Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 โลกกับทุกข์คือของคู่กัน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
จิรายุ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 04 ก.ค. 2007
ตอบ: 16
ที่อยู่ (จังหวัด): ปทุมธานี

ตอบตอบเมื่อ: 04 มิ.ย.2008, 1:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีคำสอนว่าเราควรมองโลกในแง่ดี แต่ในความเป็นจริง โลกไม่ได้มีแต่แง่ดี แล้วเช่นนี้เราควรจะยังมองโลกในแง่ดีได้อีกต่อไปหรือ ใครคิดว่าอย่างไรบ้างครับช่วยแนะนำด้วยครับ

ผู้มุ่งธรรมะเป็นใหญ่
 

_________________
ตั้งใจทำความดี เพื่อชาตินี้ และชาติหน้า
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 04 มิ.ย.2008, 4:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การมองโลกในแง่ดีก็พอใช้ได้นะผมว่า ... สำหรับคนกำลังใจไม่ค่อยแข็งแรง
คือหาวิธีคิดในด้านดีๆ หากุศโลบายในการผ่อนคลายอารมณ์

เหมือนยาเคลือบขนมหวาน ..
กินง่าย .. แต่เป็นแบบแก้ขัดไปก่อนได้ รักษาได้ด้วยการลืมกลบเกลื่อน คิดไปทางอื่นๆ



แต่ถ้าอยากปลงมันออก อยากรักษาให้หายขาด.
ต้องลงไปให้ถึงตัวต้นเหตุของมัน
มองให้เห็นสภาพอันแท้จริงตามธรรมชาติของทุกข์ หรือ สุข
กล่าวคือ มันเป็นอนิจจัง ... เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


ถ้ายังไง มาลองรู้จักความทุกข์ โดยละเอียด ตามความเข้าใจของผมดูนะคับ
------------------------------------------------------------------


อ้างอิงจาก:


ทุกข์มี 2 แบบ

1. ทุกข์กาย
ซึ่งไม่มีวิธีพ้นได้ ได้แก่ ต้องป่วย ต้องหิว ร้อน หนาว เหมือนกันหมด
ไม่พ้นแม้แต่ศาสดาของเรา
แต่เราบรรเทาทุกข์กายเหล่านี้ได้ด้วยความรู้ทางโลก เช่น วิทยาศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ


2. ทุกข์ใจ ... เกิดจากความคิดของเราเอง เราสร้างเองทั้งสิ้น

ทุกข์ใจมันมาจากไหนล่ะ ? .............

มันเริ่มาจากเมื่อเราได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้รับผ่านประสาททั้ง 5 เข้ามา
แล้วเราก็ต้องนำมาแปลความหมายใช่ไหมคับ
ว่ามันมี message อะไร ... พูดง่ายๆคือการ ตีความ

การตีความนี่แหละสำคัญ
มันคือบวกกับความคิด พื้นฐาน ประสบการณ์ ตัวตน ความเชื่อของตน และสำคัญที่สุดคือ "จินตนาการ" คิดไปต่างๆนาๆ ปรุงแต่งจนเกิดอารมณ์ขึ้น
การตีความจึงเรียกว่าปรุงแต่ง

อุปมาเหมือนคนมีจริตชอบเก็บคำพูดมาคิด เห็นคำพูดคนอื่นไม่ถูกใจตัวก็เก็บมาคิดๆๆ
วิปลาสไปต่างๆนาๆ (คิดไปคนเดียว) ทั้งๆที่เขาอาจจะไม่ได้มีเจตนาด่าเราก็ได้ แต่ความที่เป็นคนระแวง เลยเหมาเอาว่าเขาเหน็บแนมตัวเอง เลยเก็บมาคิดมากมาย
นี่หล่ะ ตัวอย่างของการตีความ ... ตีความไปตามจริตของตัวเอง

การตีความ การปรุงแต่งนั้นแหละ ... ทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นภายในใจ
อารมณ์จึงเกิดด้วยเหตุนี้

อารมณ์นั้นตั้งอยู่ ... ใช้เวลาอยู่ ... ครุกรุ่นอยู่ ... จนสุกงอม
หากทนไม่ไหว ขันติเอาไม่อยู่ .... มันก้จะระเบิดออกมาโดยการสั่งร่ายกายให้ทำงาน
ในที่นี้ .. เขาคงมีอาการโกรธ .. ทำอะไรคงจะขวางๆ เฮี้ยนๆ ...
ถ้าคนที่พูด ดันอยู่ตรงหน้า..คงโดนชกไปแล้ว เพราะดันมาอยู่ตรงหน้าเขาตอนขันแตก
ถ้าอยู่ตอนอารมณ์กำลังก่อตัว ตอนขันยังไม่แตก ยังขันติ อดได้อยู่ คงไม่เป็นไร
แต่ดันมาอยู่ตอนขันติเอาไม่อยู่ ก็เลยเจอระเบิด
ระเบิดที่ผู้โกรธนั้นเขาระเบิดออกมาทาง หู ตา จมูก ลิ้น ปาก กาย

ในระหว่างที่อารมณ์นั้นระเบิด

คนเราทำอะไรต่อมิอะไรที่ต้องเสียใจภายหลังตั้งมากมาย
บางคนก็ถึงกับฆ่าแม่ เพื่อกล่องข้าว ด้วยเหตุว่าโมโหหิว เป็นต้น

ที่ทำไปนั้น เพราะตัวที่เรียกว่าปัญญา มันไม่สามารถบอกจิตให้รู้ได้ว่า อะไรเป็นอะไร
เลยสนองอารมณ์ด้วยการฆ่าแม่ ทุบแม่จนแน่นิ่งไป


ปัญญาตัวนี้ไม่ใช่ปริญญา ความรู้ เกรด หรืออะไรเลย
หากเป็นการรับรู้สภาพธรรมดาที่ว่านั้น
คือ คนเรารับ message เข้ามา
ปรุงแต่งเป็นอารมณ์
สุดท้ายอารมณ์หายไป

อารมณ์มันก็มีแค่นั้น .... อีก 10 ปี อารมณ์ก็เป็นแบบนี้
อารมณ์มนุษย์ไม่ว่าจะผิวแดง ผิวเหลือง ... ก็แบบนี้
บางคนอยากจะระเบิดนานๆ อยากโมโหนานๆ ...
สุดท้ายก็ไม่มีใครเกิน 24 ชั่วโมง .. ด้วยเหตุว่าเพลีย ง่วง .. หลับ ..
พอตื่นขึ้นมา ก็ไปเรียกความทรงจำเมื่อวาน ไปเรียกข้อมูลเพื่อเอามาปรุงอารมณ์อีก
จะได้ระเบิดอีก จะได้อาละวาดอีก ...
ทั้งๆที่ความทรงจำก็คือเรื่องที่จบไปแล้วในอดีต .. ผ่านไปแล้ว ... แต่ยังอุตสาห์ไปรื้อมันออกมาปรุงเมนูต้มยำอารมณ์


น่าคิดตรงที่ บางคนนั้น อารมณ์หายไปเอง
โดยไม่ฝากรอยแผลอะไรไว้กับใจตัวเอง หรือกับใจคนอื่น

น่าคิดตรงที่บางคนอารมณ์นั้นหมดไปเพราะ
ได้ทำอะไรที่สะใจ ฝากแผลไว้ที่ใจตนเอง ใจคนอื่น
แต่ไปหลงกับอารมณ์ใหม่

บางคนฆ่าแม่อย่างที่บอก

บางคนก็พูดพล่าม ดวยวาย ฟูมฟาย


สรุปแล้ว อารมณ์เป็นของไม่เที่ยง
มันเกิดได้ มันสำแดงเดช แล้วดับไป จบไป
เราจึงไม่ควรจะไปเอาเป็นเอาจตายกับมัน


เห็นอะไร ได้ยินอะไร ไม่พึงใจก็ให้พิจารณาให้ละเอียดว่าสมควรที่เราจะไปเอาเป็นเอาตายกับมันหรือไม่
เมื่อทำเช่นนั้นปแล้วได้ประโยชน์อะไร
ก็ในเมื่ออีกเดี๋ยวนึง อารมณ์ก็ดับอยู่ดี
ก็แล้วจะไปโวยวาย อาละวาด ทำไม

-----------------------------

ขอให้พิจารณาวัฏจักรอันนี้ให้ดี
ไม่ต้องไปสนใจว่านาย ก นาย ข ทำอะไร อย่างไร
อันนั้นมันรายละเอียดที่ต้องไปแก้ไขปัญหาทางโลกเอา
เป็นทุกข์ของกาย เป้นทุกข์ของการทำงาน เป้นทุกข์ของหมู่คณะ


เมื่อมองออกแล้วก็จะพบว่า แท้จริงเราดับทุกข์เล็กๆน้อยๆพวกนี้ได้ ไม่ได้ยาก

เรายังมีทุกข์ที่จต้องเผชิญอยู่เป็นอันมากในชีวิต
ไม่ว่าจะยากดีมีจน ก้มีทุกข์พื้นฐานที่จะเข้ามาเหมือนๆกันหมด เช่น
พรัดพรากจากของรัก ป่วย ไม่สมหวัง ต้องทำในสิ่งไม่ชอบ ชอบแต่ไม่ได้ทำ เป้นต้น

จึงต้องรู้จักวางอารมณ์ที่ประเดี๋ยวประด๋าวก็ดับพวกนี้



เรื่องการมองโลก ก็เหมือนกัน
ต้อง ใช้หลักการเดียวกันนี้
คือมองให้เห็นความจริงที่สุดของมัน (สัจจะธรรม)ไม่ใช่แค่ข้อเท็จจริง

วิธีตรวจสอบง่ายๆว่า สัจจะธรรมอันน้นเป้นสัจจะธรรมของจริงหรือไม่
ลองดูว่ามันเป็นอกาลิโกหรือเปล่า .. กล่าวคือ
- เป็นจริงทั้งในอดีต ... เป็นจริงมาตั้งนานแล้ว
- เป็นจริงทั้งในปัจจุบัน .... ปัจจุบันก็เป้นจริง
- เป็นจริงในอนาคต... อนาคตก็จะยังจริงต่อไป

เช่น ... การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของสรรพสิ่ง .............
.... เป็นจริงตลอดเวลา ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต

นี่หล่ะ สัจจะธรรมของมัน


..................
ถ้าไง ลองตั้งปัญหาขึ้นมา แล้วถามหาสัจจะธรรมของมัน ถามหาตัวทุกข์ที่แท้ของมัน
เด๋วมีคนช่วยเยอะ แถวนี้

ส่วนคนไหน เอ๋อๆ แปลกๆ ไม่มีร่อง ไม่มีรอย
ก็อย่าไปอะไรเขาเลยนะ ฮาดี
เขาถอดตับไตไส้พุงลอยไปมาได้
แถมบรรลุธรรมสูงมาก เลยกู่ไม่ค่อยกลับ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ใบโพธิ์
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2007
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 04 มิ.ย.2008, 4:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การมองโลกในแง่ดี ในสายตาของเราคือ
การมองโลกในแง่ดี ตามความเป็นจริง

แน่นอนที่สุด โลกย่อมมีทั้งดีและไม่ดี

การมองโลกในแง่ดี ตามความเป็นจริง
เพื่อให้จิตใจของเราสงบเยือกเย็น

ส่วนแง่ไม่ดีของโลกนั้น
มองเพื่อให้เราไม่ประมาทในชีวิต ก็พอแล้วค่ะ

หากเราเอาจิตไปผูกพันแง่ไม่ดีของโลก
จะทำให้เกิดความเศร้าหมองขึ้นได้ค่ะ
 

_________________
ทำความดีทุกๆ วัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 04 มิ.ย.2008, 4:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มองเป็นคู่ขนาน

มองโลกดีเพื่อสร้างความหวังและกำลังใจ...ในเวลาทดท้อ
จะได้มีความอดทนและความเพียรพยายาม

แต่ในขณะเดียวกันก็ต้อง

มองโลกด้วยความเป็นจริง
เพื่อรู้เท่าทัน "โลกธรรม"
ว่าโลกนี้มีย่อมทั้งคู่กันสลับกันไปทั้งสุขและทุกข์....
เป็นเรื่องธรรมดา


เพราะ...ในเวลาที่เราคิดว่ากำลังเป็น "สุข"
จะได้ไม่หลงใหล เพลิดเพลิน ติดอยู่กับ สุข จนแกะไม่ออก

และเพื่อในเวลาที่เรา "ทุกข์"
จะได้ไม่เศร้าหมอง คร่ำครวญ หวนไห้....จนไร้ "สติ"

อย่างที่คุณใบโพธิ์ว่าไว้....ไม่ประมาท เป็นดีที่สุดค่ะ
สาธุ ยิ้มเห็นฟัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
ratchadapa
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 04 มิ.ย.2008, 10:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มองโลกแง่ดี ฟังดูเหมือนจะดี แต่แน่ใจหรือว่าไม่ได้ปลอบใจตัวเอง หรือ หลอกตัวเองอยู่

ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต ท่านพูดไว้ว่า

คนเราอยู่ในโลกแต่มักปฏิบัติไม่ถูกต้องต่อสิ่งทั้งหลายในโลก
จึงดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง สิ่งที่เราเกี่ยวข้องต่างๆนี่มันก็อยู่ของมันไปตามปกติ
ตามธรรมชาติ เราปฏิบัติต่อมันไม่ถูก วางใจไม่ถูกเราจึงเกิดทุกข์
สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามธรรมดามันก็เป็นไป ถ้าเรารู้ทันก็เห็นมันเป็นไปตาม
กฎธรรมชาติ แต่ถ้าเรารู้ไม่ทัน เรามองไม่เป็น ก็เกิดทุกข์ทันที ฯ

ที่ถูกคือไม่ใช่มองในแง่ดี แต่มองในแง่ที่มันเป็นจริง
ถ้ามันเป็นฝ่ายไม่ดี คือไม่ถูกใจ ไม่ชอบ ก็คิดว่าเป็นบททดสอบให้เราได้ฝึกตน เป็นเครื่องมือพัฒนา
ถ้ามันเป็นฝ่ายดีคือเป็นสิ่งที่ชอบ ที่ถูกใจก็ใช้เป็นโอกาสทำความดี
คือรู้จักใช้ทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ สร้างประโยชน์ จากมันให้ได้
จึงเรียกว่าวางใจถูกต้อง ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง

เข้าใจว่าคำว่า ให้มองโลกในแง่ดี ควรจะมุ่งหมายให้เราสามารถพัฒนาตนเองต่อไปได้
ไม่เบื่อหน่ายท้อแท้ หมดหวังห่อเหี่ยว เกิดมีวิริยะขึ้นมาแทนที่จะพ่ายแพ้ก็มีกำลังสู้ต่อไปค่ะ
 

_________________
พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
จิรายุ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 04 ก.ค. 2007
ตอบ: 16
ที่อยู่ (จังหวัด): ปทุมธานี

ตอบตอบเมื่อ: 05 มิ.ย.2008, 11:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณทุกท่านครับที่ช่วยแสดงทัศนคติต่อการมองโลก เป็นความเห็นที่มีค่ามากจะแวะเข้ามาบ่อยๆ ครับ
 

_________________
ตั้งใจทำความดี เพื่อชาตินี้ และชาติหน้า
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง