ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
budthai
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 08 พ.ค. 2008
ตอบ: 4
|
ตอบเมื่อ:
31 พ.ค.2008, 8:21 am |
  |
ไตรลักษณ์ เป็น บัญญัติ หรือ ปรมัตถ์
ถ้าอ่านแล้วถูกใจ กรุณานำไปโพสต่อในลานธรรม และ พันทิพ นะครับ.
สำหรับแหล่งข้อมูลในคัมภีรที่ระบุ ว่าไตรลักษณ์เป็นบัญญัติ เท่าที่ค้นพบมีดังนี้ :-
* "วุฏฺฐานคามินี ปน วิปสฺสนา กิมารมฺมณาติ ลกฺขณารมฺมณาติ. ลกฺขณํ นาม ปญฺญตฺติคติกํ น วตฺตพฺพธมฺมภูตํ.-ก็วุฏฐานคามินีวิปัสสนามีอะไรเล่าเป็นอารมณ์ ตอบว่า มีลักษณะเป็นอารมณ์ ชื่อว่า ลักษณะมีคติเป็นบัญญัตติ เป็นนวัตตัพพธรรม(ในที่นี้ นวัตตัพพธรรม ธรรมที่กล่าวไม่ได้ว่าเป็นปริตตะ มหัคคตะ อัปปมาณะ ได้แก่บัญญัตติเท่านั้น ดูฏีกาประกอบด้วยจะเข้าใจ "[5] . (อภิ.ธ.อ.มกุฏ 75/-/620", บาลีอยู่ใน "โลกุตฺตรกุสลวณฺณนา - -34- อฏฺฐสาลินี ธมฺมสงฺคณี-อฏฺฐกถา (พุทฺธโฆส) - อภิ.อฏฺ. 1 ข้อ ๓๕๐")
* "ตทารัมมณ์ย่อมไม่ได้ในวิปัสสนาที่มีอารมณ์ไตรลักษณ์. ตทารมณ์ย่อมไม่ได้ในพลวิปัสสนาที่เป็นวุฏฐานคามินี" [6].(อภิธมฺมวิกาสินี 2 อภิธมฺมาวตารฏีกา ๒ ๑๒. ทฺวาทสโม ปริจฺเฉโท ปญฺญตฺตินิทฺเทสวณฺณนา - อภิธมฺมาวตารฏี.2/777)
* "อาทิ-คฺคหเณน ขยาทิสภาวํ ตํ ตํ ธมฺมมุปาทาย ปญฺญาปิยมานํ อนิจฺจลกฺขณาทิกํ สงฺคณฺหาติ-ด้วยการถือเอาอาทิศัพท์ ท่านได้สงเคราะห์อนิจจลักษณะเป็นต้น(ว่าเป็นอสมูหบัญญัติ)อันบุคคลรู้กันได้โดยอาศัยธรรมะนั้นๆอันเป็นสภาวะที่สิ้นไปเป็นต้น"[7](อภิธมฺมวิกาสินี 2 - อภิธมฺมาวตารฏีกา ๒ - ๑๒. ทฺวาทสโม ปริจฺเฉโท ปญฺญตฺตินิทฺเทสวณฺณนา - อภิธมฺมาวตารฏี.2/777)
* "รูปนีลาทิอากาโร รูปารมฺมณรูปาทานาการปญฺญตฺติ. ตชฺชาปญฺญตฺติ เหสา ยถา อนิจฺจตาทิ-อาการคือสีเขียวของรูปเป็นต้นเป็นบัญญัตติแห่งอาการที่ยึดเอารูป คือ รูปารมณ์(วัณณรูป). จริงอยู่ ตัชชาบัญญัตติ เป็นเช่นกับอนิจจตาเป็นต้น"[8].(๑๖. ญาณวิภงฺโค - ๑. เอกกนิทฺเทสวณฺณนา - -35-อนุ- ลีนตฺถวณฺณนา 2 อนุฏีกาวิภงฺค์ (ธมฺมปาล) - อภิ.อนุฏี. 2 ข้อ ๗๖๖)
* "ตานิ ปน นิสฺสยานเปกฺขํ น ลพฺภนฺตีติ ปญฺญตฺติสภาวาเนว ตชฺชาปญฺญตฺติภาวโตติ สตฺตฆฏาทิโต วิเสสทสฺสนตฺถํ ปน อฏฺฐกถายํ วิสุ วุตฺตานีติ. น หิ โกจิ สภาโว กุสลตฺติกาสงฺคหิโตติ วตฺตุ ยุตฺตํ กุสลตฺติกสฺส นิปฺปเทสตฺตา- แต่ว่าไตรลักษณ์ทั้งหลายย่อมไม่ได้ที่จะไม่เพ่งถึงที่อาศัยดังนี้ เพราะเป็นตัชชาบัญญัตติแห่งสภาวะที่มีบัญญัตติ ดังนี้,แต่ในอรรถกถาท่านได้กล่าวแยกไตรลักษณ์ทั้งหลายไว้ต่างหาก ก็เพื่อแสดงความแตกต่างจากสัตว์และหม้อเป็นต้น. เป็นการควรที่จะกล่าวว่า จริงอยู่ สภาวะอะไรๆที่จะไม่สงเคราะห์เข้าในกุสลติกะหามีไม่ดังนี้ เพราะกุสลติกะเป็นนิปเทสเทสนา(ทรงแสดงสภาวะไว้ไม่มีส่วนเหลือ)"[9].(ติกนิกฺเขปกถาวณฺณนา - -34-อนุ- ลีนตฺถวณฺณนา 1 อนุฏีกาธมฺมสงฺคณี (ธมฺมปาล) - อภิ.อนุฏี. 1 ข้อ ๙๘๗)
* "อิเม ตโยปิ อาการา อสภาวธมฺมตฺตา ขนฺธปริยาปนฺนา น โหนฺติ ฯ ขนฺเธหิ วินา อนุปฺปลพฺภนียโต ขนฺธวินิมุตฺตาปิ น โหนฺติ ฯ ขนฺเธ ปน อุปาทาย โวหารวเสน ลพฺภมานา ตทาทีนววิภาวนาย วิเสสการณภูตา ตชฺชาปญฺญตฺติวิเสสาติ เวทิตพฺพา ฯ-พีงทราบว่า อาการทั้ง ๓ อย่างไม่นับเข้าในขันธ์ เพราะเป็นธรรมะที่ไม่มีสภาวะ. แต่ก็ไม่เป็นทั้งขันธวินิมุตติด้วย เพราะเว้นจากขันธ์เสียแล้วก็จะมีไม่ได้. แต่เป็นตัชชาบัญญัตติต่างๆที่อาศัยขันธ์แล้วก็จึงมีอยู่ได้ด้วยอำนาจโวหาร เป็นตัชชาบัญญัตติที่เป็นเหตุแห่งความแตกต่างกันของการแสดงโทษของขันธ์นั้น ดังนี้"[10](ปญฺญานิทฺเทสวณฺณนา - ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธินิทฺเทสวณฺณนา – อุปกฺกิเลสวิมุตฺตอุทยพฺพยญาณกถาวณฺณนา-ปรมตฺถมญฺชุสา 2 วิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา 2 -วิสุทฺธิ.มหาฏีกา.2 ข้อ 740)
คำอธิบายมีดังต่อไปนี้ :-
บัญญัติ หรือ ที่ในภาษาบาลีเขียนว่า "ปญฺญตฺติ" คือ ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงไว้มากมายนับไม่ได้ สาเหตุที่ท่านแสดงไว้มากมายนั้น ก็เพื่อให้ปัญญาเจริญนั่นเอง. ในอภิธัมมัตถสังคหะนั้นจัดไว้ ๒ หมวด คือ อัตถบัญญัตติ(กสิณปฏิภาคนิมิตเป็นต้น) กับ นามบัญญัตติ(ชื่อว่า "ต้นไม้" เป็นต้น).
* อัตถบัญญัตติ จะประมวลมาเพื่อให้จิตรับรู้ เช่น จ้องบาตรหาน้ำลายที่ตกลงไปจะได้เขี่ยทิ้ง(ถ้ากินอาบัติของไม่ได้ปะเคน) อันนี้ไม่ต้องคิดเป็นคำๆ ไม่ต้องคิดชื่อเลยว่าจะเขี่ย "น้ำลาย" หรือแม้คิดแตเราก็ไม่เขี่คำว่า "น้ำลาย"อยู่แล้ว เราก็คิดถึงน้ำลายซึ่งประมวลมาจากรูปที่เกิดในแบบต่างๆนั่นแหละแล้วก็รีบเขี่ยทิ้ง,
* นามบัญญัตติ จะประมวลมาเพื่อพูดคุยบอกกล่าว อันนี้ต้องคิดเป็นคำ ๆ เป็นชื่อ ๆ. ถ้าเป็นการฟังจะต้องคิดถึงชื่อก่อนจึงจะรู้อัตถบัญญัตตินะ เหมือนตอนฟังมาแล้วจำคำแปลไม่ได้หน่ะนึกแทบตายใช่ไหมครับ นั่นแหละชื่อมาก่อนอัตถะ. ส่วนทวาร ๔ ที่เหลือต้องรู้อรรถะก่อนจึงรู้ชื่อ เช่น เห็นหน้าดาราคุ้นๆ แต่ก็นึกชื่อไม่ออกนั่นแหละ, ส่วนใจนั้นจะรู้อัตถะหรือรู้ชื่อก่อนแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น.
ในอรรถกถาของธัมมสังคณี ชื่อ อัฏฐสาลินี มีข้อความว่า "วุฏฺฐานคามินี ปน วิปสฺสนา กิมารมฺมณาติ ลกฺขณารมฺมณาติ. ลกฺขณํ นาม ปญฺญตฺติคติกํ น วตฺตพฺพธมฺมภูตํ.-ก็วุฏฐานคามินีวิปัสสนามีอะไรเล่าเป็นอารมณ์ ตอบว่า มีลักษณะเป็นอารมณ์ ชื่อว่า ลักษณะมีคติเป็นบัญญัตติ เป็นนวัตตัพพธรรม(ในที่นี้ นวัตตัพพธรรม ธรรมที่กล่าวไม่ได้ว่าเป็นปริตตะ มหัคคตะ อัปปมาณะ ได้แก่บัญญัตติเท่านั้น ดูอรรถกถา+ฏีกาประกอบกันใน "อภิ.ธ.อ.มกุฏ 75/-/620", บาลีอยู่ใน "โลกุตฺตรกุสลวณฺณนา - -34- อฏฺฐสาลินี ธมฺมสงฺคณี-อฏฺฐกถา (พุทฺธโฆส) - อภิ.อฏฺ. 1 ข้อ ๓๕๐" . และต้องดูคู่กับข้อความในคัมภีร์วิภังค์คู่ไปด้วยจึงจะชัดเจน เพราะมีข้อความว่า "ตทารัมมณ์ย่อมไม่ได้ในวิปัสสนาที่มีอารมณ์ไตรลักษณ์. ตทารมณ์ย่อมไม่ได้ในพลวิปัสสนาที่เป็นวุฏฐานคามินี" ใน(อภิ.วิ.อ.ฉ. มหามกุฏ 77/-/491 ค้นคำว่า ตทารมณ์ย่อมไม่ได้ในพลวิปัสสนา).
ในอภิธัมมาวตารกล่าวอสมูหะบัญญัตติ(บัญญัตติที่ไม่ได้รวมขึ้นแบบก้อนดินเป็นต้น)ไว้ในพวกของอุปาทาบัญญัตติว่า " อสมูหปญฺญตฺติ ปน ทิสากาสกาลนิมิตฺตาภาวนิโรธาทิเภทาฯ - ส่วนอสมูหบัญญัตติจำแนกเป็นทิศ อากาส(ช่องว่าง) กาล นิมิต(ปฏิภาคนิมิต) อภาวะ(อารมณ์ของของอากิญจัญญายตนฌาน) นิโรธะ(สภาวะที่ดับเนวสัญญานาสัญญายตนจิต-เจตสิกของผู้เข้านิโรธ)" แล้วในอภิธัมมัตถวิกาสินีฏีกา ของพระสุมังคลมหาสามิ(รูปเดียวกับที่รจนาวิภาวินี) ก็เอามาอธิบายไว้ว่า "อาทิ-คฺคหเณน ขยาทิสภาวํ ตํ ตํ ธมฺมมุปาทาย ปญฺญาปิยมานํ อนิจฺจลกฺขณาทิกํ สงฺคณฺหาติ-ด้วยการถือเอาอาทิศัพท์ ท่านได้สงเคราะห์อนิจจลักษณะเป็นต้นอันบุคคลรู้กันได้โดยอาศัยธรรมะนั้นๆอันเป็นสภาวะที่สิ้นไปเป็นต้น"[1]
จากข้อความนี้จะเห็นได้ว่า ท่านพระสุมังคลมหาสามิจัดไตรลักษณ์ลงในอัตถบัญญัตติ แบบ อสมูหบัญญัตติ ซึ่งเป็นได้ทั้งอวิชชมานะและวิชชมานะ เพราะท่านทั่วไปมีในปุคคปัญญัตติเป็นต้นท่านจัดว่าเป็นอวิชชมานะส่วนในอภิธัมมาวตารและอภิธัมมัตถวิกาสินีให้เป็นวิชชมานะบัญญัตติได้ด้วยคำว่า "ยทา ปน สา วิชฺชมานํ ปรมตฺถํ โชตยติ ตทา “วิชฺชมานปญฺญตฺตี”ติ ปวุจฺจติฯ-แต่ในกาลใดอัตถบัญญัตตินั้นส่องถึงปรมัตถ์ที่มีอยู่จริง ในกาลนั้นก็เรียกว่า วิชชมานบัญญัตติ"ดังนี้. ซึ่งในอภิธัมมัตถวิกาสินีใช้คำนี้รวบรวมเอาตัชชาบัญญัตติเข้าใจอัตถบัญญัตติด้วยว่า "ตชฺชาปญฺญตฺติ วจนตฺถํ อมุญฺจิตฺวา ปวตฺติโต อุปาทาปญฺญตฺติยํเยว สงฺคยฺหตีติ วุตฺตํ “วิชฺชมานํ ปรมตฺถํ โชตยตี”ติ-ตัชชาบัญญัตติก็สงเคราห์เข้าในอุปาทาบัญญัตตินั่นแหละเพราะเป็นไปไม้พ้น(คือค้องมี)สภาวะ(อัตถะ)ของถ้อยคำ เพราะเหตุนั้นท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ย่อมส่องถึงปรมัตถ์ซึ่งมีอยู่จริง"[2].
แต่ความจริงตัชชาบัญญัตติจะเป็นอุปาทาบัญญัตติได้ก็โดยการสงเคราะห์เท่านั้น เพราะโดยตรงๆแล้ว นามบัญญัตติไม่ได้ใช้อัตถบัญญัตติในการบอกให้คนอื่นรู้ แต่ใช่นามบัญญัตติ คือ สมมุตติบัญญัตติเองนั่นแหละบอกให้คนอื่นรู้นามบัญญัตติได้อีกทีซ้อนกันไปไม่สิ้นสุด. แต่อัตถบัญญัตตินั้นบอกให้คนอื่นรู้ได้ด้วยนามบัญญัตติดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า "สา หิ นามปญฺญตฺติยา ปญฺญาปียติ-จริงอยู่อัตถบัญญัตตินั้นบุคคลทำให้รู้กันได้ด้วยนามบัญญัตติ"[3].
อีกอย่างหนึ่ง คือ เวลาเราจะให้คนอื่นรู้ปรมัตถ์ด้วยตัชชาบัญญัตติ เราก็แค่บอกคำนั้นซึ่งสมมุติตกลงกันไว้เรียบร้อยก่อนแล้ว ไปคนอื่นเขาก็จะรู้ได้ เช่น พูดคำว่า เจ็บ คนที่ฟังก็นึกถึงความเจ็บ คือ เวทนาปรมัตถ์ได้ เป็นต้น. แต่อุปาทาบัญญัตตินั้น เราเอาไปบอกใครโดยตรงไม่ได้ ต้องอาศัยคำพูด คือ สมมุตติที่ตกลงกันจึงจะบอกให้คนอื่นรู้ได้ เว้นแต่เขาจะเห็นแล้วคิดเอาเองอันนี้ก็ไม่ต้องใช่ชื่ออะไรมากมาย. ขอเขียนผังทำความเข้าใจ ดังนี้ :-
นามบัญญัตติ ไม่ใช่สภาวะ.
* ตัชชาบัญญัตติ ไม่ใช่สภาวะ.
* อุปาทาบัญญัตติ ไม่ใช่สภาวะ.
* นามบัญญัตติ ไม่มีสภาวะรองรับ และเป็นอวิชชมานบัญญัตติ, มีสภาวะรองรับ และเป็นวิชชมานบัญญัตติ [=ตัชชาบัญญัตติ].
* ตัชชาบัญญัตติ มีสภาวะรองรับ และเป็นวิชชมานบัญญัตติ=อุปาทาบัญญัตติ(นัยอภิธัมมาวตาร).
* อุปาทาบัญญัตติ มีสภาวะรองรับ และเป็นอวิชชมานบัญญัตติ.
ส่วนท่านพระธัมมปาลาจารย์จัดไว้ในพวกตัชชาบัญญัตติ แต่คำว่าตัชชาบัญญัตติในที่นี้ น่าจะมีความหมายเท่ากับ อุปาทาบัญญัตติ เพราะท่านกล่าวไว้ในมหาฏีกาว่า "อิเม ตโยปิ อาการา อสภาวธมฺมตฺตา ขนฺธปริยาปนฺนา น โหนฺติ ฯ ขนฺเธหิ วินา อนุปฺปลพฺภนียโต ขนฺธวินิมุตฺตาปิ น โหนฺติ ฯ ขนฺเธ ปน อุปาทาย โวหารวเสน ลพฺภมานา ตทาทีนววิภาวนาย วิเสสการณภูตา ตชฺชาปญฺญตฺติวิเสสาติ เวทิตพฺพา ฯ-พีงทราบว่า อาการทั้ง ๓ อย่างไม่นับเข้าในขันธ์ เพราะเป็นธรรมะที่ไม่มีสภาวะ. แต่ก็ไม่เป็นทั้งขันธวินิมุตติด้วย เพราะเว้นจากขันธ์เสียแล้วก็จะมีไม่ได้. แต่เป็นตัชชาบัญญัตติต่างๆที่อาศัยขันธ์แล้วก็จึงมีอยู่ได้ด้วยอำนาจโวหาร เป็นตัชชาบัญญัตติที่เป็นเหตุแห่งความแตกต่างกันของการแสดงโทษของขันธ์นั้น ดังนี้"[4] การใช้ศัพท์หนึ่งแต่หมายถึงอีกศัพท์แบบนี้ก็เป็นที่ทราบว่ามีใช้ในพระไตรปิฎกอยู่แล้ว.
อ้างอิง :-
1. ^ อภิธมฺมวิกาสินี 2 - อภิธมฺมาวตารฏีกา ๒ - ๑๒. ทฺวาทสโม ปริจฺเฉโท ปญฺญตฺตินิทฺเทสวณฺณนา - อภิธมฺมาวตารฏี.2/777
2. ^ อภิธมฺมวิกาสินี 2 อภิธมฺมาวตารฏีกา ๒ ๑๒. ทฺวาทสโม ปริจฺเฉโท ปญฺญตฺตินิทฺเทสวณฺณนา - อภิธมฺมาวตารฏี.2/777
3. ^ ปญฺญตฺติเภทวณฺณนา-๘. ปจฺจยปริจฺเฉทวณฺณนา- วิภาวินี. 8/39
4. ^ ปญฺญานิทฺเทสวณฺณนา - ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธินิทฺเทสวณฺณนา – อุปกฺกิเลสวิมุตฺตอุทยพฺพยญาณกถาวณฺณนา-ปรมตฺถมญฺชุสา 2 วิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา 2 -วิสุทฺธิ.มหาฏีกา.2 ข้อ 740
5. ^ อภิ.ธ.อ.มกุฏ 75/-/620", บาลีอยู่ใน "โลกุตฺตรกุสลวณฺณนา - -34- อฏฺฐสาลินี ธมฺมสงฺคณี-อฏฺฐกถา (พุทฺธโฆส) - อภิ.อฏฺ. 1 ข้อ ๓๕๐"
6. ^ ในอภิ.วิ.อ.ฉ. มหามกุฏ 77/-/491 ค้นคำว่า ตทารมณ์ย่อมไม่ได้ในพลวิปัสสนา
7. ^ อภิธมฺมวิกาสินี 2 - อภิธมฺมาวตารฏีกา ๒ - ๑๒. ทฺวาทสโม ปริจฺเฉโท ปญฺญตฺตินิทฺเทสวณฺณนา - อภิธมฺมาวตารฏี.2/777
8. ^ ๑๖. ญาณวิภงฺโค - ๑. เอกกนิทฺเทสวณฺณนา - -35-อนุ- ลีนตฺถวณฺณนา 2 อนุฏีกาวิภงฺค์ (ธมฺมปาล) - อภิ.อนุฏี. 2 ข้อ ๗๖๖
9. ^ ติกนิกฺเขปกถาวณฺณนา - -34-อนุ- ลีนตฺถวณฺณนา 1 อนุฏีกาธมฺมสงฺคณี (ธมฺมปาล) - อภิ.อนุฏี. 1 ข้อ ๙๘๗
10. ^ ปญฺญานิทฺเทสวณฺณนา - ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธินิทฺเทสวณฺณนา – อุปกฺกิเลสวิมุตฺตอุทยพฺพยญาณกถาวณฺณนา-ปรมตฺถมญฺชุสา 2 วิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา 2 -วิสุทฺธิ.มหาฏีกา.2 ข้อ 740
[size=18]
*ถ้าเอาไปอ่าน หรือ ปริ้นไปแจกกลางบ้านธรรมะของอาจารย์สุจินต์ในวันวิสาขบูชา จะเกิดอะไรขึ้น* |
|
|
|
  |
 |
กุหลาบสีชา
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
31 พ.ค.2008, 4:29 pm |
  |
พิจารณาเทียบเคียงในประเด็นของ :
ไตรลักษณ์โดยอาการ
กับ
ไตรลักษณ์โดยสภาวะ
ก็คงพบคำตอบโดยไม่ยาก...จากบทความนี้นะคะ
สภาวะธรรม
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15103
ขอฝากไว้นิดนึง..ด้วยความปรารถนาดี
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ทั้งการศึกษาและปฏิบัติธรรม
ในปัจจุบันและอนาคตต่อไป
และต้องขออภัย
หากพุทธพจน์ที่นำมากล่าวไว้
อาจทำให้....เคืองใจไปบ้าง
น ปเรสํ วิโลมานิ
น ปเรสํ กตากตํ
อตฺตนาว อเวกฺเขยฺย
กตานิ อกตานิ จ ฯ ๕๐ฯ
ไม่ควรแสส่ายหาความผิดของผู้อื่น
หรือธุระที่เขาทำแล้วหรือยังไม่ทำ
ควรตรวจดูเฉพาะกิจ
ที่ตนทำหรือยังไม่ทำเท่านั้น
(ที่มา : พุทธวจนะในธรรมบท, หน้า ๕๙) |
|
|
|
    |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
01 มิ.ย.2008, 9:02 am |
  |
ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง หมายความว่า
ไตรลักษณ์ ไม่ใช่ ทั้ง "บัญญัติ" และ ไม่ใช่ "ปรมัตถ์"
แต่เป็นเพียงคำอธิบายถึงบางสิ่งบางอย่าง หรือ อธิบายถึงลักษณะ
โดยรวมและกว้างๆว่า สรรพสิ่ง ล้วน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
และมิใช่ตัวตน หมายความว่า ถ้าจะกล่าวในแง่ปัจจุบันแล้ว
หมายถึง "อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก" อันเกิดจาก การได้สัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย
ล้วน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และมิใช่ตัวตน
แต่ถ้าจะกล่าวถึง อนาคตที่ยังมาไม่ถึง แล้ว ก็อาจหมายถึง
รูป สรีระร่างกาย ไม่ให้หลงติดในตัวเอง มิให้หลงติดในทรัพย์ศฤงคารทั้งหลาย
ซึ่งในทางศาสนาที่แท้จริงนั้น
ไม่ได้สอนให้คน วิตก วิจาร เพ้อเจ้อ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง
แต่สอนให้ทุกคน รู้เท่าทันในร่างกายของตนเองและผู้อื่น รวมไปถึงสรรพสิ่งทั้งหลาย
รวมไปถึง ความคิด พฤติกรรม การทำงาน ฯ อีกด้วย
คือไม่ให้เพ้อฝันถึงอนาคตจนเกินควร |
|
|
|
  |
 |
RARM
บัวบาน

เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
10 มิ.ย.2008, 2:37 pm |
  |
พระไตรลักษณ ์เป็นสมมติบัญญัติ หมายเอาการเรียกชื่อ
ถ้าเป็นปรมัตถ์ คือการที่เราเห็นไปตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
อะไรที่ไม่เที่ยงบ้าง
สังขารทั้งหลาย สัญญาทั้งปวง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
อะไรที่เห็น จิตเห็นจิตนั่นเอง |
|
|
|
  |
 |
|