Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา : พระศรีรัชมงคลบัณฑิต มมร. อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 3:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ธ ร ร ม ด า ที่ ไ ม่ ธ ร ร ม ด า
พระศรีรัชมงคลบัณฑิต
อาจารย์ประจำคณะศาสนาและปรัชญา มมร.


เมื่อเอ่ยถึงคำว่า “ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา”
แล้วบางท่านอาจทำความเข้าใจไปว่า
เป็นการพูดเล่นสำนวนหรือเปล่า
บอกตามความเป็นจริงว่า
ไม่ได้มีความต้องการจะพูดเล่นสำนวนแต่อย่างใดทั้งสิ้น

แต่จะเอาเรื่องที่เป็นธรรมชาติที่มีอยู่ถึงแก่ชีวิต
ของสรรพสัตว์คือทั้งมนุษย์ทั่วไป
และสัตว์เหล่าอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ มาบอกกล่าวให้ได้ฟังกัน

ซึ่งเรื่องที่จะ บอกกล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ทุกท่านรู้จักกันดีอยู่แล้ว
และเรื่องที่รู้จักกันดีอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ

คำว่าธรรมดานี้ท่านทั้งหลายอาจจะเคยได้ฟังมามากแล้ว
เช่นธรรมดาคนโง่ย่อมจะพูดจะคิดจะทำเรื่องอะไรก็
ความที่โง่ๆ เหมือนตัวเองธรรมดาคนที่เป็นบัณฑิต
คือคนฉลาดคนดีย่อมจะคิดจะพูดจะทำแต่ในสิ่งดีๆ

ธรรมดาคนที่ เป็นผู้นำต้องรู้จักหลักการเป็นผู้นำ
ธรรมดาคนจนต้องรู้จักเจียมตัว
ธรรมดาคนรวยก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมกับที่ตนรวย
ธรรมดาคนแก่ต้องรู้จักความแก่ของตน
ธรรมดาชาวนาก็ต้องทำนา ชาวสวนชาวไร่ก็ต้องทำสวนทำไร่
ธรรมดาพ่อค้าก็ ต้องค้าขาย เป็นต้น

หรือธรรมดามนุษย์ปุถุชนย่อมจะมีความโกรธ
โมโห ความโลภ ความอยากได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ความหลง ยึด มั่นถือมั่น ราคะ
ความกำหนัดยินดีอย่างไร้ขอบเขต อคติ
ความลำเอียงด้วยความชอบพอ รักใคร่
โปรดปรานเป็นพิเศษหรือเป็นส่วนตัว
ลำเอียงด้วยความโกรธ ไม่ชอบหน้า ไม่ชอบนิสัย
ไม่ชอบเป็นการส่วนตัว
หรือไม่ชอบอื่นๆ ลำเอียงด้วยความหลง

ยึดมั่นถือมั่นไม่รู้จักปล่อยวาง
จะเอาทุกอย่าง จะเอาให้ได้ดังใจทุกเรื่อง
ลำเอียงด้วยความกลัว เกรงใจ ขี้ขลาด
ทำอะไรเขาไม่ได้เพราะกลัวเขา
ไม่ว่าเขาจะผิดหรือยังไงก็ตาม
ย่อมจะปล่อยให้เป็นผู้ถูกต้องเสมออย่างนี้อันตราย

แต่ธรรมดาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงธรรมดาแบบที่ว่าของบนนี้
แต่จะหมายถึงเรื่องหรือสภาวะที่เป็นปกติ
ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์อะไร
เป็นเรื่องที่มีมาแต่เดิม ในปัจจุบันนี้ก็มีปรากฏให้เห็นกันอยู่
แม้ในอนาคตจะเป็นช่วงเวลาที่ยืดยาวไกลขนาดใดก็ตาม
ถ้ายังมีสรรพสัตว์อยู่ ธรรมดาเหล่านี้ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

และข้อสำคัญก็คือธรรมดานี้มีแก่มนุษย์และอมนุษย์ทั้งมวล
โดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีอคติโดยประการทั้งปวง


ท่านทั้ง ๓ นี้ หมดเชื้อที่ทำให้ต้องเกิดแล้ว
จึงไม่ต้องมาเกิดใหม่ เมื่อไม่เกิด
ธรรมดาที่ไม่ธรรมดาทั้ง ๓ นั้น จึงทำอะไรให้ท่านไม่ได้
เมื่อไม่เกิดแล้ว จะมีความแก่เป็นธรรมดามาแต่ที่ไหน
เมื่อไม่มีการเกิดแล้ว จะมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดามาแต่ที่ไหน
เมื่อไม่เกิดแล้ว จะมีความตายเป็นธรรมดามาแต่ที่ไหน

ดังนั้นท่านพระอริยบุคคลผู้ประเสริฐทั้ง ๓ นั้น
จึงสามารถข้ามพ้นจากสภาพธรรมดาที่ไม่ธรรมดาได้โดยสิ้นเชิง


(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 3:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านทั้งหลายสภาพที่ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดานี้
ถึงแม้โดยธรรมชาติแล้วจะเป็นเรื่องไม่น่ากลัว
เพราะเป็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องมีอยู่โดยธรรมชาติกับชีวิต

แต่มนุษย์ปุถุชนทั้งมวลที่อยู่ในภาวะปกติจิต
ต่างก็พากันกลัวในธรรมดา ๓ อย่างนี้นัก
เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากแก่หาวิธีการป้องกันในรูปแบบต่างๆ
แต่ก็ต้องแก่ ที่ไม่อยากเจ็บป่วยหาอะไรต่อมิอะไรมากมาย
ช่วยแก้อาการเจ็บป่วยแต่ก็ต้องเจ็บป่วยจนได้

และในที่สุดท้ายปลายทางแห่งชีวิตแล้วแม้จะไม่อยากตายแท้ๆ
ก็ยังหนีความตายไม่ได้ เกิดเท่าไหร่ ตายเกลี้ยงไม่เหลือหลอ
ถึงผู้ดี เข็ญใจ ตายเกินพอ แม้แต่หมอก็ต้องตาย วายชีวัน

ธรรมดาที่ว่านี้มี ๓ ประการ คือ ชราธมฺโมมฺหิ
เรามีความแก่เฒ่าความชราความชำรุดทรุดโทรมเป็นธรรมดา
พฺยาธิธมฺโมมฺหิ เรามีความเจ็บไข้ ป่วยไข้ เป็นธรรมดา
มรณธมฺโมมฺหิ เรามีความตายเป็นธรรมดา


คำว่า เราในที่นี้ หมายถึงตัวเองของมนุษย์ทุกคน
และอมนุษย์คือสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์
เช่น เปรต อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์ดิรัจฉาน
เทวดา พระพรหม ทั้งหมด

ที่นี้ถ้ามีใครอยากจะถามว่า ใครเป็นคนบอกว่า
สภาพทั้ง ๓ นี้ เป็นเรื่องธรรมดาของสรรพสัตว์
รวมทั้งมารโลก เทว โลก จนถึงพรหมโลก
ก็ตอบได้เลยว่า องค์สมเด็จพระบรมครูบรมศาสดาของชาวโลก
คือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย

เป็นผู้ตรัสไว้ใน ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒
ชื่อพระสูตรชื่อ อภิณหปัจจเวกขณสูตร
ตั้งแต่สองพันกว่าปีที่ผ่านมา จนมาถึงแม้ปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๐ นี้

พระพุทธพจน์นั้นก็ยังคงเป็นอย่างนั้นมีผลสัมฤทธิ์อย่างนั้น
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงยังเป็นความจริงอยู่อย่างนั้นเสมอ
วัตถุประสงค์ที่พระพุทธเจ้าตรัสธรรมดาทั้ง ๓ ประการนี้ไว้
ก็เพื่อจะให้พุทธบริษัททั้งที่เป็นบรรพชิต
และคฤหัสถ์ทั้งที่เป็นสตรีและบุรุษหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ
พิจารณาอยู่อย่างสม่ำเสมอ

เพื่อจะป้องกันไม่ให้คนประมาทแล้วไปทำเรื่องอื่นๆ
จนลืมธรรมดาซึ่งเป็นความจริงของชีวิต
ทำให้เกิดความหลงใหลไม่รู้จริง
หลงยึดมั่นถือมั่นจนกลายเป็นเหตุแห่งทุกข์นานาประการ


ถ้ามนุษย์พุทธบริษัทหรือประชาชนทั่วไป
หมั่นพิจารณาธรรมดาทั้ง ๓ อย่างนี้อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อถึงวาระที่ต้องแก่ เมื่อถึงคราวป่วยไข้จะร้ายแรงเพียงใดก็ตาม
หรือแม้ถึงคราวต้องตายต้องละจากโลกนี้ไปในโลกอื่น
ก็ไม่เกิดความเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ คร่ำครวญ
จะมีสติสัมปชัญญะพร้อมที่จะยอมรับความเป็นจริง
คือธรรมดาทั้ง ๓ อย่างนี้ได้

ทำไมจึงบอกว่า สภาพทั้ง ๓ คือ
ความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย และความตาย เป็นเรื่องธรรมดา


จะขอกล่าวเฉพาะประเด็นที่เป็นมนุษย์เป็นหลัก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
สรรพสัตว์อย่างอื่นนอกจากมนุษย์แล้วจะสามารถล่วงพ้น
หรือข้ามธรรมดาทั้ง ๓ นี้
โดยไม่ต้องแก่ ไม่ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ต้องตาย ไปได้
สรรพสัตว์ทั้งหมดทั้งในโลกนี้
และในโลกอื่นล้วนตกอยู่ในกฎธรรมดาทั้ง ๓ นี้ เช่นกัน

(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 3:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขึ้นชื่อมนุษย์หรือจะเรียกว่าคนก็ตามสุดแล้วแต่จะเรียกกัน
ไม่เคยมีมนุษย์ปุถุชนในอดีตชาติแม้แต่คนเดียวจะหลบหลีก
หรือหลีกเลี่ยงธรรมดาทั้ง ๓ นี้ได้

เพียงแต่บางคนอาจจะตายแต่ในท้องมารดา
หรือตายตอนเป็นหนุ่มสาวอาจไม่ต้องแก่
หรือเจ็บไข้ได้ป่วยมากมายอะไรนัก
แต่ก็ข้ามธรรมดาที่ ๓ คือความตายเป็นธรรมดาไม่ได้

ถึงในปัจจุบันชาตินี้ก็ตามขอให้ช่วยคอยดูกันสังเกตกันไปว่า
จะมีใครสักคนไหมที่จะข้ามธรรมดาทั้ง ๓ นี้ได้


แต่ก็จะบอกแบบฟันธงล่วงหน้าได้เลยว่า
ไม่มีแน่นอนสำหรับมนุษย์ปุถุชน
และแม้ในอนาคตชาติ ถึงแม้ธรรมดาทั้ง ๓ นั้น
มันยังมาไม่ถึงหรือยังไม่เกิดขึ้นก็สามารถบอกล่างหน้าได้เช่นกันว่า
สำหรับมนุษย์ปุถุชนยังไงๆ ก็ไม่สามารถที่จะข้ามธรรมดาทั้ง ๓ นี้ได้

ที่นี้จะขอกล่าวในประเด็นที่ว่าธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ประเด็นนี้จะนำเอาเรื่องที่มีประจักษ์แก่ทุกคน
มาบอกเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง
ที่บอกว่าธรรมดาที่ไม่ธรรมดา จะขอยกตัวอย่างเช่น

คนที่มีวาสนาบารมี มีข้าวของเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์แบบล้นฟ้า
สามารถที่จะเอาสมบัติที่ตนมีอยู่นั้นไปแลกไปทำอะไรก็ได้
แต่ทำไมจึงเอาไปแลกไม่ให้แก่ชราไม่ได้
ทำไมจึงเอาไปแลกกับความตายคือทำให้ตนเองไม่ต้องตายไม่ได้

ยิ่งคนที่เรียนรู้มาในทางการแพทย์มีความรู้เต็มเปี่ยมสามารถ
ที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้นานาชนิดแต่แล้วทำไม
คุณหมอทั้งหลายจึงไม่สามารถข้ามพ้นความตายไปได้
หมายความว่า ทำไมคนที่เป็นหมอแท้ๆ จึงยังต้องตาย
ทำไมไม่คิดหายาชนิดไดก็ได้เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วจะทำให้ไม่ต้องตาย
อย่างก็บอกได้เลยว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

เรื่องที่น่าจะเป็นก็คือคนจนยากไร้ขาดการศึกษา
ขาดทรัพย์สมบัติทั้งปวง อยู่ในถิ่นทุรกันดารทำมาหากินก็แสนจะลำบาก
ขาดโอกาสในสังคมโดยประการทั้งปวง คนพิการลักษณะต่างๆ เท่านั้น
น่าจะแก่ น่าจะเจ็บ และน่าจะตาย

ส่วนคนที่มีการศึกษา คนร่ำรวย คนมีโอกาสทางสังคม
คนที่บอกกับตนเองว่า เป็นผู้ดี เป็นต้น
ไม่น่าจะแก่ ไม่น่าจะเจ็บไข้ และไม่น่าจะต้องตายเลย

ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดานี้
ทำสรรพสัตว์ให้อยู่ในอำนาจของตนได้ทั้งหมด


ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเหนือมนุษย์และเหล่าเทวดา
ก็ยังต้องทรงชรา ทรงอาพาธ และเสด็จดับขันธปรินิพพาน
แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอริยบุคคลที่เป็นพระอรหันต์
ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บป่วย และต้องนิพพาน อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย

เพราะเหตุไรเล่า ธรรมดาทั้ง ๓ นี้ จึงยุติธรรมดีแท้
เขาไม่แบ่งแยกมนุษย์เลย ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น
ไม่มีการลำเอียงกับใคร ไม่ยอมให้ใครที่เกิดขึ้นมา
แล้วผ่านอำนาจของตนไปได้ ควบคุมได้ทั้งหมด
นี้สิจึงสมควรเรียกว่าธรรมดาที่ไม่ธรรมดา


ถ้าจะพูดถึงมนุษย์ปุถุชนในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร
อยู่ในชาติใด นับถือศาสนาใดก็ตาม
เขามีการเหลื่อมล้ำกัน ไม่เสมอกันเกือบทุกเรื่อง
จะได้รับอภิสิทธิ์มากกว่ากัน ได้อะไรต่อมิอะไรมากน้อยกว่ากัน

จนกลายเป็นทิฏฐิมานะสำหรับคนบางคนหรือบางกลุ่มว่า
คนเช่นเราต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ต้องมีเกียรติ ต้องให้ความเคารพ ต้องเชื่อฟังเราเสมอไป
จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนๆ นั้น หรือกลุ่มนั้น

แต่ธรรมดาแบบที่ว่านี้มันเป็นเรื่องธรรมดา
จนกลายเป็นความเคยชินกันไปสำหรับคนั้นหรือกลุ่มนั้น
และทำให้คนในสังคมต้องแบ่งแยกกันโดยอัตโนมัติ
และธรรมดาแบบนี้เป็นธรรมดาที่ไม่ยุติธรรมแก่ทุกคน
คนที่มีส่วนได้จะบอกว่ายุติธรรมแต่คนที่ไม่ได้จะบอกว่าไม่ยุติธรรม

หากจะมีคำถามว่า แล้วจะมีใครบ้างไหมหละ
ที่จะสามารถก้าวล่วงข้ามพ้นจากสภาพธรรมดาที่ไม่ธรรมดาทั้ง ๓ นี้ได้


ขอตอบว่า มี

คือ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตขีณาสพ
ท่านทั้ง ๓ นี้ หมดเชื้อคือกิเลสที่เป็นสิ่งต้องให้ทำกรรม
และเสวยผลแห่งกรรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


ท่านเปรียบอริยบุคคลทั้ง ๓ นี้ว่า
เหมือนเปลวไฟที่ไหม้เชื้อจนหมด ไม่มีเชื้อต่อไป
เมื่อดับไปก็ดับได้อย่างสนิท
ไม่กลับมาลุกเป็นไฟได้ใหม่เพราะหมดเชื้อเพลิงนั่นเอง
จะอย่างไรก็ตามแม้ว่าปัจจุบันชาติท่านทั้ง ๓ นั้น
ก็ยังคงต้องแก่ ต้องเจ็บป่วย และต้องตาย อย่างหลีกหนีไม่ได้

ท้ายสุดแล้วก็ไม่มีใครก้าวล่วงธรรมดาที่ไม่ธรรมดานี้ได้

สาธุ สาธุ สาธุ

(ที่มา : ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา โดย พระศรีรัชมงคลบัณฑิต
อาจารย์ประจำคณะศาสนาและปรัชญา มมร ใน www.mbu.ac.th.)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
ชาญวิทย์
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 04 พ.ค. 2008
ตอบ: 152

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 7:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณธรรมะครับผม
เจ๋ง เจ๋ง เศร้า เศร้า สาธุ สาธุ
 

_________________
ธรรมะคือธรรมชาติ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ค.2008, 4:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุจ้า...คุณกุหลาบสีชา

ยิ้ม ยิ้มแก้มปริ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
chill
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 22 ก.พ. 2008
ตอบ: 85

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 12:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนานะคะ ยิ้มแก้มปริ
 

_________________
มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี..
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 19 ส.ค. 2008, 12:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ซึ้ง สาธุ ซึ้ง สาธุ ซึ้ง อนุโมทนาด้วยจ้า สาธุ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง