| ผู้ตั้ง | ข้อความ | 
| suk ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
18 ม.ค. 2005, 8:10 pm |   |  
| นิพพานคืออะไรและมีสภาพเป็นอย่างไร แต่ที่ผมรู้มานั้น คำว่า นิพพาน
 และคำว่า พระนิพพาน นั้น มีความหมายแตกต่างกัน และคำว่าปรินิพพานอีกคำหนึ่ง
 |  
          |  |  
|  |  | 
|  | 
|  | 
| TU บัวทอง
 
  
  
 เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
 ตอบ: 1589
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
18 ม.ค. 2005, 9:41 pm |   |  | 
|     | 
|  | 
| dee ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
19 ม.ค. 2005, 2:42 pm |   |  
| สวัดดีครับ ผมเป็นมุสลิมคนหนึ่งที่สนใจ พระพุทธศาสนามาก และต้องการที่จะเรียนรู้ด้วย แต่ถ้าท่านใดต้องการเรียนรู้อะไรที่เกี่ยวกับอิสลามก็แลกเปลี่ยนความรู้กันได้เพราะผมก็เรียนด้านนี้มามากพอควร
 
 และมีใครไหมที่พอที่จะโต้ตอบทางอีเมลกีบผมเพื่อที่ผมจะได้เรียนรู้พุทธศาสนา ถ้ามีท่านที่ใจบุญท่านใดก็ช่วยสงเคราะห์ด้วยน่ะครับ เพราะผมสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพุทธมาก ถ้าอยูในกทม ได้ก็ดีน่ะครับ ผมก็อยู่กทมเหมือนกัน ยังไงก็ช่วยสงเคราะห์ผู้อยากรู้ด้วยน่ะครับ
 
 elijah2522@hotmail.com
 
 
 |  
          |  |  
|  |  | 
|  | 
|  | 
| เกียรติ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2005, 12:25 pm |   |  | 
|  | 
|  | 
| เกียรติ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2005, 11:29 pm |   |  
| จากมงคลชีวิตที่ 34 ทำพระนิพพานให้แจ้ง
 
 นิ พ พ า น คื อ อ ะ ไ ร ?
 
 นิพพาน มีคำแปลได้หลายอย่าง เช่น
 - แปลว่า ความดับ ความสูญ คือดับกิเลส ดับทุกข์ สูญจากกิเลส สูญจากทุกข์
 - แปลว่า ความพ้น คือพ้นทุกข์ พ้นจากภพสาม
 
 นิพพาน เป็นที่ซึ่งความทุกข์ทั้งหลายเข้าไปไม่ถึง อยู่พ้นกฎของไตรลักษณ์ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีแก่เจ็บตาย เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นบรมสุข เกิดขึ้นด้วยอำนาจการปฏิบัติธรรม มีพระพุทธพจน์ที่กล่าวถึงนิพพานไว้หลายแห่ง อาทิเช่น
 
 นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพาน สุขอย่างยิ่ง ม. ม. ๑๓/๒๘๗/๒๘๑
 
 ความเกิดแห่งนิพพานใดย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งนิพพานนั้นมิได้มี ย่อมปรากฏอยู่โดยแท้ นิพพานเป็นคุณชาติเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มิได้มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อันอะไรๆ นำไปไม่ได้ ไม่กำเริบ ขุ. จู. ๓๐/๖๕๙/๓๑๕
 
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ขุ. อุ. ๒๕/๑๕๘/๒๐๖
 
 โลกนี้และโลกหน้า เราผู้รู้อยู่ ประกาศดีแล้ว เราเป็นผู้ตรัสรู้เอง ทราบชัดซึ่งสรรพโลก ทั้งที่เป็นโลกอันมารถึงได้ ทั้งที่เป็นโลกอันมัจจุถึงไม่ได้ ด้วยความรู้ยิ่ง จึงได้เปิดอริยมรรคอันเป็นประตูแห่งอมตะ เพื่อให้ถึงนิพพานอันเป็นแดนเกษม กระแสแห่งมารอันลามก เราตัดแล้ว กำจัดแล้ว ทำให้ปราศจากความเหิมแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นผู้มากด้วยความปราโมทย์ ปรารถนาถึงธรรมอันเป็นแดนเกษมเถิด ม. มูล. ๑๒/๓๙๑/๔๒๑
 
 ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำบางสายในโลกที่ไหลไป ย่อมไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนยังตกลงมาจากอากาศ ความพร่องหรือความเต็มของมหาสมุทรย่อมไม่ปรากฏเพราะเหตุนั้น ภิกษุจำนวนมากก็เหมือนกัน ถ้าแม้ยังปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความพร่องหรือความเต็มของนิพพานธาตุ ย่อมไม่ปรากฏเพราะเหตุนั้น แม้ข้อที่ภิกษุจำนวนมาก ถ้าแม้ยังปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความพร่องหรือความเต็มของนิพพานธาตุ ย่อมไม่ปรากฏเพราะเหตุนั้น นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๕ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ วิ. จุลฺล. ภาค ๒ ๗/๔๖๑/๒๒๗
 
 นิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว เป็นสุขดีหนอ ไม่มีความโศก ปราศจากธุลี ปลอดโปร่ง เป็นที่ที่ความทุกข์ดับไป ขุ. เถร. ๒๖/๓๐๙/๓๐๕
 
 ทหารเมื่ออยู่ในหลุมหลบภัย ย่อมปลอดภัยจากอาวุธร้ายของศัตรูฉันใด ผู้ที่มีใจจรดนิ่งอยู่ในนิพพาน ก็ย่อมปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวงฉันนั้น
 
 ป ร ะ เ ภ ท ข อ ง นิ พ พ า น
 
 นิพพานมีอยู่ ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ
 
 ๑. สอุปาทิเสสนิพพาน เรียกว่า นิพพานเป็น ทุกคนที่ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ได้สมบูรณ์ สามารถเข้าถึงนิพพานนี้ได้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังเป็นๆ อยู่เป็นนิพพานของพระอริยเจ้าผู้ละกิเลสได้แล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลกต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเข้านิพพานเป็นนี้ได้ เมื่อวันที่พระองค์ตรัสรู้
 
 นิพพานเป็น เป็นเหมือนหลุมหลบภัยในตัว เรามีทุกข์โศกโรคภัยใดๆ พอเอาใจจรดเข้าไปในนิพพาน ความทุกข์ก็จะหลุดไปหมด จะตามไปรังควาน ไปบีบคั้นใจเราไม่ได้ พระอรหันต์มีใจจรดนิ่งในนิพพานตลอดเวลา จึงไม่มีทุกข์อีกเลย
 
 ๒. อนุปาทิเสสนิพพาน เรียกว่า นิพพานตาย เป็นเหตุว่างนอกภพสาม ผู้ที่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ เมื่อเบญจขันธ์ดับ (กายเนื้อแตกทำลายลง) ก็จะเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพานนี้
 
 ผู้ ที่ ส า ม า ร ถ ท ำ นิ พ พ า น ใ ห้ แ จ้ ง ไ ด้
 
 ผู้ที่จะทำนิพพานให้แจ้งได้ก็คือ พระอริยบุคคลทุกระดับ ทั้งพระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระโสดาบัน รวมทั้งโคตรภูบุคคล
 
 บางท่านอาจนึกสงสัยว่า ก็เห็นบอกว่า ผู้ละกิเลสได้แล้วจึงจะเข้านิพพานได้ แล้วตอนนี้มาบอกว่า โคตรภูบุคคลซึ่งยังไม่ได้หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ก็เข้านิพพานได้ จะไม่เป็นการขัดกันเองหรือ
 
 คำตอบคือ ไม่ขัดกัน เพราะโคตรภูบุคคลนั้น เมื่อเอาใจจรดเข้าพระนิพพาน ขณะนั้นก็หมดทุกข์ กิเลสทำอะไรไม่ได้ แต่ทว่าใจยังจรดอยู่ในนิพพานได้ไม่ตลอดเวลา เมื่อไหร่ใจถอนออกมาก็ยังต้องมีทุกข์อยู่ เหมือนตัวของเรา ถ้าหากเป็นแขกรับเชิญไปเที่ยวพักผ่อนยังปราสาทใหญ่ ระหว่างที่พักอยู่ในนั้นก็มีความสุขสบาย แต่ก็อยู่ได้ชั่วคราวเพราะยังไม่ได้เป็นเจ้าของเอง เมื่อไหร่ครบกำหนดกลับ ก็ต้องออกจากปราสาทมาสู้เหตุการณ์ภายนอกใหม่
 
 โ ค ต ร ภู ญ า ณ เ ห็ น นิ พ พ า น ไ ด้ แ ต่ ยั ง ตั ด กิ เ ล ส ไ ม่ ไ ด้
 
 ถึงแม้ว่า โคตรภูญาณจะเห็นนิพพานก่อนกว่ามรรคก็จริง ถึงกระนั้นก็ไม่เรียกว่า ทัสสนะ เพราะได้แต่เห็น แต่ไม่มีการละกิเลสอันเป็นกิจที่ต้องทำ สารัตถทีปนี อรรถกถาสังยุตตนิกาย เล่ม ๓ หน้า ๑๑๕
 
 โ ค ต ร ภู ญ า ณ ล ะ กิ เ ล ส ไ ด้ ชั่ ว ค ร า ว
 
 การละภาวะที่มีสังขารเป็นนิมิตด้วยโคตรภูญาณนี้ ชื่อว่า ตทังคปหาน (ละชั่วคราว) ปรมัตถทีปนี อรรถกถาอิติวุตตกะ หน้า ๔๓
 
 ตั ว ข อ ง เ ร า จ ะ เ ข้ า นิ พ พ า น ไ ด้ ห รื อ ไ ม่ ?
 
 คำตอบคือ ได้ โดยจะต้องตั้งใจเจริญภาวนาไปจนเข้าถึงโคตรภูญาณ เป็นโคตรภูบุคคล จากนั้นฝึกต่อไปจนเข้าถึงภาวะความเป็นอริยบุคคลที่สูงขึ้นไปตามลำดับ ก็จะเห็นอริยสัจจ์ และทำนิพพานให้แจ้งได้ละเอียดลึกซึ้งขึ้น ในที่สุดก็จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ซึ่งไม่ยากจนเกินไปที่เราจะปฏิบัติได้ เพราะถ้ายากเกินไปแล้ว คงไม่มีพระอรหันต์เป็นล้านๆ รูปในสมัยพุทธกาล ถ้านิพพานนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปได้พระองค์เดียว คนอื่นไปไม่ได้เลย ก็จะบอกว่ายาก แต่จริงๆ แล้วมีผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ตั้งใจฝึกสมาธิจนเกิดปัญญาเข้านิพพานได้มากมาย แสดงว่าไม่ยากจนเกินไป แต่แน่นอนก็คงไม่ง่าย เพราะถ้าง่ายเราก็คงเข้าไปตั้งนานแล้ว
 
 เพราะฉะนั้นตั้งใจฝึกตัวเองกันเข้า วันหนึ่งเราก็จะเป็นคนหนึ่งที่ทำได้แล้วเข้านิพพานได้ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ว่ายังไม่ได้ทำต่างหาก อย่าเพิ่งไปกลัว อย่าไปท้อใจเสียก่อนว่าจะทำไม่ได้ ถ้าทำจริงแล้วต้องได้
 
 อ า นิ ส ง ส์ ก า ร ท ำ นิ พ พ า น ใ ห้ แ จ้ ง
 
 ๑. ทำให้จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
 ๒. ทำให้จิตไม่โศก
 ๓. ทำให้จิตปราศจากธุลี
 ๔. ทำให้จิตเกษม  ฯลฯ
 
 ไฟใดเสมอด้วยราคะไม่มี โทษใดเสมอด้วยโทสะไม่มี ทุกข์ใดเสมอด้วยเบญจขันธ์ไม่มี สุขใดเสมอด้วยความสงบไม่มี ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ขุ. ธ. ๒๕/๒๕/๔๒
 
 จบมงคลที่ ๓๔ ทำนิพพานให้แจ้ง
 |  
          |  |  
|  |  | 
|  | 
|  | 
| charoem บัวใต้ดิน
 
  
 
 เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
 ตอบ: 31
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
09 พ.ค.2008, 11:12 am |   |  
| นิพพานคือจุดสูงสุดที่ชาวพุทธทั้งหลายต้องการไปถึง คือการที่พระพุทธองค์สอนให้มนุษย์ทั้งหลายปฏิบัติจนหลุดพ้นจากวัฏสงสารโดยไม่มีการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ทำให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ การที่ใครจะไปถึงนิพพานได้ไม่ใช่ของง่าย ต้องไปด้วยตนเอง จะให้ผู้อื่นมาช่วยเหลือไม่ได้ แม้ว่าพุทธศาสนาทางมหายานว่ามีทางลัดที่องค์พุทธะและพระโพธิสัตว์ต่างๆจะสามารถช่วยเหลือให้คนพ้นทุกข์ได้ คงเป็นเพียงช่องทางเสริมสร้างกำลังใจแก่คนส่วนหนึ่ง
 
 การจะไปนิพพานได้จะต้องเป็นผู้มีศีล 5 ศีล 10 โดยเคร่งครัด ต้องละสุขในโลกีย์ 5 ตนเองต้องดับกิเลสได้หมด คือ ตัดตัณหาอุปาทานทั้งหลายทั้งปวงได้ เปรียบเทียบว่าหมดเชื้อจึงจะไม่เกิดไฟ ไปด้วยมรรค 8 องค์เท่านั้น ถ้ามีใครอ้างว่าถึงนิพพานแต่ยังมีการแสดงออกว่ายึดติดกับตัณหาอุปาทานทั้งหลายย่อมแสดงว่าเขาหลง ตามจริงแล้วผู้ที่ไปนิพพานแล้วเท่านั้นจึงจะรู้ถึงผู้ที่นิพพานด้วยกัน พระนิพพานมี 2 ประเภท คือ นิพพานดิบ หมายถึงผู้ที่ได้ปฏิบัติจนพ้นทุกข์แล้ว ได้เสวยสุขของนิพพานขณะยังมีชีวิตอยู่ และนิพพานสุขคือเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว ตามตำราอ้างว่ามีผู้หลงนิพพานไปไม่ใช่น้อย บางท่านหลงไปเกิดในอรูปพรหม ซึ่งเป็นนิพพานโลกีย์ ซึ่งยังต้องอาศัยการปฏิบัติใช้เวลาอีกยาวนานมากกว่าจะเป็นนิพพานโลกุตร
 
 เรื่องนิพพานนี้คงไม่มีใครบอกได้นอกจากท่านที่นิพพานเอง ซึ่งท่านก็จะไม่บอกให้ใครทราบ บรรดาปัญญาชนทั้งหลายจะเชื่อได้อย่างไรว่ามีผู้นิพพานจริงๆ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดจริง เรารู้ว่าพระผู้นิพพานไปแล้วเป็นองค์อรหันต์ ซึ่งพระพุทธองค์ได้แสดงธรรมจนบรรดาอริยบุคคลและสงฆ์ในยุคของพระองค์ท่าน สำเร็จเป็นอรหันต์ไปเป็นจำนวนมาก เช่น องค์เอกอัครสาวก เช่น พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พระสงฆ์ในสมัยพระพุทธองค์ส่วนใหญ่เป็นอริยสงฆ์ และหลายองค์มีชีวิตอยู่ช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนาอีกต่อไป หลังจากพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว เช่น พระมหากัสสป พระอนุรุทธ และพระอานนท์ ซึ่งสำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว จนถึงวันที่บรรดาอรหันต์ทั้งหลายจะประชุมสังคายนาคำสอนของพระพุทธองค์ครั้งแรกจึงสำเร็จเป็นอรหันต์ทันเวลา ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะพระอานนท์เป็นองค์ที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระพุทธองค์มากที่สุดได้รู้ได้เห็นเรื่องต่างๆมากที่สุด เมื่อเป็นอรหันต์จึงทำให้เกิดประโยชน์ต่อการสังคายนาครั้งนั้นมาก เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายเท่านั้นเป็นผู้ชำระพระธรรมคำสอนในครั้งแรกและจัดพระธรรมคำสอนเป็นหมู่หมวด จึงเป็นที่แน่นอนว่าพระไตรปิฎกมีความเที่ยงแท้ตรงต่อคำสอนของพระพุทธองค์เป็นที่สุด เพราะทุกองค์สิ้นกิเลสทั้งปวงแล้ว ทุกองค์มี ปัญญา ที่เกิดจากการภาวนาจนรู้แจ้งรู้จริงในทุกสิ่ง จึงขอให้ปัญญาชนยุคใหม่ที่ไม่ค่อยยอมเชื่อว่าพระธรรมเป็นคำสอนของพระพุทธองค์จริงจะได้เข้าใจ มีปัญญาชนบางท่านสงสัยว่าสมัยพุทธกาลทำไมคนเป็นอรหันต์กันง่ายนัก ฟังเทศน์จากพระพุทธองค์เพียงนิดเดียวก็สำเร็จ ต้องไม่ลืมว่าพระพุทธองค์เป็นบรมศาสดาใหญ่ยิ่งกว่าครูทั้งปวง ย่อมรู้ถึงใจของศิษย์ว่าติดที่ใดเพียงแก้จุดนั้นก็เกิดความสว่าง ยิ่งกว่านั้นในยุคนั้นว่างศาสนามานาน ได้มีผู้สร้างบารมีของตนเองมาหลายภพหลายชาติ พร้อมที่จะสำเร็จเพียงรอพระศาสดาที่จะชี้ช่องทางที่ถูกให้เท่านั้น ก็จะหลุดพ้นได้โดยเร็ว จึงอย่าได้สงสัยไปเลย
 
 เมื่อหมดสมัยพระพุทธองค์แล้วจะยังมีพระอรหันต์ต่ออีกหรือไม่ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่าตราบใดยังมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์อยู่และยังมีผู้ปฏิบัติตามมรรค 8 ที่ทรงสอนไว้ ตราบนั้นยังมีพระอรหันต์ ปัญญาชนยุคใหม่คงอยากถามต่อไปว่าแล้วในวันนี้มีให้เห็นสักองค์หรือไม่เล่า? เนื่องจากพระอรหันต์ด้วยกันเท่านั้นจึงจะรู้ว่าองค์ใดเป็น เราคงบอกไม่ได้แต่เรามีหลักฐานอื่นที่สามารถนำมายืนยันให้ท่านปัญญาชนเชื่อได้ คือ เราทราบดีว่าเมื่อพระอรหันต์ท่านสิ้นไปแล้วกระดูกหรือผมหรือหนังหรือเล็บของท่าน เมื่อทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าพระธาตุ พระอรหันตธาตุ คือลักษณะของกระดูกจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นวัตถุที่คล้ายมุก คล้ายเพชรพลอย มีสีสันและลักษณะต่างๆกัน เช่นเดียวกับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ที่เรากราบไหว้บูชากันอยู่ ซึ่งปัญญาชนที่ไม่เชื่ออาจไปดูได้ที่เจดีย์บรรจุพระธาตุของหลวงปู่มั่นที่สกลนคร จะเห็นกระดูกชิ้นใหญ่ด้านหนึ่งยังมีลักษณะคล้ายกระดูก แต่อีกด้านเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ายแก้วสีเขียวหรือมรกต หรือพระธาตุของหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล มีสีสันที่สวยงาม หรือหลวงปู่จวน กุลเชฎโฐ ที่เจดีย์ภูทอก และยังมีอีกหลายสิบองค์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทางวิทยาศาสตร์หรือทางธรรมชาติเองทำไม่ได้ กระดูกที่ขุดพบหลายพันปีหรือเป็นล้านปีก็ไม่สามารถเปลี่ยนสภาพเป็นพระธาตุได้ ซึ่งถ้าใครได้อ่านชีวประวัติของพระอรหันต์เหล่านี้ ว่าท่านผ่านความเพียรปฏิบัติ รักษาศีล ละกิเลสอย่างเข้มแข็งเนิ่นนานเพียงใด ท่านจึงบรรลุโลกุตรธรรม
 
 ดังนี้จึงเชื่อได้ว่าพระอรหันต์มีจริง พระนิพพานมีจริง แม้ในยุคศีลธรรมเสื่อมทราม ผู้คนขาดความสนใจในการปฏิบัติธรรม ไม่มีศีล อย่างคนจำนวนไม่น้อยในยุคนี้ จึงอยู่ที่ใครจะมีบุญบารมีได้รู้ได้เห็นได้ ถ้าใจเชื่อและปฏิบัติตามแนวทางที่ได้ทรงสั่งสอนไว้
 |  
          |  |  
|  |  | 
|   | 
|  | 
| ชอบธรรม บัวผลิหน่อ
 
  
 
 เข้าร่วม: 22 พ.ย. 2006
 ตอบ: 4
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
11 มิ.ย.2008, 12:39 pm |   |  
| สาธุ อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจขึ้นเยอะ แค่ได้อ่านก็มีความสุขมาก
 |  
          |  |  
| _________________
 เกิดเป็นมนุษย์เพื่อสะสมบุญ
 |  | 
|    | 
|  | 
| RARM บัวบาน
 
  
 
 เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
 ตอบ: 417
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
12 มิ.ย.2008, 7:01 pm |   |  
| พระอริยะจ้า   มีจิตไม่ส่งออกนอก  จิตไม่หวั่นไหว  จิตไม่กระเพื่อม  มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์  เป็นวิหารธรรม
 
 ปล่อยวางทั้งอดีต  อนาคต  และปัจจุบัน  อยู่กับความไม่มีไม่เป็น  ว่าง  สว่าง  บริสุทธิ์  หยุดการปรุงแต่ง  หยุดการแสวงหา  อยุดกิริยาจิต    ไม่มีอะไรเลย  ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
 
 โดยปราศจาก รูป  ปรมาณู  ความว่างนั้นจึงบริสุทธิ์
 
 สว่าง  รวมกับความว่าง  บริสุทธิ์สว่างของจักรวาลเดิมเข้าเป็นหนึ่ง  เรียก  นิพพาน
 |  
          |  |  
|  |  | 
|   | 
|  | 
| เศษพุทธทาส บัวใต้น้ำ
 
  
 
 เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
 ตอบ: 121
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
13 มิ.ย.2008, 8:33 am |   |  
| 
 
| RARM พิมพ์ว่า: |  
| พระอริยะจ้า   มีจิตไม่ส่งออกนอก  จิตไม่หวั่นไหว  จิตไม่กระเพื่อม  มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์  เป็นวิหารธรรม 
 ปล่อยวางทั้งอดีต  อนาคต  และปัจจุบัน  อยู่กับความไม่มีไม่เป็น  ว่าง  สว่าง  บริสุทธิ์  หยุดการปรุงแต่ง  หยุดการแสวงหา  อยุดกิริยาจิต    ไม่มีอะไรเลย  ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
 
 โดยปราศจาก รูป  ปรมาณู  ความว่างนั้นจึงบริสุทธิ์
 
 สว่าง  รวมกับความว่าง  บริสุทธิ์สว่างของจักรวาลเดิมเข้าเป็นหนึ่ง  เรียก  นิพพาน
 |  ผมคิดว่าการที่ท่านกล่าวว่า พระอริยเจ้านั้น สามารถหยุดกิริยาจิต ได้นั้น เห็นทีจะผิด เพราะการที่ท่านหรือใครก็ตามจะหยุดกิริยาจิตนั้น จะต้องนิพพานแล้วเท่านั้น แต่ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ต้องเกี่ยวข้องกับโลก เวลามีใครมาถามคำถาม หรือเวลาแสดงธรรม ก็ล้วนแต่ต้องใช้กิริยาจิตทั้งนั้นนะครับ
  |  
          |  |  
| _________________
 ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด
 |  | 
|   | 
|  | 
| RARM บัวบาน
 
  
 
 เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
 ตอบ: 417
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
13 มิ.ย.2008, 11:54 am |   |  
| 
 
| เศษพุทธทาส พิมพ์ว่า: |  
| 
| RARM พิมพ์ว่า: |  
| พระอริยะจ้า   มีจิตไม่ส่งออกนอก  จิตไม่หวั่นไหว  จิตไม่กระเพื่อม  มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์  เป็นวิหารธรรม 
 ปล่อยวางทั้งอดีต  อนาคต  และปัจจุบัน  อยู่กับความไม่มีไม่เป็น  ว่าง  สว่าง  บริสุทธิ์  หยุดการปรุงแต่ง  หยุดการแสวงหา  อยุดกิริยาจิต    ไม่มีอะไรเลย  ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
 
 โดยปราศจาก รูป  ปรมาณู  ความว่างนั้นจึงบริสุทธิ์
 
 สว่าง  รวมกับความว่าง  บริสุทธิ์สว่างของจักรวาลเดิมเข้าเป็นหนึ่ง  เรียก  นิพพาน
 |  ผมคิดว่าการที่ท่านกล่าวว่า พระอริยเจ้านั้น สามารถหยุดกิริยาจิต ได้นั้น เห็นทีจะผิด เพราะการที่ท่านหรือใครก็ตามจะหยุดกิริยาจิตนั้น จะต้องนิพพานแล้วเท่านั้น แต่ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ต้องเกี่ยวข้องกับโลก เวลามีใครมาถามคำถาม หรือเวลาแสดงธรรม ก็ล้วนแต่ต้องใช้กิริยาจิตทั้งนั้นนะครับ
  |  
 การหยุดกิริยาจิตอย่าไปทึกทักเอาเพียงความหมายว่า  บังคับจิตไม่ให้เป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้
 เพียงแต่ท่านอยู่เหนือกิริยาเหล่านั้นต่างห่าง  เห็นเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมา  ตั้งอยู่  แล้วดับไป  อันไหนที่มีประโยชน์  ท่านก็หยิบมาใช้  อันไหนไม่มีประโยชน์  ก็ปล่อยไว้
 
 (อันนี้พระอาจารย์ผมท่านอธิบายให้ฟังครับ  พระอาจารย์ผมชือ  พระอาจารย์ชัยรัตน์  สุธมฺโมครับ)
 |  
          |  |  
|  |  | 
|   | 
|  | 
| RARM บัวบาน
 
  
 
 เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
 ตอบ: 417
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
13 มิ.ย.2008, 11:57 am |   |  
| เศษพุทธทาส
 
 หรือคุณลอง  นั่งพิจารณาความคิดของตัวเราเองซิครับ
 
 แล้วลองไม่ตามความคิด ไป  เพียงแต่ดูมันเฉย  ๆ  เราจะเห็นอะไรครับ
 
 ก็เห็นความเกิดดับของความคิดนั่นเอง  ไม่ได้ยึดถือความคิดว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
 
 
  |  
          |  |  
|  |  | 
|   | 
|  | 
| คามินธรรม บัวบานเต็มที่
 
  
  
 เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
 ตอบ: 860
 ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
19 มิ.ย.2008, 11:32 am |   |  
| ผมก็อยากรู้นะ ว่ามันคืออะไร
 
 แค่คิดไปคิดมา
 เหมือนผมอยู่ ป. 1... แล้วอยากรู้ว่าความรู้ปริญญาเอกมันเป็นยังไง
 
 เมื่อรู้ได้เท่านี้ แค่นี้ .....   ดังนั้นจึงวางปริญญาเอกลงเสีย พักไว้ก่อน
 
 อะไรที่อยู่ในวิสัย ป.1 จะรู้ได้ก็รู้ไป
 
 
 แต่อุ่นใจคับ ว่าความรู้ปริญญาเอกนี้มีจริง
 แถมจารนัยไว้ละเอียดเป็นระบบ เสร็จสรรพ พิศดาร
 คุณพร้อมเมื่อไหร่ก็ได้เจอแน่นอน
 
 เรารู้ได้แค่ไหน ก้รู้ได้เท่านั้นคับผม
 
 สงสัยในสิ่งที่ตนรู้ไม่ได้ รู้แจ้งด้วยตน ของตนไม่ได้
 ทำให้ทุกข์
 |  
          |  |  
| _________________
 ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
 
 |  | 
|   | 
|  | 
| dd บัวเริ่มพ้นน้ำ
 
  
  
 เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2008
 ตอบ: 179
 ที่อยู่ (จังหวัด): overseas
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2008, 10:17 pm |   |  
| 
 
| อ้างอิงจาก: |  
| ผมก็อยากรู้นะ ว่ามันคืออะไร 
 แค่คิดไปคิดมา
 เหมือนผมอยู่ ป. 1... แล้วอยากรู้ว่าความรู้ปริญญาเอกมันเป็นยังไง
 
 เมื่อรู้ได้เท่านี้ แค่นี้ ..... ดังนั้นจึงวางปริญญาเอกลงเสีย พักไว้ก่อน
 
 อะไรที่อยู่ในวิสัย ป.1 จะรู้ได้ก็รู้ไป
 |  
 โอ้โฮ คำตอบที่เฉียบจริงๆ ขออนุญาตจำไว้ใช้ครับ  สาธุ เจริญธรรมครับ
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|   | 
|  | 
| บัวหิมะ บัวเงิน
 
  
  
 เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
 ตอบ: 1273
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
12 ส.ค. 2008, 12:55 am |   |  
| เจริญในธรรม ทุกท่าน
    |  
          |  |  
| _________________
 ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
 |  | 
|   | 
|  | 
|  |