ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กุหลาบสีชา
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ค.2008, 4:08 pm |
  |
ผู้ ท ร ง บ ร ม สุ ข
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
เวลานี้ความชั่วชุกชุมมาก
ประกาศออกทุกแห่งหนตำบลหมู่บ้านไม่เลือกหน้านะ
นี่ละความไม่มีศีลธรรมเป็นอย่างนั้นละดูเอาพี่น้องทั้งหลาย
มีศีลธรรมเท่าน้นต้านทานสิ่งเหล่านี้ไว้พอให้บ้านเมืองซุกหัวอยู่ได้
ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้วหมดไปที่ไหนๆ
มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายทั่วโลกดินแดน
อำนาจของกิเลสมากเวลานี้
ที่อำนาจของกิเลสมากความชั่วระบาดนี้
ก็เพราะความส่งเสริมมันละสำคัญ
การส่งเสริมนี้ไม่ขึ้นอยู่กับเจตนาอย่างเดียวนะ
ขึ้นอยู่กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ความเพลิดเพลิน ความทะเยอทะยานวิ่งเต้นไปตามความอยากนั้นแหละ
ไม่ได้มีเจตนาที่จะส่งเสริมความชั่วให้เกิดขึ้นอะไร
มันหากเป็นอยู่ในใจของโลก ของบุคคลแต่ละรายๆ
เพราะความดิ้นรนกระวนกระวายมันอยู่ในใจ
มันผลักดันออกให้ดีดให้ดิ้นให้เพลิดเพลินให้ทะเยอทะยาน
อะไรก็ไม่พอๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นควรจะเป็นท่าไหนมันก็เป็นได้
แต่มันเป็นท่าต่ำเท่านั้น ไม่มีท่าสูง
ถ้าอันนี้ผลักดันออกไปแล้วเป็นท่าที่เลวทรามทั้งนั้น
โลกถึงได้เดือดร้อนวุ่นวายมาก ไปที่ไหนยุ่งไปหมด
ถ้าขาดศีลธรรมเป็นอย่างนี้แหละ ให้เห็นโทษของมัน
หาความสงบร่มเย็นไม่ได้ ความขาดศีลธรรมไม่ใช่ของดี
เพียงแต่นักภาวนาวันไหนภาวนาจิตไม่สงบเยือกเย็นดี
วันนั้นเจ้าของจะรู้สึกกระวนกระวาย
รู้ในเจ้าของนะวันนี้จิตเป็นยังไง
แต่ยังดีนะท่านรู้ว่าจิตเป็นยังไงวันนี้มันถึงดีดถึงดิ้นไปตามมัน
นักภาวนาเป็นอย่างนั้น
ถึงได้รู้สาเหตุของมันต้นเหตุเป็นไปจากอะไร
เป็นไปจากหัวใจที่มีกิเลสฝังจมอยู่นั้น
เพราะกิเลสเป็นตัวพิษตัวภัยฝังจมอยู่ภายในจิตใจ
โลกไม่รู้ พระพุทธเจ้าเท่านั้นรู้กับสาวกอรหันต์
ท่านรู้ร้อยเปอร์เซ็นต์นำธรรมเหล่านี้แหละมาสอนโลกให้รู้เรื่องราว
พวกเราจะไปรู้อะไรว่ากิเลสเป็นยังไงกัน ตัณหาเป็นยังไง
มันบีบมันบี้สีไฟจนแหลกจนเหลวหมดก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นภัย
นั้นโง่หรือไม่โง่พวกเรา มันโง่อย่างนั้นแหละ
พระพุทธเจ้ามาประกาศลั่นโลกอยู่ให้รู้เรื่องรู้ราวว่าโทษของมันเป็นยังไง
ก็ยังไม่ยอมรู้เรื่องรู้ราว
ความเสื่อมเสียทางโลกนี้มีมากขึ้นโดยลำดับเวลานี้
คนจำนวนมากเท่าไรก่อเรื่องขึ้นมากเท่านั้น
เพราะต่างคนต่างคนเกิดขึ้นมา
ก็ด้วยอำนาจของความชั่วช้าลามกมันฝังอยู่ภายในจิตใจ
มีกี่รายระบาดออกได้ทั้งนั้นๆ
ถ้าไม่มีศีลธรรมเป็นเครื่องระงับดับกันไว้แล้ว
ยังไงก็เป็นไฟไปตามๆ กันไม่ว่าบ้านนอกในเมือง
หัวใจไม่ได้มีบ้านนอกในเมือง
ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ราคะตัณหาก็ดีไม่ได้มีบ้านนอกในเมือง
มันมีอยู่ที่หัวใจคน มันดีดมันดิ้นอยู่ตรงนั้น
ต่างคนต่างดีดต่างดิ้นเอาไฟมาเผากันแล้วก็ยกโทษกัน
ไม่ได้เห็นโทษของตัวเองนะนั่นละคนไม่ดูใจเจ้าของเป็นอย่างนั้น
ดูใจก็คือมีธรรมนั้นแหละดูใจ
ดังที่ยกตัวอย่างตะกี้นี้
นักภาวนาท่านจิตใจมีความสงบเยือกเย็น
จิดใจมีความแยบคายวันนี้เป็นอย่างนี้ๆ
แล้ววันต่อไปหรือระยะต่อไปผิดแปลกจากปกติ
ท่านก็ได้ค้นคว้าหาเหตุหาผล
เป็นยังไงจิตวันนี้ดีดดิ้นกับเรื่องอะไร
ท่านค้นหาเหตุหาผลจนได้ ได้แล้วก็ระงับกันลง
นี่ละท่านค้นหาเหตุหาผล
เราไม่ได้ค้นนี่นะ เหตุผลต้นปลายเป็นยังไง
มีแต่พากันดีดกันดิ้น ไปที่ไหนน่าทุเรศนะ
ท่านผู้สงบร่มเย็นดูพวกเรากำลังดิ้นเป็นบ้าอยู่นี้ดูไม่ได้นะ
ถ้าจะดูก็ดูไม่ได้ นอกจากท่านไม่ดูเท่านั้นละ
ผู้สงบร่มเย็นมีในโลกนี้ ผู้บรมสุขมี
ผู้ทรงบรมสุขมี ผู้ทรงมหันตทุกข์มี
พวกมหันตทุกข์นี้มีมากต่อมาก
ผู้ทรงบรมสุขมีน้อยมากทีเดียว
ในเมืองไทยเราจะมีกี่รายไม่รู้บรมสุข
คือทุกข์หมดจากใจไม่มีเหลือเลย
เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ นั้นแหละเป็นบรมสุข
ท่านผู้ทรงธรรมประเภทนั้นหายากมากในโลก
เมืองไทยเรานี้เป็นเมืองชาวพุทธที่จะผลิตบรมสุขขึ้นมา
ได้ยังไม่ยอมผลิตขึ้นมา ยังไม่สนใจ
เพราะฉะนั้นจึงมีไม่กี่ราย ยอมรับว่ามี
มีเป็นหย่อมๆ มีเป็นแห่งๆ แต่ก็ไม่ทั่วถึงกับความชั่วละซิ
ความชั่วมีมากต่อมาก ความเดือดร้อนมีมากต่อมากไม่ทันกัน
(มีต่อ) |
|
แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 30 ก.ค.2008, 4:29 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
    |
 |
กุหลาบสีชา
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ค.2008, 4:28 pm |
  |
เพราะฉะนั้นเรื่องวัดเรื่องวาอบรมศีลธรรมจึงเป็นของจำเป็นมาก
ในบ้านหนึ่งเมืองหนึ่งวัดหนึ่ง
ให้มีพระมีครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเป็นศีลเป็นธรรม
แนะนำสั่งสอนประชาชนญาติโยมอบอุ่นไปหมดนั่นแหละ
ไม่มีอะไรที่จะอบอุ่นยิ่งกว่าพระนะ
พระเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไรเป็นเรื่องใหญ่โตมาก
ให้ความอบอุ่นทางจิตใจ
ให้เป็นพลังของหน้าที่การงานในทางที่ถูกต้องดีงาม
พระเป็นสำคัญเป็นพลังให้น้ำใจของบุคคลแต่ละคนๆ ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง
มีกำลังใจประพฤติหน้าที่การงานด้วยความถูกต้องดีงาม สงบร่มเย็น
บ้านเมือง นี่มีน้อยอย่างว่านั้นซี
เพราะฉะนั้นวัดจึงเป็นคู่เคียง เป็นขวัญบ้านขวัญเมือง
ถ้าไม่มีวัดแล้วไม่เป็นท่าแหละ
วัดก็อย่าให้เป็นวัดสุ่มสี่สุ่มห้า
ให้วัดมีศีลธรรมวัดมีครูอาจารย์
เป็นแบบเป็นฉบับแนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าว
คำดุด่าว่ากล่าวของพระไม่ได้เหมือนของฆราวาสนะ
คำดุด่าว่ากล่าวของพระดุไปขนาดไหนก็ตาม
ดุแบบธรรมไม่ใช่ดุแบบกิเลส ต่างกัน
ความเด็ดของพระความดุของพระดุไปด้วยอำนาจของธรรมต่างหาก
ไม่ได้ดุด้วยอำนาจของกิเลสให้เป็นเหตุวุ่นวาย
หรือให้เป็นเหตุฉิบหายวายปวง
ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้ได้รับการดุด่าว่ากล่าว ไม่เป็นอย่างนั้น
การดุด่าว่ากล่าวโดยธรรมนี่เป็นคู่เคียงกัน
กับความโหดของกิเลสโหดของธรรมปราบกิเลสมี
ไม่อย่างนั้นแก้กันไม่ตก ต้องมีเด็ดมีเดี่ยว
กิเลสเด็ดธรรมะต้องเด็ด
กิริยาแห่งการแสดงความเด็ดของธรรมะนั้นแหละ
คนทั้งหลายว่าท่านโกรธท่านโมโหโทโส
ล่อให้กิเลสเอารัดเอาเปรียบไปหมดเลยไม่ได้เรื่องได้ราว
ความจริงเป็นวิธีการของธรรมปราบกิเลสต่างหากแต่เราไม่รู้
ให้พากันพยายามนะไม่ได้นะ
โลกนี้จะเป็นไฟไปหมดถ้าต่างคนต่างห่างเหินจากศีลธรรม
แล้วเข้าใกล้ชิดติดพันกับฟืนกับไฟเอาไหม้กันไปเรื่อยๆ
คนมีมากเท่าไรเรื่องยิ่งมีมาก
ความเมตตาสงสารความให้อภัยกันนี้
รู้สึกแทบจะไม่มีเสียแล้วละเวลานี้
มีแต่ใครก็จะเอาดีเอาเด่น
ใครก็ว่าตัวถูกๆ กิเลสไม่ยอมผิดแหละเรื่องของกิเลส
ต้องว่าตัวถูกเสมอ
เพราะฉะนั้นจึงมีแก่ใจที่จะทำชั่วช้าลามกได้อย่างสมใจๆ
ถ้าเป็นธรรมแล้วรู้ผิดรู้ถูก เขาผิดเราถูก เราผิดเขาถูก
ก็ต้องยอมรับกันไปตามเรื่องตามราว
คนเรามีจำนวนมากเท่าไรอยู่ด้วยกันได้นะ
ถ้ายอมรับความผิดถูกชั่วดีของกันและกันแล้ว
ความไม่ยอมรับคือเรื่องกิเลส
เรื่องความชั่วช้าลามกมันฝังอยู่ที่ใจ
ไปที่ไหนหอบแต่อันนี้หาบแต่อันนี้ไป
ระบาดออกไปมีแต่ไฟแตกกระจัดกระจายออกไปเ
ป็นระเบิดนิวเคลียร์นิวตรอนเผาไหม้กันไปเรื่อยๆ
ท่านว่าบรมสุขเราเคยเห็นไหมล่ะ
บรมสุขจะทรงได้แต่ผู้สิ้นกิเลสเท่านั้น
ผู้ไม่สิ้นกิเลสไม่มีทาง ผู้สิ้นกิเลสแล้ว
กิเลสขาดสะบั้นไปจากหัวใจในขณะนั้น
ตั้งแต่ขณะนั้นไปแล้วทรงบรมสุขจนกระทั่งอนันตกาล
ไม่มีคำว่า อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องได้
นั่นละที่ท่านถึงบรมสุขท่านถึงอย่างนั้น
ผู้ทรงบรมสุขก็คือองค์ศาสดาของพวกเรานี้
นำมาสอนพวกเราที่เป็นมหันตทุกข์
บรมสุขคือพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน
ท่านเหล่านี้เป็นผู้ทรงบรมสุขตั้งแต่วันตรัสรู้ธรรมะ
แล้วกิเลสขาดสะบั้นไปนั้นละตัวเหตุที่จะก่อทุกข์คือกิเลส
เมื่อขาดสะบั้นไปแล้วทุกข์ก็ไม่มี ทุกข์ไม่มีในหัวใจท่าน
จะมีแต่เพียงร่างกายเท่านั้นเจ็บไข้
ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนเป็นตามธรรมดาของโลกสมมุตินิยม
ขันธ์ท่านกับขันธ์ของโลกก็มีเหมือนกัน
เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนๆ กัน แต่ไม่เข้าถึงใจท่าน
ใจท่านทรงบรมสุขอยู่ตลอดเวลา
สิ่งเหล่านี้เป็นแต่เพียงผิวเผินข้างนอกเท่านั้น
ต่างกันที่ตรงนั้นผู้ทรงบรมสุข
พวกเรานี่กองทุกข์เต็มอยู่ทั้งร่างกายและจิตใจ เ
ต็มไปหมดทั้งตัวหาความสุขวันหนึ่งๆ ไม่เจอนะ
แต่หาความวุ่นวายเดือดร้อนนั้นมีเต็มหัวใจทุกคนๆ
ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดไม่เลือกทั้งนั้น
อันนี้ไม่เลือกกิเลสไม่เลือกใคร
กิเลสไม่กลัวใครกลัวแต่ธรรมอย่างเดียว
ถ้าธรรมแล้วกิเลสกลัว
ถ้าใครมีธรรมใครก็ตามไม่เลือกชาติชั้นวรรณะเหมือนกัน
กิเลสกลัวความสงบสุขร่มเย็นก็มี ตัวเองก็เย็นสบาย
ในครอบครัวเหย้าเรือนสังคมต่างๆ ที่คนมีศีลธรรมภายในใจแล้ว
ไปอยู่ที่ไหนสงบร่มเย็นทั้งนั้น
ถ้าเรื่องของกิเลสไปไหนร้อนไปหมดๆ
ให้พากันเสาะแสวงหาศีลธรรมเข้าสู่ใจนะ
ไม่งั้นต้านทานโรคไม่อยู่
โรคนี้ โรคกิเลสตัณหา คลื่นมหาสุมทรทะเลสู้ไม่ได้
คลื่นมหาสมุทรทะเลจะมีอยู่ในน้ำเท่านั้นไม่มีอยู่บนบก
อันนี้มีอยู่ทั้งในน้ำมีอยู่ทั้งบนบก
มีอยู่ทุกแห่งทุกหนเรื่องที่ว่าคลื่นมหาสมุทรทะเลหลวง
คือ กิเลสภายในจิตใจของสัตว์โลกนี้ ให้พากันระมัดระวังให้มาก
ฝึกหัดดัดแปลงถ้าอยากเป็นคนดีมีความสงบเย็นใจ
ให้นำธรรมะของพระพุทธเจ้า
ธรรมะนี้เคยรับรองโลกมานานแสนนานแล้ว
ทำให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข
ส่วนกิเลสทำความพินาศฉิบหายให้โลกมานานแสนนานเช่นเดียวกัน
เราควรจะเอามาเทียบเคียงกันแล้วพยายามแก้ไขดัดแปลงตนเอง
ทุกข์เพราะรบกับกิเลสต้องทุกข์บ้าง
อยากไปไม่ได้ไปก็เป็นทุกข์
อยากกินไม่ได้กินก็เป็นทุกข์
เพราะสิ่งที่จะกินมันเสียไม่ใช่ของดี กินแล้วเป็นพิษ
ไปเพื่อความเสียหายไม่ดีไม่ให้ไปห้ามอย่างนั้น
ความเคลื่อนไหวไปมาต้องพิจารณาเจ้าของเสียก่อน
ถ้าไม่พิจารณาเอาตามความอยากเลยแล้วก็เสียไปหมดๆ
นี่ละคนเราไม่มีเบรกห้ามล้อลงแต่คลองๆ แล้วจมไปเรื่อยๆ
เกิดขึ้นมา ใครก็มีแต่จมๆ หาความเจริญรุ่งเรืองในบุคคลหนึ่งไม่มี
มีอย่างเหรอมนุษย์เรา พากันตั้งอกตั้งใจนะ
วันคืนปีเดือนล่วงไปอย่างนี้ละ
มีมืดกับแจ้งเท่านี้แหละโลกเราอย่าไปตื่นเกินไป มืดกับแจ้งเท่านี้ละ
พอตะวันตกแล้วก็มืด พอตะวันโผล่ขึ้นมาก็ว่าแจ้งมีเท่านั้นละ
ตั้งกัปตั้งกัลป์มาปีนั้นปีนี้นับกันไปตามมืดแจ้งนี่ไม่เห็นมีอะไร
ความทุกข์ความร้อนอยู่ที่หัวใจคนละซี
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมืดกับแจ้งวันคืนปีเดือน อยู่กับที่หัวใจเรา
ถ้าหัวใจเรามีธรรมระงับดับมันได้เราก็สงบร่มเย็น
ถ้าใจไม่มีธรรมแล้วจมๆ ทั้งนั้นแหละ
พากันตั้งใจฝึกหัดดัดแปลงตนเองซิถ้าอยากเป็นคนดีมีความสุข
วันนี้ก็พูดเพียงเท่านั้นละเหนื่อย พูดทุกวันๆ ต่อไปนี้จะให้พร
(ที่มา : เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘) |
|
|
|
    |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 ก.ค.2008, 11:05 am |
  |
สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...คุณกุหลาบสีชา
ธรรมะสวัดสีค่ะ
 |
|
|
|
   |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
16 ส.ค. 2008, 4:12 pm |
  |
วันคืนปีเดือนล่วงไปอย่างนี้ละ
มีมืดกับแจ้งเท่านี้แหละโลกเราอย่าไปตื่นเกินไป มืดกับแจ้งเท่านี้ละ
พอตะวันตกแล้วก็มืด พอตะวันโผล่ขึ้นมาก็ว่าแจ้งมีเท่านั้นละ
ตั้งกัปตั้งกัลป์มาปีนั้นปีนี้นับกันไปตามมืดแจ้งนี่ไม่เห็นมีอะไร
ความทุกข์ความร้อนอยู่ที่หัวใจคนละซี
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมืดกับแจ้งวันคืนปีเดือน อยู่กับที่หัวใจเรา
ถ้าหัวใจเรามีธรรมระงับดับมันได้เราก็สงบร่มเย็น
ถ้าใจไม่มีธรรมแล้วจมๆ ทั้งนั้นแหละ
พากันตั้งใจฝึกหัดดัดแปลงตนเองซิถ้าอยากเป็นคนดีมีความสุข
อนุโมทนาบุญด้วย เจ้าค่ะ |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|