Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ...ทำดีได้ชั่วฉันใด...(รศ.ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2008, 6:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การที่บุคคลทำชั่วได้ดี ทำดีได้ชั่วนั้น
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าขึ้นอยู่กับ อาสันนกรรม
ซึ่งหมายถึง กรรมจวนเจียน คือกรรมที่ทำขณะจะสิ้นใจ
และส่วนมากจะเป็นมโนกรรมเพราะคนที่กำลังจะตายนั้น
สังขารมักไม่อำนวยให้ ประกอบวจีกรรมหรือกายกรรม
อาสันนกรรมจะส่งผลให้บุคคลที่กระทำก่อนกรรมอื่น ๆ
ถ้าเป็นกรรมดีจะส่งผลให้บุคคลที่ทำกรรมนั้น
ไปสู่สุคติในนาทีที่ดับจิตลงไป
เช่น บุคคลหนึ่งทำกรรมชั่วมามาก แต่มีกรรมดีอยู่บ้าง
ตอนจะตายจิตผ่องใส เพราะนึกถึงกรรมดีที่ตนเคยทำ
เมื่อจิตผ่องใส สุคติย่อมเป็นที่หมาย
ดังพระบาลีว่า “ จิตฺเต อสงฺกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา –
เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้ ”
จิตไม่เศร้าหมองก็คือจิตผ่องใสนั่นเอง
กรรมที่นำเขาไปเกิดในสุคติเป็นกรรมดี มิใช่กรรมชั่ว
ในทำนองเดียวกัน บุคคลที่ทำกรรมดีไว้มาก
มีกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย แต่ตอนตายจิตเศร้าหมอง
เพราะไปนึกถึงกรรมชั่วที่ตนเคยทำไว้
เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติย่อมเป็นที่หมาย
ดังพระบาลีว่า “ จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคติ ปาฏิกงฺขา –
เมื่อจิตเศร้าหมองแล้วทุคติเป็นอันต้องหวัง ”

ตัวอย่างของบุคคลที่ทำกรรมดีไว้มาก
มีกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย เมื่อตายไปแล้ว ไปเกิดในทุคติภูมิ
ก็คือ พระนางมัลลิกา มเหสีของพระเจ้าปเสนทิ แห่งแคว้นโกศล
เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ พระนางเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
และประกอบกรรมดีไว้มาก
แต่มีกรรมชั่วอยู่เล็กน้อย คือ เคยโกหกพระสวามี
เมื่อพระนางจะสิ้นใจ แทนที่จะนึกถึงกรรมดีที่ทำไว้มากนั้น
กลับไปนึกถึงกรรมชั่วคือการโกหกพระเจ้าปเสนทิ จิตจึงเศร้าหมอง
เมื่อตายขณะที่จิตเศร้าหมอง จึงไปเกิดในนรกอเวจีอยู่ ๗ วัน
ครั้งหมดอกุศลกรรมแล้ว กุศลกรรมก็มาให้ผล
พระนางได้จุติจากนรกอเวจีไปอุบัติเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต

(จุติ หมายถึงตาย ส่วนมากใช้กับเทวดา
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า หมายถึงเกิด)

เมื่อพระนางมัลลิกาสิ้นชีพ พระเจ้าปเสนทิทรงโศกาดูรเป็นอันมาก
ได้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทุกวัน
เพื่อทูลถามว่าพระนางมัลลิกามเหสีของพระองค์
ไปอุบัติที่สวรรค์ชั้นไหน
พระพุทธองค์ทรงชวนสนทนาเรื่องอื่นๆ ให้ทรงเพลิดเพลิน
เพื่อให้ลืมเรื่องที่ตั้งพระทัยมาทูลถาม
การณ์เป็นอยู่อย่างนี้กระทั่ง ๗ วันผ่านไป
เมื่อพระนางมัลลิกาไปอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว
พระพุทธองค์จึงตรัสตอบพระเจ้าปเสนทิว่า
พระนางมัลลิกาเป็นคนดี บัดนี้พระนางได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์
ชั้นดุสิต พระเจ้าปเสนทิได้สดับดังนั้นก็ทรงตบพระชานุเสียงดังฉาด
รับสั่งว่า “ นั่นยังไงล่ะ ถ้าคนดี ๆ อย่างพระนางมัลลิกา
ไม่ไปเกิดในสวรรค์ แล้วใครจะไปเกิด ”

เหตุที่พระพุทธองค์ทรงรอให้เวลาผ่านไป ๗ วันเสียก่อน
ก็เพื่อจะให้พระเจ้าปเสนทิสบายพระทัย
เพราะพระองค์กำลังเศร้าโศกที่พระมเหสีจากไป
ถ้าทรงทราบว่าพระนางไปตกนรกอเวจีก็จะทรงโทมนัสหนักขึ้น
และจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษอีกต่อไป
ด้วยทรงเห็นว่า คนทำความดีไยจึงตกนรก
แต่ถ้าพระพุทธองค์จะตรัสสาเหตุที่พระนางไปตกนรก
ก็จะเป็นการไม่สมควร
เพราะพระเจ้าปเสนทิไม่ทรงทราบว่าพระนางมัลลิกาโกหกพระองค์
แต่พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องนี้ด้วยพระญาณ
อีกประการหนึ่งทรงเห็นว่าการนำเรื่องไม่ดีของผู้อื่นมากล่าวนั้น
ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด
จึงทรงรอให้เหตุการณ์วิกฤตนั้นผ่านพ้นไปก่อน

ในอรรถกถากล่าวไว้ว่า การที่พระนางมัลลิกาไปตกนรกอเวจีนั้น
ถือเป็นการดี เพราะพระนางจะได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับความทุกข์
และเกิดความเบื่อหน่ายในการที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
เมื่อพระนางไปอุบัติเป็นเทพบุตร
จึงมิได้ประมาทมัวเมาหลงใหลเพลิดเพลินอยู่ในความสุข
เหมือนเหล่าเทพบุตร เทพธิดาทั้งหลาย
แต่ท่านได้ปฏิบัติธรรมกระทั่งบรรลุโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
เป็นพระโสดาบันในที่สุด เป็นอันว่าท่านสามารถ
ทำวิกฤตให้เป็นโอกาส จนสามารถเปลี่ยน ทุกขะ ให้เป็น ทุกขขัย ได้
เพราะพระโสดาบันนั้นจะเวียนว่ายอยู่ในสุคติภูมิอีกไม่เกิน ๗ ชาติ
ก็จะบรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์
เป็นการตัดขาดจากสังสารวัฏโดยสิ้นเชิง

สรุปว่าผู้ที่ตายขณะจิตผ่องใสจะไปเกิดในสุคติ
ผู้ที่ตายขณะจิตเศร้าหมองจะไปเกิดในทุคติ
ดังเช่นพระนางมัลลิกาที่เล่ามา ส่วนผู้ที่ตายขณะที่จิตเป็นกลาง ๆ
คือไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล
จะไปเกิดเป็นพวกสัมภเวสี แปลว่า พวกแสวงหาภพ
(สัมภเวสีอีกความหมายหนึ่งหมายถึงผู้ที่ต้องเกิดอีก
จึงหมายตั้งแต่ปุถุชนไปจนถึงพระอนาคามี
ส่วนพระอรหันต์ไม่เป็นสัมภเวสี เพราะท่านเป็นผู้ที่ไม่ต้องเกิดอีก)
พวกนี้ยังไม่ได้เกิดเป็นที่ตามกรรมที่ตนทำไว้
พวกสัมภเวสีก็คือพวกที่เราเรียกว่าผี นั่นเอง
เมื่อพวกผีเหล่านี้นึกถึงกรรมที่ตนทำไว้ก็จะไปเกิดตามกรรมนั้น ๆ
เช่น นึกถึงกรรมดีก็ไปเกิดในสุคติ
นึกถึงกรรมชั่วก็ไปเกิดในทุคติ
จึงหยุดเร่รอนหาที่เกิดไปชั่วคราว เพราะไปเกิดเป็นที่เป็นทางแล้ว

จะเห็นได้ว่าเรื่องของกรรมนั้นเป็นเรื่องที่ตัวเองทำเอง
ไม่มีใครมาทำให้แต่ประการใด
ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ชัดเจนมาก
ดังปรากฏในพระสูตรว่า “ หญิง ชาย คฤหัสถ์ บรรพชิต
ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน
เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
มีกรรมเป็นที่อาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม
เราจักได้รับผลของกรรมนั้น ”



จากหนังสือ รู้อย่างนี้ เป็นคนดีตั้งนานแล้ว

รศ.ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม

ผู้พิมพ์ สุวิภา กลิ่นสุวรรณ์

คัดลอกจาก...
http://www.kanlayanatam.com/sara/sara70.htm

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.ค.2008, 5:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะคุณลูกโป่ง สาธุ ยิ้ม ยิ้มแก้มปริ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง