Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
...รู้เท่าทันความสุข...(ปรีดา เรืองวิชาธร)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 27 พ.ค.2008, 6:34 pm
ว่ากันถึงความสุขของมนุษย์เรานั้น
มีความหยาบความละเอียดประณีตต่างกันหลายชั้นหลายมิติ
แต่ถึงจะหยาบหรือประณีตอย่างไร
เราทุกคนก็ล้วนต้องการความสุขในทุกมิติทั้งสิ้น
เพียงแต่บางช่วงบางขณะของชีวิต อาจต้องการความสุขบางมิติมากกว่ามิติอื่น
ความสุขขั้นพื้นฐานคือ สุขที่เกิดจากการมีปัจจัยพื้นฐานเพื่อดำรงชีพอย่างเพียงพอ
รวมถึงมีทรัพย์สินเงินทองไว้ใช้สอยบริโภค
มาระยะที่สังคมเราเป็นสังคมบริโภคนิยมเข้มข้นรุนแรงขึ้นนั้น
ความสุขอันเกี่ยวเนื่องกับวัตถุได้รวมเอาถึงสุขจากการได้ซื้อ
หรือการได้ครอบครองเป็นเจ้าของแม้จะแทบไม่ได้เสพบริโภคเลยก็ตาม
ซึ่งสุขจากเพียงแค่ได้ครอบครองโดยเฉพาะสิ่งของใหม่ๆ
มักจะมีพลังดึงดูดให้เกิดการขวนขวายแสวงหาอย่างมหาศาล
แต่คุณภาพความสุขกับไม่ประณีตลึกซึ้ง
แถมยังวูบไหวจางคลายลงไปอย่างรวดเร็ว
ความสุขที่ละเอียดประณีตขึ้นจากชั้นแรกก็คือ สุขจากการมีสุขภาพดี
ได้อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี
สุขจากการได้รับความสำเร็จก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
รวมถึงสุขจากการได้ทำหรือได้เป็นอะไรสมอยากตามที่ฝัน
เช่นอยากทำหนังทำละคร หรืออยากเป็นนักเขียน นักดนตรี เป็นต้น
ซึ่งความสุขในชั้นนี้ ก็มักมีความสุขจากชั้นแรกเป็นบันไดในการสร้างสุขในชั้นนี้
ความสุขที่ละเอียดประณีตขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง
ก็มักจะเป็นสุขจากการได้รับความชื่นชมยอมรับจากผู้อื่น
อีกแง่หนึ่งก็หมายถึงสุขจากการได้รับความเคารพความศรัทธา
รวมถึงสุขที่เกิดจากความสัมพันธ์ที่ดี
ระหว่างเรากับคนอื่นในครอบครัวหรือองค์กรเดียวกัน กล่าวคือ
มีความสามารถที่จะปรับตัวอยู่ร่วมกันได้ดี
แม้จะมีความแตกต่างขัดแย้งกันก็ตาม
อีกแง่หนึ่งที่สำคัญของความสุขระดับนี้ก็คือ
สุขจากการได้ช่วยเหลือแบ่งปันให้กับผู้อื่น
หรือสุขจากการได้ทำดีเพื่อคนอื่นเป็นต้น
ความสุขที่ละเอียดประณีตขึ้นมาอีกชั้น
ก็คือ สุขจากการที่จิตใจมีความแช่มชื่นเบิกบาน
เป็นสุขที่เกิดจากการฝึกฝนใจให้สงบและตั้งมั่น
หรือสุขจากการทำสมาธินั่นเอง
ในมิตินี้ยังรวมถึงความสุขที่เกิดจากการที่เรามีความสามารถอันแท้จริงในตน
จนเกิดความมั่นใจภายใน มีความกล้าหาญที่จะคิดและตัดสินใจทำ
อีกแง่หนึ่งที่สำคัญในระดับนี้ ก็คือสุขที่เกิดจากการมีจิตใจที่มีความซื่อสัตย์
มีความดีงามเป็นพื้นฐานจนดำเนินชีวิตอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
กลัวเกรงว่าคนอื่นจะจับผิดเราได้
ความสุขในแต่ละชั้นทั้งหยาบและประณีต
ล้วนสัมพันธ์กันเป็นปัจจัยหนุนเสริมให้แก่กัน
ดังนั้นหากเรามุ่งแสวงหาความสุขเฉพาะเพียงบางชั้นบางมิติ
ก็อาจทำให้ความสุขโดยรวมขาดหายไป
หรือกลับกลายเป็นความทุกข์เข้ามาแทนที่
ด้วยเหตุนี้เราจึงควรแสวงหาความสุขอย่างสมดุลไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง
ความสุขที่เกิดขึ้นจากหลายชั้นหลายมิติ
ย่อมทำให้ชีวิตมีความชุ่มชื่น อิ่มเอมและเบิกบาน
โลกรอบตัวมีความสดใสมีชีวิตชีวา จนทำให้รู้สึกได้ว่า
การดำเนินชีวิตนั้นเต็มไปด้วยคุณค่าความหมายและความหวัง
อย่างไรก็ตามแม้ความสุขจะทำให้เกิดผลดีหลายด้าน
แต่ความรู้สึกเป็นสุขซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในชั้นใดมิติใดก็ตาม
ก็มักจะมาพร้อมกับการยึดติดความสุข
รู้สึกอยากเสพอยากอยู่ในสภาวะนี้นานๆ ภาวะที่ติดสุขอย่างไม่รู้เท่าทัน
มักจะทำให้ชีวิตเกิดความประมาทโดยหลงลืมหรือมองข้ามความจริงว่า
ความสุขทั้งหลายเกิดขึ้นแล้ว
ก็พร้อมจะพลิกเปลี่ยนสูญสลายกลายเป็นความทุกข์ได้ทุกขณะของชีวิต
ทั้งนี้ก็เพราะความสุขเป็นสังขารอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น
และผันผวนปรวนแปรไปตามเหตุปัจจัย ความประมาทต่อความสุขที่ว่านี้
มักจะทำให้เราติดยึดจมแช่อยู่กับความสุขจนปฏิเสธ
หรือหลีกหนีความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ยิ่งเสพติดจมแช่ความสุขอยู่เนิ่นนานเท่าใดก็ยิ่งง่ายที่จะปฏิเสธ
หรือกลัวการเปลี่ยนแปลงนานาชนิดที่กำลังจะเกิดขึ้น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะภาวะการเสพติดความสุข
มักจะลดทอนความสามารถในการกล้าเผชิญความทุกข์และการเปลี่ยนแปลง
รวมถึงลดทอนไหวพริบปฏิภาณการแก้ไขปัญหาในชีวิต
ดังเช่น หากวันใดวันหนึ่งที่เราไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้หรือคอมพิวเตอร์เกิดเสียทั้งวัน
วันนั้นจะเป็นวันที่เราหงุดหงิดงุ่นง่านใจไปทั้งวันเลย
ทั้งที่เดิมหลายปีก่อนที่เราไม่มีเทคโนโลยีเหล่านี้เราก็อยู่อย่างมีความสุขได้มิใช่หรือ
หรืออย่างคนที่ดูแลสุขภาพดีมาโดยตลอด
แต่พอต้องถึงคราวป่วยเป็นโรคร้ายก็ทำใจยอมรับไม่ได้
กับคนดีที่ซื่อสัตย์ซื่อตรงมาโดยตลอดก็เช่นกัน
หากเพียงมีใครคลางแคลงใจในความดีของเขา
ก็ทำใจยอมรับไม่ได้เอาเลย เป็นต้น
ดังนั้นหากจะดำรงอยู่อย่างมีความสุขโดยไม่ถูกความสุขขบกัดจนเป็นทุกข์
ก็จำต้องเข้าใจความเป็นธรรมดาของความสุข
ตระหนักรู้ชัดว่า ความสุขนั้นผันผวนปรวนแปรไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เสมอ
และสามารถพลิกเปลี่ยนเป็นความทุกข์ได้ง่ายหากเราประมาทหรือไม่มีสติรู้เท่าทัน
ด้วยเหตุนี้ขณะที่เรากำลังเป็นสุข
ก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับความทุกข์ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
บางช่วงของชีวิตอาจต้องลองออกไปจากพื้นที่สุขสบายอันคุ้นเคยบ้าง
เพื่อไปสัมผัสโลกและชีวิตที่เป็นอีกด้านหนึ่งของความสุข
เพื่อจะได้ทดลองหรือฝึกซ้อมกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
เช่นการออกไปสัมผัสกับความทุกข์ของคนยากไร้
ไปเยี่ยมผู้พิการหรือไปดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเป็นต้น
การออกไปจากพื้นที่เป็นสุขปลอดภัยอันคุ้นเคยบ้าง มักจะทำให้เราไม่ประมาท
เพราะหากได้ลองจินตนาการว่าถ้าเราประสบอยู่ในภาวะเดียวกับเขาเหล่านั้นแล้ว
เราจะเตรียมตัวเตรียมใจรับมืออย่างไร
ประการสุดท้ายในที่นี้ก็คือ หากจะแสวงหาความสุขในแต่ละชั้นที่กล่าวมานี้
ก็ควรไปให้ถึงความสุขที่ละเอียดประณีตขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งก็คือ
สุขที่เกิดจากการใคร่ครวญมองเห็นความจริงของโลกและชีวิต
ว่าไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอนเลย ดำรงอยู่กับทุกสิ่งอย่างรู้เท่าทันว่า
ทุกสิ่งล้วนเป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น มีและเป็นอย่างไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูของกู
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ก็ไม่สามารถทำให้เราหวั่นไหวขึ้นลงได้ง่ายเป็นแน่แท้
คัดลอกจาก...คอลัมน์ มองย้อนศร
(เป็นคอลัมน์รายสัปดาห์ ลงตีพิมพ์ใน โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันเสาร์
เขียนโดย..ทีมงานพุทธิกา)
http://www.budnet.info/webb0ard/view.php?category=texta&wb_id=165
I am
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
ตอบเมื่อ: 28 พ.ค.2008, 7:50 am
_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 28 พ.ค.2008, 3:33 pm
ความสุขที่ละเอียดประณีตขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งก็คือ
สุขที่เกิดจากการใคร่ครวญมองเห็นความจริงของโลกและชีวิต
ว่าไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอนเลย ดำรงอยู่กับทุกสิ่งอย่างรู้เท่าทันว่า
ทุกสิ่งล้วนเป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น มีและเป็นอย่างไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูของกู
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ก็ไม่สามารถทำให้เราหวั่นไหวขึ้นลงได้ง่ายเป็นแน่แท้
สาธุ...สาธุ...สาธุค่าคุณลูกโป่ง
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th