm |
  |
อยู่แบบเอาแต่ส่วนครับ....หมายถึงอย่าไปมองอะไรให้มันไกลตัวครับ..
ตัวอย่างวิธีคิดของกระผมตอนนี้......
- มีการชุมนุมประท้วงขับไล่นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล......ก็ช่างเถอะไม่ได้มาประท้วงที่เตียงนอนเราก็แล้วไป....
- เกิดการปะทะกันระหว่างม็อบพันธมิตร และ นปก ที่บริเวณหน้าทำเนียบ....ก็ช่างเถอะไม่ได้มาปะทะกันในบ้านเราซะหน่อย
- ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน....ก็ไม่เห็นว่าจะลำบากตรงไหนเพราะเราไม่ได้ไปชุมนุมซะหน่อย
- อดีตนายกลี้ภัยไปอังกฤษ....ก็ไม่ได้ทำให้เราตกงานซะหน่อย
- พายุถล่มกรุงส่งผลให้ เตนท์และเวทีพันธมิตรถูกพายุลูกเห็บถล่มได้รับความเสียหาย...............ขอบคุณพระสยามเทวาธิราชเป็นอย่างยิ่ง.... |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 9:14 pm |
  |
ฝนตกเป็นเรื่องธรรมชาติ ฝ่ายอุตุนิยาม หนึ่งในนิยาม 5 อย่าง
นอนอยู่บ้านก็พ้นทุกข์จากการตากแดดตากฝนได้ประการหนึ่ง  |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 11:37 pm |
  |
ผลมี เหตุย่อมมี เหตุมี ผลย่อมมี ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นมันมีเหตุและผลอยู่ในตัว พียงแต่ว่า ผู้ใดจะมีสติ สัมปชัญญะมากกว่ากัน เราไม่เอาใจไปข้องกับมัน มองมันด้วยความเข้าใจ มันก็จบ จบที่ใคร จบที่ตัวเรา ใครจะฆ่ากัน ใครจะด่ากัน มันก็เรื่องของเขา ทุกอย่างมันย่อมมีเหตุมาก่อน ผลจึงเป็นเช่นนี้ วิบากกรรรมมันจะมีอะไร
ที่บ้านก็เป็นเหมือนกัน เป็นเรื่องของความชอบ ความชัง เป็นเรื่องของความคิดส่วนตัว เวลาน้องๆจะพูดเรื่องการเมือง ดิฉันจะบอกน้องว่า หากจะคุยกัน อย่าคุยเรื่องการเมือง น้องถามว่าดิฉันชอบใคร ดิฉันบอกว่า ทุกคนมีหน้าที่ ที่จะต้องทำ ดิฉันเองก็มีหน้าที่ ที่จะต้องทำ เลยไม่มีเวลามานั่งคิดว่าชอบใคร หรือ ชังใคร ใครทำอะไรยังไง เขาย่อมได้รับผลของการกระทำของเขาเอง พอได้แล้วเรื่องการเมือง ไม่คุย น้องเลยต้องจบ
เหมือนเรื่องพายุ ที่ว่าจะมาถล่มแถบอ่าวไทย ซึ่งสมุทรปราการ เขาก็อ้างว่าเป็นเขตสีแดง มีคนถามว่า ดิฉันเตรียมตัวอย่างไร ดิฉันบอกว่า อยู่อย่างมีสติ สัมปชัญญะ เวลาอะไรเกิด เราจะได้รับมือกับมันได้ หากเคยสร้างเหตุไม่ดีมาก่อน เราต้องยอมรับผลที่จะเกิด คนที่เขาร่ำรวย ทรัพยืสินที่เขาจะต้องเสียหายมากกว่าเรานี่มันเยอะมากๆ ฉะนั้นไม่ต้องไปตกใจกับข่าว ซึ่งอาจจะเป็นไปได้หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้ก็ได้ ไม่ตายวันนี้ วันหน้าก้ต้องตาย ยังไงๆทุกคนก้ต้องตาย ฉะนั้นจงมีสติ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เราอยู่อย่างเป็นสุข เพราะเรารู้ว่าเราจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 7:39 pm |
  |
เพื่อให้เห็นธรรมะกว้างขึ้นอีก ตลอดจนเข้าใจสาระปฏิจจสมุปบาท (สิ่งที่อาศัย
กันๆเกิดขึ้น) พิจารณาพุทธพจน์ต่อไปนี้อีก
-พระสูตรต่างๆมี อัคคัญญสูตร จักกวัตติสูตร และวาเสฏฐสูตร เป็นต้น
แสดงความเป็นไปต่างๆในสังคมของมนุษย์ เช่น เรื่องชั้นวรรณะ และ
ความแตกต่าง หรือ เป็นต่างๆของมนุษย์ เป็นต้น ว่าเป็นผลแห่งความสัมพันธ์
หรือ การกระทำต่อกันของมนุษย์ ภายในสภาพแวดล้อม
ของธรรมชาติที่เกี่ยวข้อง
พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นผลแห่งวิวัฒนาการที่เกิดจากความเป็นปัจจัยอาศัยกันและ
กันระหว่างมนุษย์- (ตั้งแต่องค์ประกอบภายในจิตใจออกมา) สังคมและ
ธรรมชาติแวดล้อมทั้งหมด เช่น เวทนาที่มนุษย์ได้รับ ต้องอาศัยผัสสะ
ซึ่งมีองค์ประกอบทางสังคม หรือ ธรรมชาติแวดล้อมเป็นส่วนร่วมกับองค์ประกอบ
ภายในเช่นสัญญาที่มีอยู่ เมื่อได้เวทนาแล้วก็เกิดตัณหาขึ้น ก็มีพฤติกรรม
อาจจะแสดงออกโดยกระทำต่อมนุษย์อื่น หรือ ต่อสภาพแวดล้อม ภายในขอบ
เขตจำกัดของสภาวะทางสังคมและธรรมชาติแวดล้อมนั้น แล้วผลเกิดขึ้น
กระทบต่อองค์ประกอบทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
มนุษย์ไม่ใช่เป็นผู้กำหนดสังคมหรือสภาพแวดล้อมฝ่ายเดียว
สังคมก็ไม่ใช่ตัวกำหนดมนุษย์ข้างเดียว
และธรรมชาติแวดล้อมก็ไม่ใช่ตัวกำหนดมนุษย์หรือสังคมฝ่ายเดียว
แต่เป็นกระบวนธรรมแห่งการอาศัยซึ่งกันและกันเป็นปัจจัยแก่กัน
ความบางตอนในอัคคัญญสูตรที่แสดงแนวความคิดวิวัฒนาการตามหลัก
ปัจจยาการ เช่น
คนเกียจคร้านนำข้าวมาเก็บสั่งสมและเกิดความนิยมทำตามกัน =>เกิดการปักปัน
กั้นเขตแบ่งส่วนข้าว => คนโลภลักส่วนของคนอื่นมาเพิ่มแก่ตน (เกิด
อทินนาทาน) => เกิดการตำหนิติเตียน การกล่าวเท็จ การทำร้ายลงโทษ
การต่อสู้ => ผู้มีปัญญาเห็นความจำเป็นต้องมีการปกครอง เกิดการเลือกตั้ง
เกิดมีคำว่ากษัตริย์ - มีคนเบื่อหน่ายความชั่วร้ายในสังคม คิดล้างบาปไป
อยู่ป่าบำเพ็ญฌาน บางพวกอยู่ใกล้ชุมชน เล่าเรียนเขียนตำรา
เกิดมีคำว่า พราหมณ์ เป็นต้น - คนมีครอบครัวประกอบการอาชีพประเภท
ต่างๆ เกิดมีคำว่า แพศย์ - คนนอกจากนี้ ซึ่งประพฤติเหลวไหลเลว
ร้าย ถูกเรียกว่า ศูทร => คนทั้งสี่พวกนั้น บางส่วนละเลิกขนบธรรมเนียม
ของตน สละเหย้าเรือนออกบวช เกิดมีสมณะ
จุดหมายของการตรัสพระสูตรนี้ มุ่งให้เห็นว่า การเกิดมีชนชั้นวรรณะต่างๆ เป็น
เรื่องของความเป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยกฎธรรมดาแห่งความสัมพันธ์ ไม่ใช่พระผู้
เป็นเจ้าสร้างสรรค์กำหนด ทุกคนสามารถประพฤติดีประพฤติชั่วและได้รับผลตาม
กฎธรรมดาเสมอกัน เมื่อประพฤติธรรมถูกต้องก็ปรินิพพานได้เหมือนกันทั้งหมด |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 7:46 pm |
  |
จักกวัตติสูตรแสดงการเกิดขึ้นแห่งอาชญากรรมและความชั่วร้ายเดือดร้อน
ต่างๆ ในสังคมตามแนวปัจจยาการ ดังนี้
(ผู้ปกครอง = รัฐ) ไม่จัดสรรปันทรัพย์ให้แก่เหล่าชนผู้ไร้ทรัพย์ =>
ความยากจนระบาดทั่ว => อทินนาทาน ระบาดทั่ว => การ
ใช้อาวุธ ระบาดทั่ว => ปาณาติบาต (การฆ่าฟันกันในหมู่
มนุษย์) ระบาดทั่ว => มุสาวาทระบาด - การส่อเสียด -
กาเมสุมิจฉาจาร - ผรุสวาจาและสัมผัปปลาป - อภิชฌาและ
พยาบาท - มิฉฉาทิฐิ - อธรรมราคะ - ความละโมบ
มิจฉาธรรม - ความไม่นับถือพ่อแม่สมณพราหมณ์ และการไม่
เคารพนับถือกันตามฐานะ ระบาดทั่ว => อายุวรรณะเสื่อม |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ก.ย. 2008, 5:39 am |
  |
คุณเฉลิมศักดิ์พอๆ เข้าใจ สิ่งอาศัยกันๆ เกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปบาท) ยังครับ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
kokorado
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
10 ก.ย. 2008, 1:59 pm |
  |
ผมก็สนใจการเมือง อยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนทั้งสิ้น คอยรับรู้ข่าวสารความเป็นไป ปัจจุบันใครจะประท้วง จะไล่รัฐบาล ก็ช่างเขา อย่ามาเดือดร้อนเราก็แล้วกัน แต่พวกที่เดือดร้อนจริงคือพวกทำธุรกิจนั่นเเหละ บ้านผมพอมีฐานะ ก็เลยไม่กระทบอะไรมาก คำทำนาย ของหลวงพ่อเจริญ วัดป่ามะม่วง ว่า ปี51 ต่างชาติ จะมายึดประเทศไทย ก็คอยดูต่อไป ว่าจะจริงหรือไม่ |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
  |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
10 ก.ย. 2008, 9:04 pm |
  |
 |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
มุทิตาภาวนา
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 24 ก.พ. 2008
ตอบ: 62
|
ตอบเมื่อ:
10 ก.ย. 2008, 9:20 pm |
  |
|
  |
 |
|